ในตำแหน่งที่อยู่ห่างจากเมืองเทวะดาราอุดรหลายแสนไมล์ บนยอดเขาลูกหนึ่ง เงาร่างของจี้เฟิงกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่

ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ห้วงอากาศอันว่างเปล่าตรงหน้าบิดเบือน จากนั้นก็มีเงาร่างที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีดำร่างหนึ่งเดินออกมา ซึ่งคนดังกล่าวก็คือมู่หมิงนั่นเอง

จี้เฟิงขมวดคิ้ว “ผู้เพื่อนยุทธ์ไปที่แห่งใดมา เหตุใดถึงมาเวลานี้?”

“เหอะ ๆ มีเรื่องจุกจิกเล็กน้อยน่ะ ผู้เพื่อนยุทธ์เจอร่องรอยของหลัวซิวนั่นแล้วหรือยัง?”มู่หมิงถามอย่างเรียบนิ่ง

หลังจากทั้งสองมาถึงโลกาดาราอุดรเมื่อสามปีก่อน มู่หมิงก็จากไปคนเดียว ตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมานี้เขาไม่เคยปรากฏตัวเลย

ส่วนจี้เฟิงนั้นกลับสืบเสาะเบาะแสร่องรอยของหลัวซิวทั่วทุกสารทิศ รอคอยอยู่นอกเมืองเทวะดาราอุดรมาสามปี

และแล้วเขาก็รอคอยหลัวซิวมาถึงอย่างยากลำบาก ทว่าไม่นึกเลยว่าขาดเพียงนิดเดียวทุกอย่างก็จะสำเร็จแล้ว แต่กลับถูกมหาเทวะดาราอุดรห้ามปรามไว้ก่อน

เขานำเรื่องราวทุกอย่างบอกเล่าให้มู่หมิงฟัง แล้วพูดกระแทกเสียงต่ำ: “ผู้เพื่อนยุทธ์นั้นมีผลการฝึกตนราชาเทพช่วงกลาง เพียงพอที่จะต่อสู้กับมหาเทวะดาราอุดรนั่นได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ แซ่จี้ก็จะสามารถลงมือสังหารหลัวซิวได้ ข้าต้องทำสำเร็จอย่างง่ายดายแน่นอน!”

ทว่ามู่หมิงกลับส่ายหน้าต่อข้อเสนอนี้ของจี้เฟิง “แม้ข้าจะสามารถขัดขวางมหาเทวะดาราอุดรได้ แต่ทว่าในโลกาดาราอุดรไม่ได้มีราชาเทพเพียงผู้เดียวเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือในเมืองเทวะดาราอุดรนั่น มหาเทวะดาราอุดรก็เป็นเพียงราชาเทพที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเท่านั้น ยังมีราชาเทพคนอื่น ๆ ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งมีไม่ต่ำกว่าสองคน!”

กองกำลังที่มีการถ่ายทอดสืบสานกันมายาวนาน ล้วนมีพลังอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนนอกไม่ทราบ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจคือ มู่หมิงทราบเรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งในโลกาดาราอุดรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?

“แค่หลัวซิวเล็ก ๆ คนหนึ่ง มันไม่น่ากลัวอะไรด้วยซ้ำ ถึงแม้มันจะมีอุบายสามารถปลดปล่อยพลังโจมตีที่เทียบเท่าราชาเทพออกมาได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยที่ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง การจะฆ่ามันนั้นสามารถทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก”

มู่หมิงอมยิ้ม “ภายในเมืองเทวะดาราอุดรมีทางเข้าแดนปริศนามกุฎเทพแห่งหนึ่ง ภายในแดนปริศนานั่นมีโชคชะตาซ่อนอยู่ ผู้เพื่อนยุทธ์จี้ต้องสนใจแน่นอน”

“โชคชะตา? โชคชะตาอะไรหรือ?”จี้เฟิงขมวดคิ้ว เขายิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่ามู่หมิงที่อยู่ตรงหน้านี้ลึกซึ้งจนมิอาจคาดคะเนได้

“โอสถเวทย์ธรรม โอสถมกุฎเทพปุถุชน นี่เรียกว่าโชคชะตาครั้งยิ่งใหญ่ได้หรือไม่?”มู่หมิงกระตุกยิ้มมุมปาก

“เจ้าแน่ใจหรือ?”สีหน้าอารมณ์ของจี้เฟิงเปลี่ยนไป

โอสถเวทย์ธรรมที่แย่สุดก็เป็นยาเซียนระดับ 7 ยิ่งกว่านั้นคือมันสามารถบรรลุถึงยาเซียนระดับ 9 ด้วย สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งราชาเทพใช้มันเพื่อเพิ่มแดนผลการฝึกตน

ในส่วนของโอสถมกุฎเทพปุถุชนนั้น ยิ่งเป็นสมบัติที่อยู่เหนือยาเซียนระดับ 9 มีเพียงปรมาจารย์โอสถเซียนเท่านั้นที่สามารถกลั่นสกัดมันได้ หากผู้แข็งแกร่งราชาเทพขั้นสูงใช้มัน ก็จะมีโอกาสทำลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ของมกุฎเทพสูงมาก

มู่หมิงยิ้มพลางพยักหน้า ทว่าเขากลับเปลี่ยนประเด็นคุยเล็กน้อย พูดว่า: “โชคชะตาระดับนี้เป็นของกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังข้า หากผู้เพื่อนยุทธ์จี้อยากได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ละก็ ต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกของเราก่อน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าท่าทางของจี้เฟิงก็ดูระแวดระวังขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าไม่เข้าใจความหมายของผู้เพื่อนยุทธ์มู่ แล้วกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคืออะไรกันแน่?”

“ผู้เพื่อนยุทธ์จี้เคยได้ยินจ่างเทียนเต้ามาก่อนหรือไม่?”รอยยิ้มตรงมุมปากมู่หมิงชัดเจนมากขึ้น

……

ในเมืองเทวะดาราอุดรมีสนามจัตุรัสที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง วินาทีนี้มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่บริเวณรอบ ๆ สนามจัตุรัสแห่งนี้ กลุ่มคนเหล่านี้มาจากกองกำลังใหญ่ราชาเทพทั้งห้ากองกำลัง รวมไปถึงยอดฝีมือในกองกำลังที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพวกเขา

ตรงกลางของสนามจัตุรัส มีเพียง 15 คนที่กำลังยืนด้วยท่าทางที่ทะนงองอาจ บ้างเป็นวัยชรา บ้างเป็นวัยกลางคน รูปร่างลักษณะวัยรุ่นนั้นมีน้อยมาก ๆ

ในทั้ง 15 คนนี้ ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นยอดที่มาจากกองกำลังราชาเทพทั้งห้ากองกำลัง ผลการฝึกตนอยู่ที่กึ่งราชาเทพ

และเหนือศีรษะของพวกเขาทั้ง 15 คน มีรังสีเจ็ดสีที่สว่างโชติช่วงเปล่งประกายออกมาจากดวงดาวเจ็ดดวง

“ศึกการช่วงชิงสิทธิ์ในครั้งนี้คือจังหวะและโอกาสหนึ่ง และเป็นโชคชะตาด้วย!”

แววตาของโจวเจิ้งที่อยู่ข้างกายหลัวซิวเป็นประกายขึ้นมา แสงเรืองที่อยู่ภายในแววตาเขาขึ้น ๆ ลง ๆ