ยกตัวอย่างเช่นดาราชีวีทั้งเจ็ดดวงที่อยู่ในจุดตันเถียนชี่ไห่ของหลัวซิว หากเรียกมันออกมาโจมตีผู้อื่นละก็ อานุภาพของมันก็เทียบทัดกับอัญเทพฟ้าได้อย่างแน่นอน

อีกทั้งเมื่อเวทย์ผลการฝึกตนของตัวเราผ่านการผนึกรวมอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงแดนผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้น ดาราชีวีก็จะยิ่งอยู่ยิ่งทรงพลังขึ้นเช่นกัน

เขม่นตามองออกไปไกล ๆ มีความสงสัยปรากฏในแววตาหลัวซิวเล็กน้อย แม้ว่าดวงดาวทั้งเจ็ดดวงนี้ในเมืองเทวะดาราอุดรจะทำให้ดาราชีวีของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย เสมือนมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน แต่ทว่ามันก็มีความแตกต่างทางแก่นสารอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

ดวงดาวทั้งเจ็ดดวงในเมืองเทวะดาราอุดรไม่ได้ผนึกรวมขึ้นมาจากเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าแต่อย่างใด แต่เป็นของขลังที่มนุษย์ขึ้นรูปและกลั่นออกมาโดยนำทองเซียนวัตถุดิบเทพในห้วงดารา

“และนี่ก็คือดาราอุดรเจ็ดดาว เป็นอัญบัลลังก์แห่งสำนักของเขามหาเทวะ!”

จินหลิงหยุนที่อยู่ข้างกายหลัวซิวสังเกตเห็นว่าแววตาเขาถูกดวงดาวทั้งเจ็ดนั่นดึงดูด ดังนั้นเขาจึงยิ้มพลางอธิบาย

อัญบัลลังก์แห่งสำนักที่กล่าวมานั้น ไม่ได้มีการแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนอย่างชัดเจน มันเป็นสัญลักษณ์ของภูมิฐานและของขลังที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักหรือตระกูลหนึ่ง ประโยชน์ของมันก็คือสามารถสยบศัตรูได้ด้วยพลานุภาพ ส่งผลให้การถ่ายทอดสืบสานของตระกูลหรือสำนักนั้น ๆ ยืนยาว และค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปสู่ความรุ่งโรจน์ทีละก้าว

ยกตัวอย่างเช่นครั้นเมื่ออยู่ในโลกแสงดาว อัญบัลลังก์แห่งสำนักของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนเป็นอัญมณีแห่งเทพมาร

ต่อมาเมื่อมาถึงโลกเสวียนเทียน โลกาอสูรฟ้า อัญบัลลังก์แห่งสำนักของกองกำลังชั้นยอดทั้งหลายก็กลายเป็นอัญเทพฟ้า

ปัจจุบันเมื่อมาถึงโลกาดาราอุดรที่บุกเบิกโดยมกุฎเทพ อย่างน้อยสุดอัญบัลลังก์แห่งสำนักของกองกำลังใหญ่ทั้งห้าก็กลายเป็น อัญมณีแห่งราชาเทพ

หลัวซิวรู้สึกว่าดวงดาวทั้งเจ็ดที่ใหญ่มหึมาจนไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ตรงหน้านี้ ทรงพลังกว่า อัญมณีแห่งราชาเทพ ทั่วไปเล็กน้อย เช่นนี้มันถึงสามารถกลายเป็นอัญบัลลังก์แห่งสำนักของกองกำลังราชาเทพได้

“ผู้มาเยือนใช่ผู้เพื่อนยุทธ์จากสำนักเทียนเจี้ยนหรือไม่?”

