บทที่ 717.1 เจี่ยเซิงทำให้คนผิดหวัง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ก่อนที่หลิวสือลิ่วจะออกจากภูเขาลั่วพั่วไปยังสนามรบของนครมังกรเฒ่า ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่เรียกตัวเองว่า ‘จวินเชี่ยน’ ผู้นี้ ก่อนจะลงจากเขานอกจากจะไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาจี้เซ่อแล้ว ยังไปที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ที่นั่นนอกจากจะวางเตียงไม้ไว้หลังหนึ่ง ส่วนอื่นๆ ที่เหลือล้วนคล้ายห้องหนังสือมากกว่า

หน่วนซู่ผู้ดูแลน้อยหยิบกุญแจมาเปิดประตู โจวหมี่ลี่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือแบกคานหาบสีทองไว้บนบ่า ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล ยืดอกตั้ง ยืนตัวตรงแน่ว

หลิวสือลิ่วพลิกเปิดตำราบางส่วนที่วางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ บนหน้าหนังสือส่วนใหญ่ล้วนมีตัวอักษรแบบบรรจงเล็กเขียนอธิบายไว้ด้านข้าง หากจะบอกว่าคนเหมือนกับตัวอักษร ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องเล็กก็น่าจะเป็นบัณฑิตคนหนึ่งที่จริงจังอีกทั้งยังค่อนข้างเอาจริงเอาจัง เพราะถึงอย่างไรปีนั้นในบรรดาตำราทั้งหลายที่ศิษย์พี่ชุยฉานเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทุกครั้งที่จั่วโย่วมีความเห็นต่างจากคำอธิบายที่ชุยฉานเขียนไว้บนหนังสือก็จะให้เสี่ยวฉีช่วยเขียนแทนให้ บนตำราหนึ่งเล่มจึงมักจะมีการต่อสู้กันบนหน้าหนังสืออยู่หลายจุด

หลิวสือลิ่ววางตำรากลับไป เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองกลอนคู่ที่แขวนอยู่ด้านบน กระดาษพื้นหลังสีฟ้าตัวอักษรสีทองลายเมฆค้างคาวมงคล หากฟังตามคำบอกเล่าของหมี่ลี่น้อย กลอนคู่นี้ศิษย์น้องเล็กเก็บมาได้จากอุตรกุรุทวีป

‘ลมฝนนอกขุนเขากระบี่สามฉื่อ มีเรื่องถือกระบี่ลงภูเขา’

‘บุปผาวิหคกลางหมู่เมฆตำราเต็มห้อง ไร้ทุกข์ไร้กังวลเปิดตำราอริยะปราชญ์’

หลิวสือลิ่วมองดูเหมือนเป็นคนหยาบกระด้าง แต่แท้จริงแล้วเป็นคนละเอียดอ่อน เขามองปราดเดียวก็สังเกตเห็นว่าตรงมุมของกลอนคู่ประทับตราคำว่า ‘เฉินสืออี’ เอาไว้

มีครบถ้วนทั้งบุ๋นและบู๊ ฝึกฝนกำลังกายฝึกอบรมจิตใจ

ก่อนที่หลิวสือลิ่วจะกลับภูเขาได้ไปช่วยปกป้องค่ายกลให้กับเจ้าบ้านที่ร้านตระกูลหยาง จากนั้นก็ไปรับรองแขกที่ม่านฟ้ากับหร่วนซิ่ว แล้วก็ได้สมดังใจปรารถนา ปล่อยสองหมัดต่อยให้ศัตรูแหลกลาญ ฝนสีทองห่าใหญ่สองรอบตกลงมาในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ เศษชิ้นส่วนร่างทองห้าส่วนถูกสหายฉางมิ่งเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า อีกห้าส่วนถูกส่งต่อไปยังภูเขาพีอวิ๋น

