จูเหลี่ยนแอบใช้จอบเล็กๆ ขุดอยู่ในนครลมเย็นมานานหลายปี สุดท้ายก็ขุดเอาแคว้นหูแห่งหนึ่งไปได้
ตอนที่จูเหลี่ยนเพิ่งพาเพ่ยเซียงกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว ก็เป็นช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างจวินเชี่ยนลงจากภูเขาและจั่วโย่วขึ้นมาบนภูเขาพอดี
สวี่หุนเจ้านครลมเย็นเพิ่งออกจากหอบินทะยานไปได้ไม่นานนัก เดิมทีสวี่หุนกับหวงเหอผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าถูกขนานนามให้เป็น ‘ผู้ที่มีพลังพิฆาตสูงสุดต่ำกว่าห้าขอบเขตบน’ แห่งแจกันสมบัติทวีป ทุกวันนี้ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ต่อให้สวี่หุนจะเป็นคนสุขุมหนักแน่นก็ยังอดเผยสีหน้าลำพองใจออกมาไม่ได้ เขาไม่ได้กลับไปที่นครลมเย็น แต่โดยสารเรือกองทัพชายแดนลำหนึ่งของต้าหลีที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว มุ่งหน้าไปเยือนสนามรบของนครมังกรเฒ่าตามกำหนดการของหอบินทะยาน
จากนั้นสวี่หุนก็ได้รับจดหมายจากกระบี่บินฉบับหนึ่ง เพียงไม่นานบนเรือข้ามฟากก็มีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามขุมหนึ่งถูกปล่อยออกมา ปราณสังหารเข้มข้นประหนึ่งน้ำขึ้นที่เอ่อล้นปกคลุมไปทั่วเรือข้ามฟาก
เพราะผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้มีสถานะที่พิเศษ ดังนั้นจอมยุทธพเนจรแห่งสำนักโม่ที่พาดกระบี่ไว้ด้านหลังเป็นแนวขวางท่านหนึ่งจึงออกจากเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีเงียบๆ มาช่วยคุ้มกันเรือข้ามฟากลำนี้เดินทางลงใต้โดยเฉพาะ ตอนที่สวี่หุนกดข่มพลังอำนาจของห้าขอบเขตบนที่เป็นดั่งกระแสน้ำล้นไหลหลากไม่ได้ เป็นเหตุให้เรือทั้งลำสั่นสะเทือนไม่หยุด ทะเลเมฆทุกผืนที่เรือข้ามฟากล่องผ่าน เมฆขาวกระจุยกระจายไปสี่ทิศ ซัดตลบอบอวลไม่หยุดนิ่ง
สวี่รั่วมีสีหน้าเป็นปกติ มือหนึ่งไพล่ไปด้านหลัง ใช้ ‘วิธีกุมกระบี่’ ที่คิดค้นขึ้นเองหลังจากบรรลุการพิศภาพเซียนกระบี่สู่โบราณภาพหนึ่งผลักด้ามกระบี่ออกจากฝักมาเบาๆ ชุ่นกว่า พลังอำนาจขุมนั้นของสวี่หุนก็ถูกสยบลงในเสี้ยววินาที
จอมยุทธพเนจรสวี่รั่วส่ายหน้าให้กับผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพบู๊ต้าหลี บอกเป็นนัยแก่อีกฝ่ายว่าไม่ต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ การกระทำเช่นนี้ของเจ้านครลมเย็น ทางเรือข้ามฟากสามารถจดลงบันทึกไว้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องวิ่งไปซักไซ้เอาความผิดแล้ว
ครู่หนึ่งต่อมาสวี่หุนที่สวมเสื้อเกราะโหวจื่อไว้บนร่างก็ปรากฏตัวบนหัวเรือ เป็นฝ่ายมาหาผู้ดูแลเรือข้ามฟากด้วยตัวเองแล้วเอ่ยขออภัย จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณสวี่รั่ว
สวี่รั่วเพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่าไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กเรื่องหนึ่งเท่านั้น
สวี่หุนกลับไปยังที่พักในเรือ มองดูเหมือนว่าจิตแห่งมรรคาจะไร้ริ้วคลื่นกระเพื่อมแล้ว
แม่ทัพบู๊กองทัพชายแดนที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีคนนั้นมาจากภูเขาเจินอู่ และภูเขาเจินอู่กับศาลลมหิมะที่เป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปสองแห่งนี้ก็สนิทสนมกับสำนักโม่เป็นที่สุด นี่เกิดจากความใกล้เคียงกันของมหามรรคาและความถูกชะตากันและกันเป็นตัวนำพา
แม่ทัพสวมเสื้อเกราะใช้เสียงในใจถามเบาๆ “อาจารย์สวี่ สามารถทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งเสียกิริยาได้ขนาดนี้ เป็นเพราะที่นครลมเย็นเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นหรือ?”
