บทที่ 718.3 ในที่สุดจั่วโย่วก็ไม่ต้องลำบากใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิวสือลิ่วถอนหายใจ จริงดังคาด ดังนั้นจึงได้แต่เอ่ยประโยคที่ศิษย์พี่ใหญ่คิดไว้มานานแล้ว และสั่งให้ตนนำความมาบอกต่อออกไป “ศิษย์พี่จั่ว ท่านคงยังไม่เคยไปที่ภูเขาลั่วพั่วกระมัง มีคนคาดหวังว่านอกจากศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อแล้ว บนเก้าอี้ทุกตัวจะเคยมีคนไปนั่งมาก่อนอย่างแท้จริง หรือควรจะบอกว่าเคยมีคนไปนั่งจริงๆ จากนั้นสุดท้ายคนทุกคนก็ล้วนช่วยกันเติมม้วนภาพหนึ่งให้เต็ม อาจารย์ของพวกเรา ก่อนจะจากไปก็เคยไปนั่งมาแล้ว ครั้งนี้ข้าออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว ก็ได้ไปย้ายตำแหน่งของเก้าอี้บางตัว…แน่นอนว่าท่านจะไปหรือไม่ไป จะมีหรือไม่มีศิษย์พี่จั่วไปนั่งอยู่นอกประตูจริงๆ หรือไม่ วันหน้าม้วนภาพก็ยังสามารถถูกเติมให้สมบูรณ์ได้ เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ขาดเวทคาถาตระกูลเซียนน้อยนิดแค่นี้”

จั่วโย่วเงียบงันไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปที่ภูเขาลั่วพั่วก่อน แล้วค่อยไปที่นครมังกรเฒ่า พอดีเหมือนกันจะได้ไปดูว่าเวทกระบี่ของเว่ยจิ้นพัฒนาไปแล้วกี่ส่วน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยฝากความหวังให้คนผู้นี้ไว้มาก”

หลังจากนั้นค่อยไปเยือนสำนักใบถงอีกครั้ง จะได้สอนให้คนบางคนรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วทำให้คนลำบากใจอย่างถึงที่สุด

มุมปากของหลิวสือลิ่วเพิ่งจะขยับน้อยๆ ก็สังเกตเห็นว่าจั่วโย่วมองมาด้วยสายตาเย็นชา หลิวสือลิ่วจึงรีบกดมุมปากลงทันที เขาใช้ลมปราณของทั้งร่างแผ่คลุมไปทั่วปราการฟ้าดินก่อน จากนั้นค่อยใช้ปราณกระบี่ของจั่วโย่วมาสร้างเป็นปราการฟ้าดินแห่งที่สอง แล้วถึงได้หยิบเอาภาพขุนเขาสายน้ำที่วาดเป็นภาพขุนเขากลาง ลำน้ำใหญ่และเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีออกมา โยนไปบนพื้น ขอแค่จั่วโย่วเหยียบลงไปก็สามารถหดย่อขุนเขาสายน้ำ ข้ามผ่านสองทวีปไปได้

อันที่จริงก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่เคยพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาด้วยรอยยิ้มว่า ให้คนที่อยู่ห่างไปไกลเดินทางข้ามทวีปด้วยตัวเอง การกระทำเช่นนี้ไม่เหมือนปกติ เขาชุยฉานเองก็เพิ่งจะเคยสร้างขุนเขาสายน้ำขึ้นมาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เอาเป็นว่าต่อให้ทำได้ไม่สำเร็จ เขาจั่วโย่วเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น

เพียงแต่ว่าหลิวสือลิ่วไม่โง่สักหน่อย ไหนเลยจะยอมบอกเรื่องพวกนี้กับศิษย์พี่จั่วอย่างตรงไปตรงมา เดิมทีศิษย์พี่จั่วก็ไม่ถูกกับศิษย์พี่ใหญ่อยู่แล้ว ระหว่างพวกเขาอาจออกกระบี่ฟันคนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

ศิษย์น้องขี้ฟ้อง ศิษย์พี่เดือดร้อน ศิษย์พี่ต่อยตี ศิษย์น้องเดือดร้อน นี่คือระบบสืบทอดเก่าแก่ของสายเหวินเซิ่งบ้านตนแล้ว