‘แม่นางน้อย’ หร่วนซิ่วผู้นั้นยิ่งเกินจริงกว่าเขา นางถึงขั้นเดินข้ามบานประตูออกไปนอกฟ้าโดยตรง ไม่รู้ว่านางได้พบกับหลี่เซิ่งหรือไม่

หลังกลับมาถึงบนภูเขา มีครั้งหนึ่งที่หลิวสือลิ่วได้รับตำแหน่งขุนนางที่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแต่งตั้งให้เป็นการส่วนตัว คือตำแหน่ง ‘ทูตผู้ลาดตระเวนภูเขา’ หมี่ลี่น้อยบอกว่าตำแหน่งขุนนางไม่ใหญ่ อย่าได้รังเกียจเลยนะ

ยามที่ชายฉกรรจ์เดินลาดตระเวนภูเขา เขาจะกางแขนสองข้างออกไปด้านข้าง แขนแต่ละข้างมีแม่นางน้อยคนหนึ่งห้อยตัวอยู่ คนหนึ่งชุดสีชมพู คนหนึ่งชุดสีดำ พวกเขาเดินไปท่ามกลางแสงรุ่งอรุณด้วยกัน

มีครั้งหนึ่งที่ลาดตระเวนภูเขาก็มีคนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่บนหัวของเขา ชมแสงจันทร์ไปด้วยกัน

ชิงถงเทียนจวินเปิดหอบินทะยานในโลกมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนมากมายของหนึ่งทวีปแล้ว เรียกได้ว่าคือโชควาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้า เป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำอย่างถึงที่สุด

หอบินทะยานแห่งหนึ่ง

ซากปรักเก่าแก่ที่ต้องบินทะยานไปให้ถึงสมกับชื่อ สุดท้ายจะมีประตูสวรรค์ผุพังบานหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลเมฆ

ท่ามกลางขั้นตอนที่หอฟ้าทะยานขึ้นสูงนี้ ก็คือการขัดเกลาบนมหามรรคาอย่างหนึ่ง

ผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคน ขอแค่รักษาจิตแห่งมรรคาให้มั่นคงและรั้งจิตวิญญาณไม่ให้สลายไปได้ ก็จะสามารถขึ้นไปถึงบนยอดสูง แม้จะถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจก้าวข้ามประตูใหญ่ยุคโบราณที่มีตราผนึกป้องกันอย่างเข้มงวดบานนั้นไปได้ แต่ขอแค่ผู้ฝึกตนสามารถยืนอยู่นอกประตูสวรรค์บนก้อนเมฆก็ถือว่ามีบุญบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว

มีผู้ฝึกตนหล่นลงจากหอบินทะยานย้อนกลับลงมาในโลกมนุษย์อีกครั้งอย่างต่อเนื่อง ผลเก็บเกี่ยวจะมากหรือน้อยก็ต้องดูที่ระดับความสูงที่สามารถไปได้ถึง

คนเจ็ดแปดในสิบคนล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่ สวี่หุนเจ้านครลมเย็นสวมเสื้อเกราะโหวจื่อไว้บนร่าง อยู่บนหอบินทะยาน จิตใจของเขามั่นคงดุจภูผาอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดก็สามารถฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ

หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วค่อนข้างจะน่าเสียดาย เนื่องจากจิตแห่งกระบี่มีจุดด่างพร้อย จึงหยุดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิด อันที่จริงเดิมทีเขามีโอกาสบนมหามรรคาอยู่เสี้ยวหนึ่ง แต่น่าจะเป็นเพราะถูกจิตมารก่อกวน กลับกลายเป็นว่าได้รับบาดเจ็บไม่เบา หลังจากก้าวเดินออกไปก้าวใหญ่ก็ไม่เพียงแต่ไม่สามารถก้าวเดินต่อไปเป็นก้าวที่สองได้อย่างราบรื่น กลับกลายเป็นว่าต้องถอยกลับมาอีกเล็กน้อย ทว่าต่อให้จะแค่เปลี่ยนจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองไปเป็นขอบเขตก่อกำเนิดจริงแท้แน่นอน แต่ก็ถือว่าหลิวป้าเฉียวมีคำอธิบายที่ไม่เลวต่อศิษย์พี่หวงเหอซึ่งเตรียมจะสละตำแหน่งเจ้าสวนแล้ว ไม่อย่างนั้นหากหลิวป้าเฉียวกลับไปมือเปล่า เขาก็รู้สึกว่าด้วยนิสัยของศิษย์พี่ คิดจะเอาตำแหน่งเจ้าสำนักไปมอบให้คนอื่นก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน จากนั้นยังต้องกักบริเวณตนอยู่บนภูเขานานร้อยปี หากไม่ฝึกกระบี่จนสร้างทารกก่อกำเนิดได้ก็อย่าหวังว่าจะได้ลงจากเขาอีกชั่วชีวิต

หลิวป้าเฉียวเองก็ขึ้นไปบนทะเลเมฆเบื้องบนพร้อมกับสวี่หุน เพียงแต่ว่าไม่นานก็ต้องถอยกลับมาที่โลกมนุษย์อย่างมิอาจห้ามได้ หลิวป้าเฉียวไปเที่ยวเล่นในเมืองเล็กอีกครั้ง ไปเยือนที่ว่าการผู้ตรวจการ เจอกับผู้ตรวจการเฉาเป็นครั้งแรกก็ถูกชะตากันอย่างมาก จึงไปดื่มเหล้าด้วยกัน

ไช่จินเจี่ยนเทพธิดาโอสถทองจากภูเขาเมฆาเรืองค่อนข้างจะทำให้ผู้คนคาดไม่ถึง ด้วยคุณสมบัติของนาง บรรพจารย์หลายคนบนภูเขาต่างก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้นางจะสามารถเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้ ทว่าครั้งนี้นางกลับกัดฟันอดทนจนถึงท้ายที่สุด แม้ว่าจะได้แค่ชำเลืองตามองประตูสวรรค์แค่แวบเดียว แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว

ครั้งนี้ถือว่าไช่จินเจี่ยนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว หากไม่ผิดไปจากที่คาด เมื่อนางกลับไปถึงสำนัก นอกจากเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ตัวก่อนหน้านี้แล้ว ก็น่าจะยังได้เป็นบรรพจารย์หญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูเขาเมฆาเรืองอีกด้วย

จวนเซียนหลายแห่งในแจกันสมบัติทวีป ส่วนใหญ่เมื่อผู้ฝึกตนกลายเป็นโอสถทองได้สำเร็จ นอกจากจะสามารถเปิดภูเขาเป็นของตัวเอง ป่าวประกาศให้ทั้งทวีปรับรู้แล้ว ยังสามารถยกระดับความอาวุโสบนทำเนียบขุนเขาสายน้ำได้อีกขั้นหนึ่ง หากโชคดีได้เลื่อนเป็นก่อกำเนิด ลำดับอาวุโสก็จะสูงขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น

ส่วนห้าขอบเขตบนนั้น สามารถเปิดภูเขาตั้งสำนักเป็นของตัวเองได้แล้ว

หลังจากไช่จินเจี่ยนถอยออกมาจากหอบินทะยาน นางก็ไปเยือนโรงเรียนเก่าเพียงลำพัง นางมองไปยังห้องเรียนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

เจียงอวิ้นบุรุษชุดดำ ในฐานะลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ไม่ได้ไปรวมตัวกับเหวยเหลียงผู้ตรวจการใหญ่และอาจารย์ของเขาที่แนวเส้นสนามรบทะเลบูรพาซึ่งสกุลเจียงอวิ๋นหลินเป็นผู้นั่งบัญชาการณ์ทันที แต่หยุดพักเล็กน้อย การเลือกของเขาไม่ต่างจากหลิวป้าเฉียวและไช่จินเจี่ยน นั่นคือไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่เคยมาเยือนอย่างเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตแห่งนี้อีกครั้ง