สวี่รั่วพยักหน้า “มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นแคว้นหูแห่งนั้น พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ย่อมต้องมีสายลับคอยจับตามองที่นั่นอยู่”
รากฐานในการหยัดยืนของนครลมเย็นคือแคว้นหู นอกจากนั้นคือความสามารถในการหาเงิน อย่างเจ้านครสวี่หุนผู้นี้ แม้ว่าจะมีสถานะสูงส่ง แต่อันที่จริงแล้วสำหรับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือเรื่องของการใช้เงิน กลับกลายเป็นว่าจิตใจสงบนิ่งไร้ความปรารถนาประหนึ่งอริยะผู้ทรงธรรม แน่นอนว่าภรรยาคนนั้นของสวี่หุนคือคนที่หาเงินได้เก่ง แล้วก็เป็นคนที่เข้าใจเสวยสุขด้วย คำวิพากษ์วิจารณ์ในวงการขุนนางของเมืองหลวงต้าหลีจึงมีทั้งดีและร้ายปนกันอย่างละครึ่ง
สวี่รั่วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาได้รู้ความลับใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่งมาจากทางฝั่งของราชครูชุยฉาน น่าเสียดายที่ตนปลีกตัวไปไม่ได้ จึงไม่ทันได้ไปเจอกับป๋ายเหย่ที่เป็นเซียนแห่งบทกลอนและยิ่งเป็นเซียนกระบี่ผู้นั้น
ก่อนหน้านี้หลังจากจูเหลี่ยนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว คืนนั้นก็ลากเอาเว่ยป้อ หมี่อวี้และเหวยเหวินหลงมาปรึกษาเรื่องใหญ่ๆ ด้วยกันหลายเรื่อง
ผู้ดูแลที่เป็นผู้ฝึกยุทธ ซานจวินผู้เป็นพันธมิตร เซียนกระบี่ผู้ถวายงาน ผู้ฝึกลมปราณโอสถทองที่ดูแลเงินคิดบัญชี ฝึกตนกันคนละเส้นทาง มาจากบ้านเกิดที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายกลับมาเจอกันบนภูเขาลั่วพั่ว
จูเหลี่ยนที่เป็นผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วเพิ่งเคยจะได้พบเจอกับหมี่อวี้และเหวยเหวินหลงเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าการปรึกษาหารือครั้งนี้เขากลับไม่เห็นทั้งสองเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย
คนทั้งกลุ่มนั่งลงข้างโต๊ะหินในลานบ้านของจูเหลี่ยน เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งบนโต๊ะก็มีเหล้าหมักตระกูลเซียนของตำหนักฉางชุนเพิ่มมาสี่กา รวมไปถึงของเลียนแบบอักษร ‘ลี่’ สี่ใบจากในแก้วเทพบุปผาสิบสองใบ ตามคำกล่าวของล่างภูเขา นี่ถือเป็น ‘ข้าวของเครื่องใช้ของทางการ’ ตามแบบฉบับ พูดง่ายๆ ก็คือจอกเหล้าเล็กสี่ใบที่เล่าลือกันว่ามาจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผานี้มีค่ามากกว่าเหล้าหมักชุนฮวาเจียวสี่กามากนัก งานเลี้ยงท่องราตรีหลายครั้งไม่ได้จัดขึ้นอย่างเสียเปล่า เว่ยซานจวินรีดไถของเล่นหายากตระกูลเซียนมาได้ไม่น้อยเลย
จูเหลี่ยนเอ่ย “คืนนี้เพียงแค่จิบนิดหน่อย ใครก็ห้ามดื่มเยอะ”
เว่ยป้อจึงยกชายแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง ดูจากท่าทางแล้วเตรียมจะเก็บเหล้าไปให้หมดทีเดียว จูเหลี่ยนรีบยื่นมือมาบังกาเหล้าที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง “แค่จิบเบาๆ ให้พอกระชุ่มกระชวย ไม่ดื่มก็ไม่เป็นไร”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ “มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”