ศิษย์น้องคนแรก คือเสี่ยวฉี ศิษย์น้องคนที่สองที่น่าสงสาร คือเขาจวินเชี่ยน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเจอกับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่คาดฝันบางครั้ง อาจารย์จะชอบใช้ปราณเที่ยงธรรมตรงไปตรงมาบนร่างปลอบใจศิษย์น้องเล็กว่า ‘เสี่ยวฉีอ่า ครั้งนี้เป็นเจ้าที่ทำไม่ถูกจริงๆ นะ ศิษย์พี่จั่วโย่วของเจ้ายังมีเหตุผลอย่างที่หาได้ยากด้วย ไม่เป็นไร หากโมโหจริงๆ ก็ตีจวินเชี่ยนไปแล้วกัน จำไว้ว่าอย่าตีจนตัวเองเจ็บล่ะ หากถ่วงรั้งการอ่านหนังสือเขียนตัวอักษรของวันพรุ่งนี้ย่อมไม่ดีแล้ว จวินเชี่ยนอ่า เจ้ามานี่สิ มัวยืนอึ้งเป็นหุ่นไม้อยู่ตรงนั้นทำไมกัน’

โชคดีที่จำนวนครั้งที่เป็นเช่นนี้มีไม่มาก แต่ละครั้งอาจารย์จะขยิบตาให้ ส่วนเสี่ยวฉีก็ไม่ได้ลงมือตีคนจริงๆ กลับกลายเป็นว่าเพียงไม่นานก็หายโมโหแล้ว หันกลับมาเป็นฝ่ายอบรมอาจารย์ด้วยท่าทางจริงจังแทนว่า ห้ามลำเอียงเข้าข้างตนเช่นนี้ ต้องลำเอียงเข้าข้างเหตุผล ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ทำท่ากระจ่างแจ้ง ใช้หมัดทุบฝ่ามือ รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคราวหน้าอาจารย์ต้องแก้ไขแน่นอน ยามเกิดภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ตรงหัวมุมมักจะมีศีรษะสองหัวโผล่ออกมาคอยดูต้นทางให้ คนที่อยู่ต่ำหน่อยคือศิษย์พี่จั่วโย่ว คนที่อยู่สูงหน่อย วางหัวไว้บนหัวของจั่วโย่วเบาๆ ก็คือศิษย์พี่ใหญ่ชุยฉาน

ดังนั้นในใจของหลิวสือลิ่วจึงอดเสียดายไม่ได้ ดูเหมือนว่าความงดงามเหล่านี้จะจากไปแล้วไม่หวนกลับมา

ดังนั้นหลิวสือลิ่วจึงรับปากกับชุยฉานว่าจะให้จั่วโย่วไปที่ภูเขาลั่วพั่วสักครั้ง จะได้ให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่งที่เหลืออีกเพียงสามคน ซึ่งต่อให้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปแล้ว วัตถุคงเดิมแต่คนแปรเปลี่ยน ทว่าสำหรับในใจของพวกเขากลับยังคงได้สร้างความงดงามเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง

จั่วโย่วขยับเท้าไปด้านหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จวินเชี่ยน ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นไร ข้ามาเป็นแขกของที่นี่ สุดท้ายแล้วก็ต้องมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน ก่อนหน้านี้ข้าใช้ปราณกระบี่ค้ำยันฟ้าดินเอาไว้ หายนะน้อยใหญ่ที่แฝงตัวอยู่กำลังขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าก็เร็วต้องหล่นร่วงมายังที่แห่งนี้”

หลิวสือลิ่วคล้ายฟังไม่เข้าใจ

จั่วโย่วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ศิษย์น้องจวินเชี่ยน!”

เจ้าคนที่ชอบวางมาดเป็นศิษย์พี่ที่สุดเอาอีกแล้ว

ช่วยไม่ได้ ศิษย์พี่ก็คือศิษย์พี่ ศิษย์น้องอย่างไรก็ยังเป็นศิษย์น้อง

หลิวสือลิ่วถอนหายใจหนึ่งที ก่อนเอ่ยว่า “ทราบแล้ว ข้าไม่เพียงแต่จะปกป้องฟ้าดินแห่งนี้ให้ปลอดภัย ยังจะรับผิดชอบช่วยชดเชยให้กับพื้นที่มงคลแทนท่านอีกหลายส่วนด้วย”

จั่วโย่วโยนไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ในมือไปให้หลิวสือลิ่วเบาๆ “จวินเชี่ยน ยกให้เจ้าแล้ว”

