ตอนที่ 3112

War sovereign Soaring The Heavens

ตึง!

 

ต้วนหลิงเทียนที่เดิมยืนอยู่บนลาน พลันถีบเท้าลงพื้นครั้งหนึ่งดังตึง คนก็โจนร่างทะยานขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะลอยค้างกลางหาวราวไม่สนแรงโน้มถ่วง

 

“ความลึกซึ้ง เขตแดน…”

 

เพียงหนึ่งห้วงคิด ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ความลึกซึ้งประการสุดท้ายในบรรดาความลึกซึ้ง 6 ประการของกฏแห่งมิติ เขตแดน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานธาตุมิติจนกลับกลายเป็นสีเทาทั่วร่างพุ่งพล่านขึ้นมาคราหนึ่ง จากนั้นเขตแดนมิติก็แผ่ขยายกำจายออกมาปกคลุมรอบกาย

 

ในเขตแดนมิติ ปรากฏรอยแยกมิติกระพริบวูบวาบไปทั่ว ราวกับมีพลังจากอีกห้วงมิติฟาดฟันทำลายความว่างเปล่าเข้ามา ยังปรากฏอัสนีสีเทากระพริบแปลบปลาบไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน

 

ถึงแม้เขตแดนมิติจะเป็นความลึกซึ้งที่หนุนเสริมการป้องกันเป็นหลัก หากแต่ในแง่การโจมตีก็หาได้อ่อนโทรมไม่! เพียงแค่มันเน้นหนักไปในด้านป้องกันมากกว่าก็เท่านั้น!!

 

‘ตอนข้าใช้เขตแดนมิติหากใครเข้ามาต่อสู้ระยะประชิดกับข้า…มันไม่เพียงแต่จะต้องรับมือการโจมตีโดยตรงของข้า แต่ยังต้องเจียดสมาธิไประวังพลังจากเขตแดนมิติของข้าอีกด้วย หาไม่แล้วก็ต้องโดนพลังจากเขตแดนมิติของข้าเล่นงานเอา…’

 

ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาว เริ่มอ้าแขนออกพลางหลับตา สัมผัสพลังของเขตแดนมิติโดยรอบที่ปกป้องคลุมกายเขา จนทราบถึงความดุร้ายของมันชัดเจน หากใครล่วงล้ำเข้ามามันพร้อมจะฉีกกระชากทำลายให้สิ้นทันที!

 

อย่างไรก็ตามสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว พลังดุร้ายนี้กลับอบอุ่นนัก ให้ความรู้สึกเสมือนอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น พาลให้ต้วนหลิงเทียนอดนึกถึงความรู้สึกถึงอ้อมกอดมารดาครั้งยังเป็นวัยรุ่นไม่ได้

 

“หืม?”

 

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เพราะสัมผัสได้ถึงแมลงตัวหนึ่งที่บินอยู่ไม่ไกล มือเขาพลันสะบัดฉับไวปานสายฟ้า ปรากฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งพุ่งไปห้อหุ้มแมลงดังกล่าว และนำมันเข้ามาภายในเขตดินมิติของเขาทันที

 

และเมื่อแมลงดังกล่าวเข้ามาภายในเขตแดนมิติของเขาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถอนรั้งพลังไร้สภาพที่ปกคลุมมันทันที

 

เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!

 

 

แมลงวันตัวน้อยที่ล่วงล้ำเข้าเขตแมนมิติของต้วนหลิงเทียน เมื่อไร้ซึ่งพลังของเขาคอยปกป้อง มันก็ถูกสับสะบั้นแหลกเป็นชิ้นๆด้วยพลังของเขตแดนมิติ สลายหายไปในอากาศในบัดดล

 

‘จากข้อมูลของกฏแห่งมิติที่ข้าเคยศึกษามา…เขตแดนที่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นดูเหมือนจะมีรัศมีรอบกาย 10 หมี่ เมื่อบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยก็จะขยายออกไปเป็น 100 หมี่ จนเมื่อบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ถึงจะกินรัศมี 1,000 หมี่รอบตัว’

 

คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ลองแผ่ขยายเขตแดนมิติให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงพบว่าเมื่อเขตแดนของเขากางออกไปกินรัศมี 10 หมี่แล้ว มันก็ไม่อาจแผ่ขยายออกไปได้อีก

 

เป็นดั่งที่เขาศึกษามาจริงๆ

 

หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ถอนรั้งพลังทั้งหมดคืนกลับเข้าร่าง โรยตัวลงมาจากฟ้า อย่างไรก็ตามจวบจนเท้าแตะพื้นดินอีกครั้ง ใบหน้าก็ยังเผยความประหลาดใจไม่หาย