เพียงแต่ว่าพอเขาไปถึงบ่อโซ่เหล็กก็ต้องผิดหวังเล็กน้อย หลังจากโซ่เหล็กที่ในอดีตหล่นลงไปใต้บ่อถูกเขาดึงขึ้นมาก็นำไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตนานแล้ว

ทั้งสามารถทำให้ฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ของเขากลายเป็น ‘ป่าภูเขาเหล็ก’ ‘สถานประกอบพิธีกรรมอิ๋งเช่อ’ ที่หายสาบสูญไปนาน แล้วยังได้มีสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ได้ทั้งโจมตีและป้องกันเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น

ครั้งนี้เจียงอวิ้นก็เลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดเช่นเดียวกัน

เซียนดินคนอื่นๆ การไต่ทะยานของขอบเขตมีสูงมีต่ำ คนโชคดีที่ได้เห็นรูปโฉมของประตูสวรรค์ ถึงอย่างไรก็มีจำนวนน้อยนิด

ในบรรดาเซียนดินของหนึ่งทวีปที่รีบรุดเดินทางมาที่นี่อย่างเป็นความลับ มีเพียงสองสามในสิบคนเท่านั้นที่มาอย่างฮึกเหิม แต่กลับไปอย่างหม่นหมอง ไม่ได้อะไรกลับไปสักอย่าง เพราะเพียงไม่นานก็หล่นร่วงลงมาจากหอบินทะยาน

ก็แค่ไม่กล้าเผยสีหน้าผิดปกติออกมาแม้แต่น้อยเท่านั้น

‘การชดเชย’ เพียงหนึ่งเดียวก็คงจะเป็นว่า แม้ไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตที่นี่ แต่หลังจากนี้เมื่อเซียนดินไปเยือนสนามรบของนครมังกรเฒ่า ก็ไม่จำเป็นต้องสะสมคุณความชอบทางการสู้รบมากนัก

สุยโย่วเปียนที่อยู่ในสำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยนเพิ่งฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรมาได้ไม่นาน ถือเป็นเซียนดินโอสถทองที่มีประสบการณ์ตื้นเขินที่สุดในบรรดาคนกลุ่มนี้

ทว่าสุยโย่วเปียนที่เปลี่ยนจากการเป็นผู้ฝึกยุทธไปฝึกตนกลางคันยังสามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดเรื่องใหญ่มากแล้ว ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมายังกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริด เพียงแต่ว่าสำนักกุยหยกและสำนักเจินจิ้ง สองสำนักที่ควันธูปอยู่บนธูปก้านเดียวกันกลับช่วยกันปิดบังให้กับสุยโย่วเปียนอย่างดีเยี่ยม

ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะมีสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกเป็นสถานะตบตา คนที่มารวมตัวกันที่หอบินทะยานในครั้งนี้ล้วนเป็นเซียนดินของแจกันสมบัติทวีป มีใครบ้างที่ไม่ได้ฝึกปรือจิตใจมาจนเชี่ยวชาญเข้าขั้น ทุกคนย่อมต้องเกิดความกังขาในตัวสุยโย่วเปียนอย่างแน่นอน

ทว่าครั้งนี้สุยโย่วเปียนยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขต ได้แค่ไปถึงคอขวดของโอสถทองเท่านั้น

นางเพียงแค่ได้มองทัศนียภาพบนท้องฟ้านานกว่าเซียนดินทั่วไปเล็กน้อย

ยินดีติดตามอาจารย์ (ภาษาจีนใช้คำว่าฝูจื่อ ซึ่งสามารถเรียกนักปราชญ์ด้วยความเคารพและเป็นคำเรียกสามีของผู้หญิงในสมัยโบราณได้ด้วย) ขึ้นแท่นสวรรค์ ยามว่างกวาดบุปผาร่วงโรยอยู่กับเซียน