หลิวสือลิ่วคลี่ยิ้ม รับไม้เท้าเดินป่าธรรมดาอันนั้นมาไว้ ในอดีตนึกอยากจะได้สิ่งของใดเพิ่มเติมมาจากมือของศิษย์พี่จั่วที่รับผิดชอบเรื่องเงิน ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นฟ้า ศิษย์พี่ศิษย์น้องทำไม่ได้ อาจารย์ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

จากนั้นจั่วโย่วก็ประสานมืออำลาศิษย์น้อง

หลิวสือลิ่วจึงประสานมือคำนับศิษย์พี่กลับคืน

จั่วโย่วเดินเข้าไปในม้วนภาพ ร่างจริงพลันพุ่งมารวมกับจิตหยินที่นี่ในชั่วพริบตา

เซียนกระบี่กับม้วนภาพหายวับไปในวูบเดียวพร้อมกัน

หลิวสือลิ่วอยู่ในพื้นที่มงคลเล็กๆ แห่งนี้ เนื่องจากไม่มีภาระบนมหามรรคาที่ต้องคอยสยบปราณกระบี่ การเดินทางของเขาจึงไม่ได้มีข้อห้ามมากมายเฉกเช่นศิษย์พี่จั่ว เพียงแต่ว่าหลิวสือลิ่วไม่มีความสนใจในการท่องเที่ยวอยู่โลกมนุษย์ เขาจึงสลายภาพเหตุการณ์ผิดปกติฟ้าดินที่ร่างจริงของศิษย์พี่จั่วโย่วชักนำมา พลางทะยานลมไปยังม่านฟ้า สุดท้ายหาภูเขาเดียวดายไร้เงาผู้คนแห่งหนึ่ง รอคอยอยู่ที่นั่น เตรียมรับคำสั่งจากอาจารย์ จะดีจะชั่วก็น่าจะรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาสักคนหนึ่ง คุณสมบัติพรสวรรค์อะไรนั่น นับเป็นอะไรได้หรือ? สอนหลักการเหตุผลอริยะปราชญ์บางส่วนให้แก่เขา ยืนกรานคำพูดบางคำ สุดท้ายลูกศิษย์สามารถฝึกฝนเรี่ยวแรงกำลังกายได้ก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้นหลิวสือลิ่วที่อยู่บนยอดเขาเดียวดายลูกนี้จึงเอาใจไปคอยสังเกตดูเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่างตนหนึ่งที่ยังไม่อาจจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากกว่า เห็นเพียงว่าเผ่าปีศาจน้อยตนนั้นยืนสองขา บนโต๊ะหินหยาบๆ นอกถ้ำสถิตมีเกี๊ยวน้ำชามหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน ทั้งเย็นชืดแล้วยังเละ มันกำลังใช้สองขาหน้าเรียนรู้วิธีการใช้ตะเกียบ เพียงแต่ว่ามิอาจคีบเกี๊ยวขึ้นมาได้เสียที แล้วตะเกียบยังเลื่อนหลุดไปในชามอีกด้วย ถึงท้ายที่สุดภูตน้อยก็เดือดดาลอย่างหนัก ขว้างตะเกียบใส่ชาม ยกขาหน้าชี้ชามและตะเกียบบนโต๊ะพลางสบถด่าไม่หยุด กินๆๆ กินกับมารดาเจ้าสิ เจ้าไปกินเกี๊ยวน้ำของเจ้าเองเลยไป!

ดังนั้นหลิวสือลิ่วจึงพยายามเก็บลมปราณมหามรรคาที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายบรรพกาลห่างไกลบนร่างมาให้ได้มากที่สุด พลิ้วกายลงนอกถ้ำสถิต บวกกับที่ภูตตัวนั้นไม่ว่าจะสายตาหรือขอบเขตล้วนต่ำไปหมด คาดว่าคงมีแต่จะเห็นเขาเป็นนายพรานที่ขึ้นเขามาตัดฟืนมากกว่ากระมัง

หลิวสือลิ่งนั่งลงบนโต๊ะหิน หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินเกี๊ยวน้ำ มารดามันเถอะ รสชาติห่วยแตกชะมัด หรือว่าบูดแล้ว? พิธีกราบอาจารย์ครึ่งๆ กลางๆ นี้ ตนเสียเปรียบแล้วหรือไม่?