 

ความลึกซึ้ง 6 ประการของกฏแห่งมิติ…

 

เพียงเวลาชั่วพริบตา เขาก็กระจ่างทุกอย่าง

 

ถึงแม้ผลเทพสังเวยสวรรค์จะช่วยให้เขาเข้าใจคววามลึกซึ้งของกฏอื่น 9 ประการ เขาก็ไม่แน่ว่าจะดีใจเหมือนตอนนี้ เพราะกฏแห่งมิตินั้นเป็นถึง 1 ใน 4 กฏสูงสุด! ความลึกซึ้งประการต่างๆ เป็นอะไรที่ลึกล้ำยากจะเข้าถึงได้เป็นอย่างยิ่ง!!

 

“หืม?”

 

ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนคล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ในใจเสมือนมีประกายแสงสว่างวาบ ลูกตาหรี่ลง “นี่มัน…ความลึกซึ้ง ส่งผ่าน งั้นเหรอ!?”

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนพลันพบเรื่องราวที่ทำให้เขาตกใจอีกเรื่อง

 

ที่แท้ผลเทพสังเวยยสวรรค์ไม่เพียงจะช่วยให้เขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ 6 ประการ แต่มันยังทำให้เขาริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 7 ของกฏมิติแล้วด้วย!

 

และความลึกซึ้งประการที่ 7 ที่เขาเริ่มหยั่งถึงก็คือ ความลึกซึ้ง ส่งผ่าน!

 

ปกติแล้วการส่งผ่านที่ว่า ผู้คนจะสัมผัสถึงมันได้ก็ต่อเมื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านของกฏแห่งมิติ ก็สามารถใช้วิธีดังกล่าวได้เช่นกัน

 

แน่นอนว่าถึงแม้จะเข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านของกฏแห่งมิติแล้ว แต่ระทางที่จะส่งตัวไปได้ก็มีขีดจำกัด ไม่อาจเทียบกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ใช้วัตถุดิบหนุนเสริมและมีขุมพลังมหาศาลได้

 

และเป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งจะริเริ่มเข้าใจมันได้บางส่วนเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาและความเพียรอีกมากกว่าจะเข้าใจมันถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น

 

แต่กระนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความประหลาดใจของต้วนหลิงเทียน

 

เพราะการจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏประการใดก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องกระทำคือหาทางเคาะประตูสู่ความลึกซึ้งนั้นให้ได้เสียก่อน และต่อให้เคาะประตูได้แล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานกว่าจะริเริ่มเข้าใจมันได้บางส่วน

 

 

วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

 

พริบตาเดียว วันเวลาก็ได้ล่วงเลย 1 เดือน นับตั้งแต่ต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลินผลเทพสังเวยสวรรค์ลงท้อง

 

และบัดนี้ ห่างออกไปไกลๆนอกเมืองเทียนจี่ ปรากฏร่าง 2 ร่างกำลังปะทะกันกลางหาว หนึ่งในนั้นมาในชุดสีเทาหากแต่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยเพลิงพลังสีทองสว่างเจิดจ้า ราวทวยเทพมาเยือนโลกมนุษย์ ในมือถือไว้ด้วยดาบพลังมีสภาพสีทองเรืองรอง ตวัดฟันเข้าใส่คู่ต่อสู้เบื้องหน้าอย่างเกรี้ยวกราด

 

ส่วนอีกร่างหนึ่งนั้น คนในชุดสีม่วงคล้ายกิ่งหลิวลู่ลมเอียงกายพลิ้วร่างหลบกระบี่พลังสีทองได้อย่างลื่นไหล ทั้งกระบี่พลังมีสภาพสีเทาที่ควบแน่นในมือ ยังตวัดฟันออกไปราวพู่กันของจิตรกรมือเอก เบี่ยงเบนวิถีกระบี่สีทองได้ชะงัด จนเมื่อกระบี่พลังสีทองเปลงพลังเกรี้ยวกราดสุดต้านทาน ร่างในชุดม่วงดังกล่าวก็อันตรธานหายไปในอากาศทันที!

 

พอปรากฏตัวอีกครั้ง คนก็ไปผุดโผล่เบื้องหลังคู่ต่อสู้อย่างอัศจรรย์ กระบี่พลังสีเทายังเสือกแทงไปยังแผ่นหลังอีกฝ่ายปานสายฟ้า!

 

“มาไม้นี้อีกแล้ว! ให้ตายเถอะ…หากข้าไม่ก้าวหน้าไปอีกสักขั้นจนมีความเร็วเหนือกว่าเจ้ามากจริงๆ ข้าไม่อาจต้านรับลูกเล่นเคลื่อนมิติน่ารังเกียจนี่ของเจ้าได้เลย!”