น่าเสียดายที่ข้างกายไม่มีอาจารย์ บนท้องฟ้าก็ไม่มีเซียน

อันที่จริงสุยโย่วเปียนมีโอกาสได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ในช่วงเวลาสำคัญที่กระบี่ยาวซึ่งนางสะพายอยู่ด้านหลังยินดีจะปกป้องมรรคาให้แก่นาง สุยโย่วเปียนกลับจงใจสยบชือซินเอาไว้ไม่ให้มันออกมาจากฝัก

เนื่องจากไม่ได้ออกกระบี่ ไม่ยินดีจะใช้ปณิธานกระบี่มาขัดเกลาพายุลมกรดบนท้องฟ้า นางอาศัยเพียงเรือนกายของผู้ฝึกตนมาสร้างความมั่นคงให้จิตใจ จึงพลาดโอกาสครั้งใหญ่ไป

หลังจากสุยโย่วเปียนถอยออกมาจากหอบินทะยาน จิตแห่งกระบี่ของนางใสกระจ่าง ไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้าหม่นมองทอดอาลัย กลับกลายเป็นว่าจิตแห่งมรรคายิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม นางไปซื้อขนมส่วนหนึ่งมาจากร้านยาสุ้ยในตรอกฉีหลง จากนั้นก็ทะยานลมไปยังตัวจังหวัด

ผู้สืบทอดของสำนักเจินจิ้งที่ออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับสุยโย่วเปียน ล้วนเป็นคนที่เจ้าสำนักเหวยอิ๋งพามาจากยอดเขาจิ่วอี้ของสำนักเบื้องบน ทั้งสองคนที่ออกเดินทางร่วมกับสุยโย่วเปียนล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวยอิ๋ง เป็นผู้ฝึกกระบี่เช่นเดียวกับอาจารย์ของพวกเขา หญิงสาวมีชื่อว่าสุ้ยอวี๋ มักจะชอบโหวกเหวกว่าจะไปขัดเกลามหามรรคาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อยากจะไปพิสูจน์ให้เห็นเองกับตาว่าเซียนกระบี่หมี่อวี้รูปงามได้เท่าอาจารย์ของนางหรือไม่

อีกคนหนึ่งเป็นบุรุษมีนามว่าเหนียนจิ่ว ดูเหมือนว่านอกจากจะฝึกกระบี่แล้ว เขาล้วนไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกอื่นใด เรื่องเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือห้ามศิษย์พี่หญิงที่รักไม่ให้ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่

แต่ชื่อของพวกเขาที่บันทึกไว้ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสำนักเจินจิ้งกลับเป็นชื่อเหวยกูซูกับเหวยเซียนโหยว

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนทั้งสองแบ่งออกเป็น ‘อวี๋หลง’ และ ‘จิ่วหู’ ล้วนเป็นชื่อที่เหวยอิ๋งอาจารย์ของพวกเขาตั้งให้ สุ้ยอวี๋ชอบชื่อของตัวเอง เหนียนจิ่วก็ชอบของตัวเองเช่นกัน เพราะในจิ่วหู (กาเหล้า) มีถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง

พวกเขาถอยออกมาจากหอบินทะยานเร็วกว่าสุยโย่วเปียนเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้พวกเขาไปพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดชั่วคราว เถ้าแก่แซ่ต่ง อายุไม่มาก แต่กลับมีชื่อเสียงอันไพเราะอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือว่าต่งครึ่งเมือง

ต่อให้จะเป็นคนช่างเลือกช่างติอย่างสุ้ยอวี๋และเหนียนจิ่วก็ยังรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมของโรงเตี๊ยมเงียบสงบไม่ธรรมดา วันหน้าหากได้มาเยือนอีกก็จะเลือกเข้าพักที่นี่เป็นที่แรก

สุ้ยอวี้ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สุยโย่วเปียนหน้าตางดงามปานนั้น ขนาดอาจารย์ยังชอบ ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบนางล่ะ?”