ภูตน้อยตนนั้นเพิ่งจะย้อนกลับมาทางเดิม เดินออกมาจากถ้ำ เกี๊ยวน้ำชามหนึ่งต้องเปลืองแรงอย่างมากกว่าจะขนจากหมู่บ้านนอกภูเขามาได้ จะปล่อยให้ถูกพวกสัตว์เดรัจฉานขนเต็มตัวในภูเขาที่ชอบอึชอบฉี่ไปทั่วเหล่านั้นเหยียบย่ำไม่ได้ ผลคืออยู่ดีๆ มันก็ได้เห็นนายพรานร่างกำยำคนนั้น ทำเอามันตกใจสะดุ้งโหยง คนตามมาทวงหนี้งั้นหรือ? ภูตน้อยกลัวมากจริงๆ ร่างกายของชายฉกรรจ์คนนั้นบึกบึนเปี่ยมไปด้วยพละกำลังขนาดนี้ มองดูแล้วไม่เหมือนคนที่จะพูดคุยปรึกษากันดีๆ เลยนะ เวทคาถาตระกูลเซียนที่ตนเรียนมาส่งเดชก็คงเอามาใช้ไม่ได้กระมัง? ในใจภูตน้อยขุ่นเคืองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เกี๊ยวน้ำชามหนึ่ง ข้าผู้อาวุโสก็จ่ายเงินไปแล้ว ไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเหรียญทองแดงหนึ่งพวง ยังจงใจทิ้งสัตว์ป่าสองสามตัวที่ล่ามาได้ไว้ข้างเตาไฟด้วย หากไม่เป็นเพราะข้าผู้อาวุโสเคยอ่านตำราอริยะปราชญ์ทั้งหลายที่อยู่ในถ้ำ จึงกลายเป็นนายท่านบัณฑิตมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นจะจ่ายเงินกับผายลมไปทำไม อย่าว่าแต่แย่งเกี๊ยวน้ำชามหนึ่งของเจ้ามาเลย แม้แต่หม้อใหญ่ที่บ้านเจ้าใช้ต้มเกี๊ยว ข้าก็จะแย่งมาด้วย!

เจ้าตัวดี ได้เงินไปแล้วยังมีหน้ามาด่าทอในบ้านข้าอีกหรือ? มีอย่างที่ไหน มีอย่างที่ไหน ภูตน้อยเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าประตูถ้ำ สมกับเป็นคนเถื่อนไร้การศึกษาไม่เคยอ่านตำรามาก่อนจริงๆ ไม่ถือสาเจ้าก็แล้วกัน กินเกี๊ยวน้ำบูดไปชามหนึ่ง…คิดมาถึงตรงนี้ ภูตน้อยก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าอาลัย ปลุกความกล้าให้กับตัวเอง หลบอยู่ด้านข้างของถ้ำไม่โผล่หัวออกมา จงใจส่งเสียงดัง จะได้ทำให้เจ้าผีหิวโหยที่จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบินผู้นั้นตกใจหนีไป กินมากเกินไป เขาก็กลัวว่าหน้าบ้านตนจะมีผีหิวโหยเพิ่มมาอีกตัวหนึ่งจริงๆ แบบนั้นจะอัปมงคลเพียงใด

มันรักษาโรคให้ใครไม่เป็นหรอกนะ ในตำราก็ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้แก่มันด้วย ในตำรามีแค่ภาพกราบไหว้ดวงจันทร์กลายร่างเป็นคน ถูกมันเปิดอ่านอย่างมึนๆ งงๆ เรียนรู้มาอย่างผิวเผิน พอจะถือว่าสติปัญญาเปิดออกได้อย่างถูไถ

แม้จะแต่งตั้งตัวเองว่าเป็นราชาลมวน แต่จะคิดเป็นจริงเป็นจังก็ไม่ได้ มันก็แค่เอามาหาความบันเทิงให้กับตัวเองเท่านั้น

หลิวสือลิ่วพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตนเพิ่งมาถึงพื้นที่มงคลได้ไม่นานเท่าไร ทั้งพูดภาษาทางการอะไรไม่ได้ แล้วก็ฟังภาษาถิ่นอะไรไม่เข้าใจด้วย

นี่ชวนให้กระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย จึงมองไปทางถ้ำสถิต หลิวสือลิ่ววางตะเกียบแล้วเกาหัว

ภูตน้อยตนนั้นเห็นเข้าก็เกือบจะร้องไห้ด้วยความตกใจระคนโกรธ เจ้าตัวดี กินดื่มอิ่มหนำเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นแล้ว หรือยังคิดจะตีคนด้วย? ถึงได้อดไม่ไหวยืดเส้นยืดสายแล้ว อย่าตีนะ อย่าตี ข้าไม่ใช่คนเสียหน่อย…

นายพรานนักล่าที่ชอบขึ้นเขาเหล่านี้ มีคนใดบ้างที่ไม่ใช่พวกดุร้าย วันนี้ขอแค่ชายฉกรรจ์ผู้นี้ไม่ถือสา เดี๋ยวข้าจะรีบเก็บสัมภาระย้ายบ้านทันที ย้ายไปอยู่ไกลๆ ไม่ได้หรือ?