 

แม้โดนกระบี่พลังสีเทาเสือกแทงเข้ามาด้านหลัง แต่ร่างที่เต็มไปดด้วยเพลิงพลังสีทองก็หาได้ไหวหวั่น คนเร่งเร้าพลังทั่วร่างพร้อมระเบิดปะทุออกมาคราหนึ่ง ก็ผลักร่างในชุดสีม่วงที่เสือกแทงกระบี่สีเทามาให้ผละออกไปได้ไม่ยากเย็น สุดท้ายเมื่อทั้งคู่ผละออกจากกันแล้ว ร่างที่เต็มไปด้วยเพลิงพลังสีทองก็หันกลับมามองกล่าวด้วยน้ำเสียงอับจน

 

“อีหร็อบนี้ต่อไปถึงเจ้าจะเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า แต่ตราบใดที่มันไม่เก่งเรื่องความเร็วเป็นพิเศษ สุดท้ายเจ้าก็อยู่ในจุดไร้พ่ายอยู่ดี!”

 

วาจาประโยคท้ายของชายหนุ่มชุดเทาที่มีเพลิงพลังสีทองคลุมร่าง บ่งบอกถึงความจนปัญญาประการหนึ่ง

 

ทั้ง 2 ที่ประมือกันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ที่พึ่งเดินทางออกจากเมืองเทียนจี่มาเมื่อเช้านั่นเอง

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ดูดซับพลังของผลเทพสังเววยสวรรค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด่านพลังของเขาก็บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเป็นที่เรียบร้อย

 

ที่สำคัญด่านพลังของเขานั้น เรียกว่าจวนเจียนจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วด้วย!

 

แต่ถึงจะจวนเจียนอย่างไร การจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี

 

นอกจากช่วยให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่นแล้ว ผลเทพสังเวยสวรรค์ยังทำให้ทั้งคู่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนได้อย่างน่าพอใจ…

 

อย่างเช่นต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้ 6 ประการถึงขั้นตอนเบื้องต้น อีกทั้งยังริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 7 แล้วด้วย

 

สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ผลเทพสังเวสวรรค์ช่วยให้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ถึง 8 ประการ! เรียกว่าขอเพียงมันเข้าใจความลึกซึ้งประการสุดท้ายของกฏแห่งทองได้เมื่อไหร่ มันก็จะเป็นตัวตนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ครบทุกประการ!

 

แต่เจวี๋ยอวิ๋นที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ 8 ประการ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจยกใหญ่เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนเข้าใจกฏแห่งมิติ! อย่างไรก็ตามพอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเข้าใจคววามลึกซึ้งของกฏแห่งมิติได้แค่ 6 ประการ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ท้าต้วนหลิงเทียนประลองทันที

 

ดังนั้นจึงปรากฏฉากทั้งคู่มาประมือกันนอกเมืองเทียนจี่

 

ในการประลองกันรอบที่แล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นฝ่ายแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียน ถึงแม้มันจะไม่ได้ติดใจเอาความเรื่องนี้แล้ว แต่หากมันมีโอกาสทุบตีเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้บ้าง ไหนเลยมันจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ….

 

ก็เลยมาประมือกันอย่างที่เห็น

 

ในการประลองครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พึ่งพลังของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ในร่างแม้แต่นิดเดียว อาศัยเพียงความลึกซึ้งของกฏแห่งมิติที่เข้าใจแล้วทั้ง 6 ประการมาประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้น เป็นธรรมดาว่าเมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองได้ 8 ประการแล้ว เขาก็ไม่อาจวัดพลังกับอีกฝ่ายตรงๆได้

 

แต่ประสบการณ์การต่อสู้และไหวพริบ รวมถึงความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ก็ทำให้เขาตกอยู่ในสถานะไร้พ่ายต่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่อาจแตะได้แม้แต่ชายเสื้อของเขา!

 

เป็นธรรมดาว่าพลังที่ได้จากความลึกซึ้ง 6 ประการ จะอย่างไรก็ยังด้อยกว่าความลึกซึ้ง 8 ประการมาก ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่อาจทำร้ายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เช่นกัน แม้จะวูบร่างมาจู่โจมด้านหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ถึงอีกฝ่ายจะหันกลับมารับมือไม่ทัน ก็อาศัยการระเบิดพลังออกรอบตัวเพื่อป้องกันเขาได้…

 

สุดท้ายก็เลยไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้

 

หลังสถานการณ์ดังกล่าวดำเนินต่อไปสักพัก ในที่สุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เป็นฝ่ายกกล่าวยุติการประลอง เพราะมันรู้ดีว่าถึงจะประมือกันต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ที่สำคัญหากจะประลองให้รู้แพ้รู้ชนะกันจริงๆ มันก็รู้ดีว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันต้องหมดลงก่อนของต้วนหลิงเทียนแน่!!