เดิมทีเหวยเหวินหลงกำลังมองประเมินจอกเหล้าอย่างละเอียด ในใจกำลังประเมินว่าราคาเท่าไร พอได้ยินถ้อยคำของเว่ยซานจวินแล้วก็รีบเก็บความคิดทุกอย่างทันที
จูเหลี่ยนจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้ววางจอกเหล้าลง สองนิ้วหมุนจอกกระเบื้องที่งามประณีติอย่างถึงที่สุดใบนั้นเบาๆ
เรื่องแรกที่พูดคุยกันจูเหลี่ยนก็สอบถามทันทีว่าเจ้าขุนเขาจะกลับมายังใต้หล้าไพศาลเมื่อไหร่ รวมไปถึง…สรุปแล้วว่าจะสามารถกลับมาถึงบ้านเกิดได้หรือไม่กันแน่
จูเหลี่ยนเตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนเว่ยป้อด่าแสกหน้า
แต่จูเหลี่ยนกลับได้รับข่าวที่ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดข่าวหนึ่ง ไม่ใช่ข่าวที่แม่นยำอะไร แต่เป็นหมี่อวี้บอกว่าอาจารย์หลิวท่านนั้น ซึ่งก็คือศิษย์พี่ของใต้เท้าอิ่นกวานค่อนข้างจะมั่นใจกับเรื่องนี้ ไม่กล้าบอกว่าศิษย์น้องเล็กจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน แต่ความหวังที่จะได้กลับมาโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีอยู่บ้าง จะต้องมีโอกาสรอดชีวิตอยู่เสี้ยวหนึ่งแน่ๆ สวรรค์ไม่ไร้หนทางให้คนเดิน หากมีโอกาสที่ว่านั้นจริงๆ ศิษย์พี่อย่างพวกเขา ไม่ว่าจะต้องวางแผนก็ดี ส่งกระบี่ก็ดี หรือออกหมัดก็ช่าง ไม่ว่าจะเป็นแผนการหรือใช้หมัดใช้กระบี่ก็ต้องช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งนั้นมาให้ศิษย์น้องเล็กให้จงได้
จูเหลี่ยนเอ่ย “ความโกลาหลบนม่านฟ้าสามครั้งที่เกิดขึ้นเหนืออาณาเขตของขุนเขาเหนือก่อนหน้านี้ล้วนได้เห็นอยู่กับตา น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง เป็นวิชาหมัดที่ดีเยี่ยม เป็นวิชาหมัดที่ดีเยี่ยมจริงๆ”
เพียงแต่ว่าไม่ใช่ว่าจูเหลี่ยนไม่เคารพนับถือในตัว ‘จวินเชี่ยน’ ผู้นี้ แต่เป็นเพราะในใจของจูเหลี่ยนแล้ว สำหรับความคิดเห็นที่เขามีต่อวิชาหมัดและการเรียนวรยุทธ แต่ไหนแต่ไรมาก็แปลกประหลาดอยู่เสมอ ในความคิดของจูเหลี่ยน เมื่อเทียบกับปณิธานหมัดของชุยเฉิงแล้ว แม้ว่าจวินเชี่ยนทั้งคนทั้งหมัดจะอยู่สูงบนฟ้าได้เหมือนกันก็จริง แต่ปณิธานหมัดกลับยังคงหล่นจากฟ้าลงมาเบื้องล่าง ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเลื่อมใสผู้ฝึกยุทธชุยเฉิงมากกว่า ก็เหมือนกับเด็กรุ่นหลังติงอิง หากอิงตามคำกล่าวของคุณชายและจ้งชิว จนกระทั่งถึงแก่ความตาย ติงอิงก็ยังคงรู้สึกเหมือนมีเทพยดาองค์หนึ่งกดข่มอยู่เหนือศีรษะและหัวใจตลอดเวลา ถามหมัดต่อแผ่นฟ้า แน่นอนว่าดีอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นเรียกได้ว่าเผด็จการ ทว่าจูเหลี่ยนกลับรู้สึกว่าต่อให้เทพเทวามายืนอยู่ตรงหน้าข้า ต่อให้เจ้าเป็นเทพยดา ก็ยังเหมือนอย่างสัจธรรมหมัดที่ชุยเฉิงศรัทธาที่บอกว่า เบื้องหน้าผู้ฝึกยุทธ ไร้คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียม
ไม่อย่างนั้นต่อให้ติงอิงจะอยู่ในสถานที่แห่งอื่นของพื้นที่มงคลดอกบัว ก็ยังมีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่ ถึงเวลานั้นวิชาหมัดเพิ่มพูนขึ้นหนึ่งระดับ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ฝึกวิชาเซียนมาหล่อเลี้ยงวิชาหมัด ต่อให้ปณิธานหมัดสูงแค่ไหนก็ยังเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดที่ถูกชักใยอยู่ดี
จูเหลี่ยนเก็บความคิดเหล่านี้มาแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องที่สอง
นั่นคือสมมติว่าในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้าเจ้าขุนเขายังไม่กลับมาที่ภูเขา ภูเขาลั่วพั่วควรจะเลือกอย่างไร
ควรจะอยู่ร่วมกับสกุลซ่งต้าหลีที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีปอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เว่ยป้อไม่เอ่ยอะไรสักคำ ไม่ว่าภูเขาลั่วพั่วจะใกล้ชิดสนิทสนมกับภูเขาพีอวิ๋นอย่างไรก็ไม่เหมาะที่เขาจะเปิดปาก เว้นเสียแต่ว่าจูเหลี่ยนสามคนปรึกษกันแล้วเกิดความคลาดเคลื่อนไปจากที่เว่ยป้อคิดไว้มาก เพียงแต่ว่าจูเหลี่ยนไม่ได้ใช้กระบวนท่าส่งเดช เล่นหมากล้อมก็เป็นเช่นนี้ ฝีมือการเล่นหมากล้อมของจูเหลี่ยนสูงส่ง ทัดเทียมได้กับเว่ยป้อ แม้ว่าพวกเขาสองคนต่างก็ด้อยกว่าเจิ้งต้าเฟิงอยู่บ้างเล็กน้อย ห่างชั้นจากชุยตงซานไม่น้อย ทว่ายามเล่นหมากล้อมจูเหลี่ยนไม่เคยจงใจแสวงหาฝีมือของเทพเซียน ข้อนี้แม้แต่เจิ้งต้าเฟิงก็ยังต้องประจบสอพลอเขายกใหญ่
ส่วนหมี่อวี้นั้นรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ อยู่บนภูเขาลั่วพั่วเขาเอาแต่แทะเมล็ดแตงกับหมี่ลี่น้อย เวลานี้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่เริ่มเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
โชคดีที่ยังมีเหวยเหวินหลง ไม่ได้ทำให้หมี่อวี้ผิดหวัง
เหวยเหวินหลงและจูเหลี่ยนปรึกษากันจนได้ผลลัพธ์ข้อหนึ่ง ต้องการแบ่งหนึ่งเป็นสอง วิธีการอยู่ร่วมกับสกุลซ่งต้าหลีและราชวงศ์ต้าหลีนั้น ควรจะมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้าง
จูเหลี่ยนเสนอวิธีการอย่างหนึ่ง
เรือข้ามฟากทั้งหมดที่มีอยู่บนภูเขาหนิวเจี่ยว ไม่เก็บค่าใช้จ่ายในการจอดแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว การเผาผลาญปราญวิญญาณในท่าเรือหนิวเจี่ยว ภูเขาลั่วพั่วจะเป็นคนแบกรับไว้เพียงลำพัง
เว่ยป้อเสนอว่าให้เป็นห้าต่อห้า จูเหลี่ยนจึงถูมือ ยิ้มประจบมองไปทางเว่ยซานจวิน กำลังจะอ้าปากพูด เว่ยป้อก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่าแค่ห้าต่อห้าเท่านั้น ภูเขาพีอวิ๋นจะไม่รับเพิ่มมาแม้แต่ส่วนเดียว
เว่ยซานจวินเข้มแข็งมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรี สองชายแขนเสื้อมีลมเย็นภูเขาพีอวิ๋น…เรื่องน่าปิติยินดีเกิดขึ้นที่ขุนเขาเหนืออย่างต่อเนื่อง งานเลี้ยงท่องราตรีเล็กๆ ที่จัดขึ้นสองสามครั้ง ทุบหม้อขายเหล็กขึ้นมาบนภูเขา ดื่มสุรารสเลิศสองสามจอกแล้วลงเขาไป…