หลิวสือลิ่วพยายามคิดหาวิธี ก่อนคิดว่าควรไปจับตัวผู้ฝึกตนครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงมา เรียนภาษากันก่อน ทั้งสามฝ่ายถึงจะพูดคุยกันได้รู้เรื่อง ถือเสียว่าเรื่องดีมากันเป็นคู่ ถ้าอย่างนั้นก็รับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราวมาทีเดียวสองคน ส่วนสุดท้ายแล้วตนจะสามารถรับลูกศิษย์ได้หรือไม่ อีกฝ่ายจะได้กราบไหว้อาจารย์หรือไม่ จะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขา หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับชื่อซึ่งไม่ทราบนามต้องห้ามของอาจารย์ ล้วนขึ้นอยู่กับวาสนาของทั้งสองฝ่ายเถอะ หลิวสือลิ่วยังไม่ถึงขั้นที่ต้องรับลูกศิษย์มาอย่างพร่ำเพื่อ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจารย์เคยเตือนลูกศิษย์อย่างเขามาหลายครั้ง อย่าได้เอาแต่คิดว่าการรับลูกศิษย์เป็นเรื่องการทำบุญทำทานอย่างหนึ่ง รับลูกศิษย์เข้ามาอยู่ในสำนัก เป็นอาจารย์ในโรงเรียนก็ดี เป็นอาจารย์บนภูเขาก็ช่าง ผู้ถ่ายทอดมรรคาคนหนึ่ง หากในใจของตัวเองวางตัวเป็นคนสูงส่งที่โยนความรู้ โยนวิชาเซียนลงไปยังจุดต่ำอยู่ตลอด จิตใจคนก็มีแต่เป็นดั่งสายน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ

ภูตน้อยตนนั้นเห็นคนผู้นั้นก้าวยาวๆ ลงภูเขาไปก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก เก็บอารมณ์ขลาดกลัวกลับไปเหมือนเก็บขุนเขาสายน้ำใหญ่มาได้อย่างไรอย่างนั้น มันเดินอาดๆ ออกจากถ้ำอย่างมาดมั่นเปี่ยมไปด้วยบารมี มีบารมีน่าเกรงขามเสียจริง ราชาลมวนแค่ถลึงตาก็ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ตกใจหนีไปได้ จะย้ายบ้านกับผายลมอะไรเล่า วันหน้าข้าผู้อาวุโสยังจะแขวนกรอบป้ายอักษรทองว่า ‘จวนราชาใหญ่ลมวน’ อีกนะ แม้จะคิดเพ้อฝันไปไกลเช่นนี้ แต่ภูตน้อยก็ยังหยิบตะเกียบและชามมา แล้ววิ่งเข้าถ้ำไปเก็บสัมภาระอย่างว่องไว เก็บหนังสือหลายเล่มนั้นอย่างระมัดระวัง สุดท้ายมันหันหน้าเข้าหาหลุมศพเล็กๆ หลุมหนึ่งแล้วคุกเข่าโขกหัวคำนับอย่างนอบน้อม ในใจพร่ำท่องบอกว่า คงได้แต่กลับมาเยี่ยมเยือนท่านเทพเซียนวันหน้าแล้ว หลังจากโขกหัวเสร็จ ภูตน้อยถึงได้เผ่นปรู๊ดหนีไปเพื่อความเป็นมงคล

อันที่จริงหลิวสือลิ่วยังไม่ได้จากไปไกลจริงๆ เขาร่ายเวทอำพรางตา คอยติดตามอยู่ด้านหลังภูตน้อยอยู่ตลอด

ในยุคบรรพกาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีวิชาอภินิหารประเภทชี้ตรงไปยังจิตดั้งเดิมของใจคน อันที่จริงหลิวสือลิ่วก็เคยเรียนมาบ้าง เพียงแต่ว่าขยับมาดูใกล้ๆ ถึงอย่างไรก็ไม่น่าจะผิดพลาด ผลคือพอมาดูเช่นนี้ก็ทำให้หลิวสือลิ่วดีใจได้จริงๆ อีกฝ่ายฉลาดเฉลียวเหมือนตนเลย

ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป บนทะเลเมฆเหนือเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ชุยฉานที่ในฝ่ามือถือประคองป๋ายอวี้จิง ร่างจริงของราชครูแคว้นต้าหลีท่านนี้กลับเป็นคนหนุ่มลัทธิขงจื๊อที่คอยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับสำนักศึกษามากมายในแต่ละแคว้น ปัญญาชนที่นั่งเรียน ต่อให้จะมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักศึกษากวานหูและสำนักศึกษาซานหยา แต่กลับไม่มีใครสักคนที่ได้รับยศนักปราชญ์หรือวิญญูชน

เรือนกายสูงเพรียวสีเขียวโผล่พรวดขึ้นที่ริมขอบของทะเลเมฆ ชุยฉานตามองไปข้างหน้าไม่กะพริบ ยังคงช่วยอธิบายถึงแก่นแท้ของความรู้เมธีร้อยสำนักให้กับบัณฑิตรุ่นเยาว์ทั้งหลาย

ทว่ากลับมีบัณฑิตหลายคนที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสำนักศึกษากวานหูที่ฝึกปราณแห่งความเที่ยงธรรม จิตรับรู้จึงเฉียบไวยิ่งกว่า ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงพากันหันไปมองคนผู้นั้นทันทีทันใด

จั่วโย่วเองก็ไม่หันไปมองชุยฉานที่อธิบายหลักการเหตุผลอย่างต่อเนื่อง แต่หันไปมองทุกคนที่มองมายังตน ขมวดคิ้วตวาดสั่งสอน “เข้ามาในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาก็คือให้พวกเจ้าเป็นเทพเซียนงั้นรึ?!”

จากนั้นจั่วโย่วก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เส้นหนึ่งพุ่งตรงไปยังอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ทะเลเมฆใกล้กับป๋ายอวี้จิงถูกปราณกระบี่แหวกออก เนิ่นนานก็ยังไม่ประกบผสานกัน

ชุยฉานเพียงแค่สอนนักเรียนต่อไปอีกครั้ง ทั้งไม่เอ่ยอะไรกับเซียนกระบี่จั่วที่ข้ามทวีปเดินทางไกลแม้แต่ครึ่งคำ แล้วก็ไม่ห้ามปรามพวกคนรุ่นเยาว์ที่วอกแวกเสียสมาธิ ปล่อยให้พวกเขากระซิบกระซาบคาดเดาตัวตนของเซียนกระบี่ผู้นั้นด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบานกันต่อไป

สุดท้ายจั่วโย่วพลิ้วกายลงบนภูเขาลั่วพั่ว เฉินหน่วนซู่ช่วยมาเปิดประตูให้ จั่วโย่วไปจุดธูปในศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อก่อน จากนั้นโจวมี่ลี่ก็ย้ายเก้าอี้มารอไว้ข้างนอกแต่เนิ่นๆ แล้ว ดูเหมือนว่าจะวางไว้ในตำแหน่งที่พิถีพิถันอย่างมาก ไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย

จั่วโย่วนั่งลงบนเก้าอี้ เซียนกระบี่จั่วโย่ว เหลียวซ้ายแลขวา

ดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์นั่งอยู่ตรงกลาง มีศิษย์น้องจวินเชี่ยน ศิษย์น้องฉีจิ้งชุน ศิษย์น้องเล็กเฉินผิงอัน ศิษย์พี่ใหญ่…ชุยฉาน

ล้วนขนาบอยู่ซ้ายขวาของจั่วโย่ว

ราวกับว่าเบื้องหลังยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์อีกมากมายของภูเขาลั่วพั่ว

สายของเหวินเซิ่ง แตกกิ่งก้านสาขา

ครึกครื้นมีชีวิตชีวา ไม่เดียวดายอีกต่อไป

จั่วโย่วจัดระเบียบเสื้อผ้านั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ สองมือกำเป็นหมัดแน่น วางเบาๆ ลงบนหัวเข่า สายตามองไปเบื้องหน้า ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ

พอจั่วโย่วลุกขึ้นยืน ก็คือเซียนกระบี่จั่วโย่ว หลังจากนี้ยามออกกระบี่ จะไม่ลำบากใจอีกต่อไป