เมื่อพวกหลัวซิวอยู่ในระยะที่ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้เมืองเทพ เสียงอันเบิกบานก็ดังออกมาจากเมือง ถัดจากนั้นก็มีสายรุ้งหลายสายบินตรงมา

“โจวเจิ้ง? ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็มาด้วยอย่างนั้นหรือ ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นอันดับหนึ่งที่เป็นรองเพียงราชาเทพแห่งสำนักเทียนเจี้ยน คนแก่อย่างข้าอยากประลองกับเจ้ามานานมาก ๆ แล้ว”

สายรุ้งจำนวนมากที่บินออกมาจากเมืองเทวะดาราอุดร ได้ปรากฏเป็นเงาร่างของคนคนหนึ่ง เสียงของคนดังกล่าวดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ

คนดังกล่าวเรียกแทนตัวเองว่าคนแก่ แต่ทว่าเขากลับดูไม่แก่เลยสักนิด โฉมหน้ารักษาอยู่ในช่วงอายุ 30 กว่า มือทั้งสองข้างของเขาไขว้ไว้ด้านหลัง มีพลังอำนาจอันน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกมา

“เหตุใดเฒ่าประหลาดหวงถึงต้องใจร้อนเช่นนี้ หากเจ้าและข้าจะประมือกัน ยังมีโอกาสอีกมากมายเลย”โจวเจิ้งอมยิ้มพลางหกระเหินเดินฟ้า ตรงไปหาคนดังกล่าว

ไม่ว่าจะเป็นโจวเจิ้งหรือเฒ่าประหลาดหวงนั่น ทั้งสองต่างเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในกองกำลังใหญ่ราชาเทพทั้งสองกองกำลัง

ครั้งนี้ผู้ที่มาจากสำนักเทียนเจี้ยนมีไม่เยอะนัก นอกเหนือจากโจวเจิ้งแล้ว ก็รวมไปถึงหลัวซิวและเหล่าผู้อาวุโส

สายตาของเฒ่าประหลาดหวงนั่นกวาดมองมาทางพวกหลัวซิวอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ เมื่อสังเกตเห็นจินหลิงหยุน เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “คนนี้คือผู้เพื่อนยุทธ์จินสินะ ได้ยินมาว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศ จิตใจคงอยู่ในโลกใบนี้เพราะวิถีกระบี่อย่างเดียว เรียกได้ว่าเป็นกึ่งราชาเทพที่หนุ่มที่สุดในโลกใบนี้เลย”

“ผู้เพื่อนยุทธ์หวงชื่นชมมากเกินไปแล้ว”จินหลิงหยุนอมยิ้ม สีหน้าท่าทางดูเงียบสงบ

“เหอะ ๆ จากพรสวรรค์ของผู้เพื่อนยุทธ์จิน การใช้ชีวิตอยู่ในโลกาดาราอุดรนั้นมันน่าเสียดายไปหน่อยจริง ๆ มีเพียงฟ้าดินที่กว้างใหญ่มากกว่าอย่างโลกะอัมพรเทว ถึงจะสามารถทำให้ผู้เพื่อนยุทธ์จินปลดปล่อยศักยภาพทั้งหมดออกมาได้ และได้รับผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า!”เฒ่าประหลาดหวงหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรอีก

นอกจากโจวเจิ้งและจินหลิงหยุนแล้ว ตัวสำนึกของเฒ่าประหลาดหวงได้แผ่สำรวจทุกคนรอบหนึ่งโดยไม่ทิ้งร่องรอยตั้งนานแล้ว เขาไม่พบคนที่ควรค่าแก่การเฝ้าสนใจ

พลังออร่าของหลัวซิวเก็บซ่อนได้มิดชิดสุดขีด ขอแค่เพียงเขาไม่ปลดปล่อยพลังออร่าด้านผลการฝึกตนของตัวเองออกมา ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถมองทะลุผลการฝึกตนของเขาได้ว่าอยู่ระดับใดกันแน่

ยิ่งกว่านั้นคือถึงแม้เขาจะปลดปล่อยพลังออร่าผลการฝึกตนของตัวเองออกมา เนื่องจากเวทย์และผลการฝึกตนของเขามีพลังมหาศาลมากเกินไป ก็จะถูกคนอื่นเข้าใจผิดว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งระดับเจ้านภาชั้นยอดหรือกึ่งราชาเทพได้