จูเหลี่ยนนึกถึงเรื่องเล่าลือบางอย่างที่แม้แต่ตนซึ่งอยู่ห่างไกลไปถึงนครลมเย็นก็ยังได้ยินมา จึงรู้สึกว่าอันที่จริงเว่ยซานจวินต้องจัดการดูแลกิจการบ้านเรือนใหญ่โตถึงเพียงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ จึงไม่หั่นราคาต่ออีก
ที่อนาถที่สุดก็คือพวกคนที่กว่าจะแอบดอดไปหลบที่ขุนเขากลางได้ไม่ง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าต้องไปเจอกับจิ้นชิงซานจวินที่จัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกพอดี
จูเหลี่ยนใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็เสนอความคิดอย่างหนึ่งว่า ให้หักต้นทุนการทำการค้าทั้งหมดของภูเขาลั่วพั่ว และกำไรทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดไปแล้ว ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกองทัพต้าหลีและทรัพยากรในสนามรบ ต่อให้เป็นทรัพยากรทั้งหมดที่โยกย้ายจากมือของภูเขาลั่วพั่วไปถึงกองทัพชายแดน ก็ต้องสละกำไรทุกอย่างทิ้งไม่ต้องการ ไม่เพียงเท่านี้ ภูเขาพันธมิตรทั้งหมดที่อยู่บนเส้นตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปซึ่งรวมภูเขาลั่วพั่ว สำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยเป็นหนึ่งในนั้น ต้องพยายามลดราคาลงอย่างเหมาะสม ภายใต้เงื่อนไขที่รับประกันว่าจะต้องไม่ขาดทุน อาจจะหาเงินได้น้อยหน่อย หรืออาจถึงขั้นไม่ได้กำไรเลย
เว่ยป้อเอ่ย “คนบนภูเขาติดค้างน้ำใจแล้วต้องคืน เมื่อเทียบกับการยืมเงินเทพเซียนและการใช้คืนเงินเทพเซียนแล้ว อันที่จริงยุ่งยากกว่ามาก ข้ารู้สึกว่าเงินก้อนนี้ ทางที่ดีที่สุดภูเขาลั่วพั่วควรจะเอามาใช้เองให้หมด อย่าลากพวกพันธมิตรทางการค้ามาเกี่ยวข้อง หรือไม่ถ้า…พวกภูเขาอย่างสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์เป็นคนเปิดปากเอง พวกเราก็ค่อยจดจำน้ำใจของฝั่งตรงข้าม การที่พูดเช่นนี้เพราะตลอดช่วงหลายปีมานี้เจ้าไม่อยู่บนภูเขา คงไม่รู้ว่าทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วพอจะมีเงินเหลืออยู่บ้าง อีกทั้งไม่พูดถึงรายรับจากฝ่ายต่างๆ พูดถึงแค่พื้นที่มงคลรากบัวที่ไปเยือนใบถงทวีปมารอบหนึ่ง อยู่ในมือของเจียงซ่างเจิน ไม่เพียงไม่ขาดทุนแล้วยังได้กำไร เหวยเหวินลง เจ้าเป็นคนแจงบัญชีแก่จูเหลี่ยน”
เหวยเหวินหลงคิดคำนวณบัญชีของพื้นที่มงคลรากบัวไว้ก่อนแล้ว เจียงซ่างเจินเชี่ยวชาญการหาเงินจริงๆ เหวยเหวินหลงที่ทุกวันนี้เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วรู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างยิ่ง รู้สึกว่าหากเจอหน้ากันต้องพูดคุยกันได้แน่นอน
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “จะโทษข้าไม่ได้ มีภูเขาลูกใดบ้างที่ผู้ถวายงานไม่เพียงแต่ไม่รับเงิน กลับกันยังพยายามสุดชีวิตที่จะหาเงินส่งมาให้อีกด้วย?”
ในเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนของสมาชิกในศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว สามารถทำให้ตระกูลเซียนอักษรจงหลายแห่งตีอกชกตัวด้วยความอิจฉาริษยาได้จริงๆ เพราะพวกเขาต่างก็ชอบการให้เงินเพิ่มแก่ภูเขาเช่นนี้
จูเหลี่ยนถามขึ้นทันทีด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เว่ย ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรากลัวว่าจะติดค้างน้ำใจคนอื่นหรือ? ภูเขาลั่วพั่วขาดคนที่จะมาเป็นคู่ค้างั้นหรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก ภูเขาลั่วพั่วทำการค้ากับผู้อื่นล้วนมุ่งไปที่การสานสันพันธ์หลายร้อยหลายพันปี หากจะถามข้านะ ใครติดค้างน้ำใจใครกันแน่ วันหน้ายังบอกได้ยาก ดังนั้นเรื่องของการกดราคาลงก็ให้ข้าเป็นคนตัดสินใจเองคนเดียวสักครั้งดีไหม? คนที่ไม่ยอมกดราคาลง นอกจากสำนักพีหมาแล้ว ในอนาคตหากทำเช่นนี้ก็ได้แต่มอบให้เจ้าขุนเขาเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นสวนน้ำค้างวสันต์ ก็คงต้องปิดประตูลง พวกเราคนกันเองพูดจาไม่น่าฟังกันได้ ต่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจะห่างเหินกันไปเรื่อยๆ แล้วจะเป็นไรไป?”
ในที่สุดหมี่อวี้ก็พยักหน้าเปิดปากเอ่ยว่า “ขนบธรรมเนียมประเพณีของอุตรกุรุทวีปเป็นอย่างไร ข้าค่อนข้างรู้ชัดเจนดี อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้ให้พวกสวนน้ำค้างวสันต์ต้องขาดทุน ก็แค่ไม่ได้กำไรเท่านั้น หากขนาดนี้แล้วยังไม่ยอม หึหึ”
เว่ยป้อคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ตกลง”
จากนั้นจูเหลี่ยนก็เสนอความคิดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่อให้เป็นคนใจกว้างอย่างหมี่อวี้ก็ยังต้องเดาะลิ้นจุ๊ปาก
จูเหลี่ยนเสนอให้เอาเรือมังกรฟานโม่ของบ้านตัวเองลำนั้นไปให้กองทัพต้าหลียืมใช้อย่างเต็มอำนาจในทันที ซึ่งต้องบอกกล่าวแก่ราชวงศ์ต้าหลีอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก หรืออาจถึงขั้นต้องลงนามในสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ต่อให้วันใดเรือถูกทำลายอยู่ในสนามรบ ภูเขาลั่วพั่วก็จะถือเสียว่าไม่เคยมีเรือลำนี้มาก่อน กองทัพต้าหลีไม่จำเป็นต้องชดใช้แม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว
แม้ว่าเหวยเหวินหลงจะเสียดายอย่างสุดแสน แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยว่า “ได้!”
เรื่องที่สามก็คือเรื่องการนำพื้นที่มงคลรากบัวและบ่อโซ่เหล็กมาประกบต่อกัน เชื่อมโยงพื้นที่มงคลกับถ้ำสวรรค์เข้าด้วยกัน
แม้จะบอกว่าบ่อน้ำแห่งนั้นไม่ใช่ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอย่างสมชื่อ เพราะถึงอย่างไรต่อให้มันจะมีความลี้ลับมหัศจรรย์มากแค่ไหน แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งใน ‘ขุนเขาสายน้ำที่ปริแตก’ ของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ส่วนถ้ำสวรรค์หลีจูเองก็เพิ่งได้เลื่อนเป็นหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กเท่านั้น
เรื่องนี้เว่ยป้อเป็นคนเสนอ ส่วนเหวยเหวินหลงเป็นคนคอยเสริมรายละเอียดและจำนวนตัวเลข
เซียนกระบี่ใหญ่หมี่รับหน้าที่คอยรับฟังอยู่ด้านข้าง
ฝนห่าใหญ่สีทองตกลงมาสามครั้งทำให้พืชพรรณทั่วขุนเขาสายน้ำในพื้นที่มงคลรากบัวที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเจริญงอกงามได้ดีผิดปกติ เป็นเหตุให้ผู้คนในสี่แคว้นรวมถึงแคว้นหนันเยวี่ยนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ชาวบ้านล่างภูเขาเพียงแค่แปลกใจว่าเหตุใดปีนี้เข้าหน้าร้อนแล้วฝนถึงยังตกหนักขนาดนี้ ส่วนผู้ฝึกตนบนภูเขากับภูตตามขุนเขาสายน้ำกลับตกตะลึงที่ ‘สวรรค์ประทานฝนหวานฉ่ำ’ มาให้มากเกินไป