 

ในเมื่อด่านพลังฝึกปรือทัดเทียมกัน แต่อีกฝ่ายใช้พลังขับเคลื่อนความลึกซึ้งแค่ 6 ส่วนมันจ่ายพลังไปขับเคลื่อนความลึกซึ้งถึง 8ประการ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันย่อมถูกใช้ไปในปริมาณที่เหนือกว่าต้วนหลิงเทียนมาก!!

 

หากยังประมือลากยาวกันไป สุดท้ายมันต้องแพ้แน่นอน!!

 

ด้วยเหตุนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจึงเป็นฝ่ายกล่าวยุติการประลองครั้งนี้ออกมา

 

“เจ้าคิดจะอยู่ที่อวี้หวงเทียน และไม่กลับไปหลิงหลัวเทียนจริงหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น

 

เพราะระหว่างเดินทางออกจากเมืองเทียนจี่มาหาที่ประลอง เขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้หารือกันเรื่องหลังจากนี้จะทำอย่างไร และบอกอีกฝ่ายไปว่าเขาคิดกลับนิกายอมตะเป้าผู่ที่หลิงหลัวเทียน…ทว่าด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับบอกว่ามันเลือกที่จะรั้งอยู่ในอวี้หวงเทียนแห่งนี้

 

“ใช่ ข้าจะอยู่ที่นี่ล่ะ”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่ได้ติดค้างนิกายอมตะอวิ๋นไถมากนัก…นอกจากนั้นสำหรับข้าแล้วจะอวี้หวงเทียนหรือหลิงหลัวเทียนมันก็เหมือนๆกัน เช่นนั้นข้าก็คร้านจะกลับไปหลิงหลัวเทียนแล้ว”

 

ตอนแรกมันก็สงสัยไม่น้อยว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ยืนกรานเรื่องจะกลับหลิงหลัวเทียน แต่พอได้ฟังต้นสายปลายเหตุและพบว่าต้วนหลิงเทียนติดค้างนิกายอมตะเป้าผู่อย่างไร มันก็เข้าใจ

 

หากไม่ใช่เพราะประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิงมอบยันต์เงาวายุให้ ต้วนหลิงเทียนคงออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับมาถึงอวี้หวงเทียนและประสบผลสำเร็จอย่างตอนนี้

 

นับว่าเป็นบุญคุณครั้งใหญ่จริงๆ

 

“อันที่จริงเจ้ากลับไปพร้อมข้าก็ได้…วันหน้าพอพวกเราไปถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว กระทั่งเวทีที่ใหญ่กว่านั้น พวกเราก็สามารถช่วยเหลือกันได้”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยชวน

 

“ข้าไม่อยากกลับไปจริงๆ หนึ่งเลยนิกายอมตะอวิ๋นไถไม่ได้ประคบประหงมอะไรข้า แม้จะมีดูแลข้าบ้างแต่ก็นับเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าค่อยหาทางตอบแทนวันหน้าก็ไม่สาย อย่างไรก็ตามเหตุผลหลักจริงๆยังคงเป็นเพราะเจ้านั่นล่ะ”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบตามตรง

 

“เพราะข้า?”

 

ต้วนหลิงเทียนตกใจ

 

“ถูก”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า ค่อยกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ารู้ดีว่าหากกลับไปหลิงหลัวเทียนกับเจ้า และพวกเราต่างคอยช่วยเหลือกัน ไม่ว่าเรื่องใดก็น่าจะหาทางกันได้ไม่ยาก สิ่งนี้นับว่าลดแรงกดดันไปได้เยอะ…แต่ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น ข้าไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกว่าเรื่องราวมันง่ายดาย และไร้ความกดดัน”

 

“ข้าอยากเติบโต้ก้าวหน้าใต้ความกดดันเพียงลำพัง…ทั้งไม่อยากให้ตัวหย่อนคล้อยแม้แต่วินาทีเดียว”

 

กล่าวถึงประโยคท้ายน้ำเสียงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ฟังจากวาจาของมัน เห็นได้ชัดว่ามันคิดทำให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้มากที่สุด จะได้เป็นแรงผลักดันให้เติบโตก้าวหน้าเร็วๆ…และทั้งหมดเพื่อล้างแค้นให้ตระกูลที่ถูกทำลายล้าง!