เหนียนจิ่วตอบตามสัตย์จริง “แค่ชอบคนที่จะชอบตัวเองเท่านั้น”

สุ้ยอวี๋เดือดดาลอย่างหนัก ด่าศิษย์น้องที่หัวทื่อเหมือนตอไม้ไปประโยคหนึ่งว่า “ไปตายซะ!”

สุยโย่วเปียนพลิ้วกายลงนอกประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม ขนาดของโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของต่งสุ่ยจิ่งไม่ใหญ่ ทว่ากฎระเบียบกลับไม่เล็ก ต่อให้เป็นแขกที่มาเข้าพักอาศัยก็ไม่สามารถทะยานลมได้ตามใจชอบ เข้าออกที่แห่งนี้ได้แค่เดินผ่านประตูเท่านั้น

สุยโย่วเปียนมาหาเหวยกูซูและเหวยเซียนโหยวแล้วก็เอ่ยแค่ว่า “ไปที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว”

เหวยเซียนโหยวมองสุยโย่วเปียน มองนางนานเข้า ก็ยังรู้สึกตกตะลึงกับความงามของนางได้ทุกคราไป จากนั้นคนหนุ่มก็หันไปมองศิษย์พี่หญิงของตน ในใจคิดว่าศิษย์พี่หญิงหากท่านยังป่าเถื่อนไร้เหตุผลเช่นนี้ ข้าจะไปชอบคนอื่นแล้วนะ

สุยโย่วเปียนกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของสำนักเจินจิ้งต่างก็มียันต์กระบี่ สามารถทะยานลมอยู่ในอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวได้ ในฐานะผู้สืบทอดของภูเขาลั่วพั่ว แน่นอนว่าสุยโย่วเปียนย่อมมียันต์กระบี่ซึ่งเป็นหลักฐานในการผ่านด่านที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างขึ้นอยู่นานแล้ว เพียงแต่ว่าจ่ายเงินของสำนักเจินจิ้งได้มาเพิ่มอีกแผ่นหนึ่งก็ไม่ถือสา

สุยโย่วเปียนสะพายกระบี่ทะยานลมมุ่งหน้าไปยังท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว

กระบี่ยาวที่สูญเสียไปแล้วได้กลับคืนมาอีกครั้งเล่มนั้น เป็นทั้งชือซินลุ่มหลง แล้วก็เป็นทั้งชือซินกินใจ

เพียงแต่ไม่รู้ว่ากินใจที่ลุ่มหลงของใคร ใครคืออาจารย์ (สามี) ใครคือคนทรยศใจดำกันแน่

……

หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีออกเดินทางจากอาณาเขตของนครลมเย็นตอนกลางคืน พวกเขาอำพรางตัวตน ปกปิดร่องรอยอย่างระมัดระวังไปตลอดทาง ทว่าพอได้เข้ามาในอาณาเขตของขุนเขาเหนือแล้วก็ทำเหมือนคนที่มาท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายอายุต่างกันมาก ผู้เฒ่าหลังค่อม ส่วนเด็กสาวหน้าตางามหมดจด แต่ไม่ถือว่าโดดเด่นนัก ผู้เฒ่าคอยหยิบเอาดอกหลีกิ่งหนึ่งออกมาหมุนเบาๆ เป็นระยะ เด็กสาวเห็นแล้วกลับไม่อับอายจนพานเป็นโกรธ หากเถ้าแก่เหยียนกล้าทำเช่นนี้จริง ใครได้เปรียบใครก็ยังไม่แน่

ผู้เฒ่าคนนั้นค่อนข้างจะทำเกินกว่าเหตุ เขายังหยอกเย้านางว่าสตรีบ้านนอกก็มีเอกลักษณ์ของสตรีบ้านนอก

ก็คือจูเหลี่ยนและเจ้าแห่งแคว้นหูนครลมเย็น คนหนึ่งเดินทางกลับบ้านเกิด อีกคนหนึ่งเดินทางห่างไกลไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง

นครลมเย็นในทุกวันนี้ต้องวุ่นวายอลหม่านอย่างมากแน่นอน

เจ้าแห่งแคว้นหูมีนามแฝงว่าเพ่ยเซียง ขอบเขตก่อกำเนิด คือจิ้งจอกเจ็ดหาง

แคว้นหูหนึ่งแห่ง สรุปแล้วควรจะเอาไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัวที่ค่อนข้างจะตัดขาดกับโลกภายนอก หรือเลือกเอาไปไว้บนภูเขาใต้อาณัติแห่งใดแห่งหนึ่งกันแน่ หลักๆ แล้วจูเหลี่ยนยังต้องถามความเห็นของตัวเพ่ยเซียงเอง

ในความเป็นจริงแล้วจนถึงตอนนี้เพ่ยเซียงก็ยังไม่ค่อยกล้าเชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วจะได้ครอบครองพื้นที่มงคลระดับกลางแห่งหนึ่ง จะว่าไปแล้วนางก็แค่เชื่อใจจูเหลี่ยนเท่านั้น ไม่ได้เชื่อใจภูเขาลั่วพั่ว

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ลืมเตือนเจ้าไปเรื่องหนึ่ง ไปถึงภูเขาของคุณชายบ้านข้า ต้องจำหลักการเหตุผลข้อหนึ่งไว้ให้ขึ้นใจ ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ”

เพ่ยเซียงรู้สึกระวนกระวายเล็กน้อย สีหน้ายิ่งดูบอบบางอ่อนแอ ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เหลือล้น นางกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “เจ้าพูดลงรายละเอียดหน่อยเถอะ ข้าความจำดี เรื่องหลุบตาก้มหน้าทำตัวสงบเสงี่ยมข้าทำมาจนเคยชินแล้ว”

เป็นเพราะนางคบค้าสมาคมกับสกุลสวี่นครลมเย็นมานานเหลือเกิน จึงกลัวสองคำว่า ‘บนภูเขา’ มากที่สุด

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ข้าพูดมากไป เจ้าก็จะเพิกเฉยเกียจคร้าน อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดอะไรมาก บนภูเขาลั่วพั่วบ้านข้า ลมและแสงแดดงดงามยิ่งนัก ลมฝนด้านอกภูเขาก็มีไว้เป็นของประดับเป็นทัศนียภาพให้ชมเชยเท่านั้น ภูเขาลูกอื่น ยกตัวอย่างเช่นนครลมเย็น แบ่งเงินกันยังมีคนด่า ทว่าภูเขาลั่วพั่วไม่เหมือนกัน”

นางมีคำถามขึ้นมาอีก “บนภูเขาลั่วพั่วมีสตรีที่จิตใจเต็มไปด้วยกลอุบายหรือไม่ ข้ากลัวเรื่องนี้อย่างมาก”

สตรีของสกุลสวี่ผู้นั้นทำให้นางหวั่นผวากริ่งเกรงมาจนถึงทุกวันนี้จริงๆ

ทว่าพอนึกถึงสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของสตรีผู้นั้นในเวลานี้ เพ่ยเซียงก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ สตรีค่อนข้างชอบทำให้สตรีด้วยกันลำบากใจ สตรีออกเรือนแล้วผู้นั้นคงจะรู้สึกว่ารูปโฉมงดงามสู้ตนไม่ได้ ทุกวันก็เลยชอบใส่เข็มอ่อนไว้ในรองเท้าผ้าปักลายของตนเป็นที่สุด ตอนนี้โดนกรรมตามสนองแล้วเป็นไง?

หากใช้ถ้อยคำของ ‘เถ้าแก่เหยียน’ มาพูดก็คือ ถึงอย่างไรสวี่หุนก็เพิ่งจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ได้จัดงานมงคลขจัดเสนียญจัญไรให้นครลมเย็นได้พอดี

——