มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1524

จินหลิงหยุนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นคือเห็นได้ราง ๆ ว่าลมหายใจของเขาถี่ขั้น สภาพจิตใจของพวกเขาทุกคนล่องลอย หลังทราบว่าศึกการช่วงชิงสิทธิ์ต้องเข้าไปในแดนปริศนามกุฎเทพ

นอกเหนือจากสองคนนี้แล้ว แววตาของผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังใหญ่ราชาเทพอีกสี่กองกำลังก็ร้อนผ่าวเช่นกัน แหงนหน้ามองดูดวงดาวที่แวววาวจับตาทั้งเจ็ดดวงที่อยู่เหนือศีรษะ

มีเพียงหลัวซิวผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ทราบสาเหตุ

“ในช่วงกาลเวลาที่ผ่านมายาวนานอย่างไม่รู้จบ สรรพสิ่งทั้งหลายกำเนิดในโลกมหาศักดิ์ จากนั้นอารยธรรมวิถียุทธ์ก็กำเนิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยที่วิถีได้แบ่งออกเป็นสองสาย”

“วัตถุประสงค์สำคัญของหนึ่งในสายวิถีคือการที่นักยุทธ์ฝึกตนด้วยตัวเอง ตระหนักรู้กฎดั้งเดิมเทียนเต้า เพื่อย่างกรายสู่แดนสูง ๆ เมื่อกฎดั้งเดิมบริบูรณ์ก็จักบรรลุเป็นจักรพรรดิเทพ ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากฎดั้งเดิมเทียนเต้า”

“เทียนเต้าที่กล่าวมานั้น เมื่อมองในมุมเฉพาะ กฎฟ้าดินในพิภพต่ำ พิภพกลางก็เป็นเทียนเต้าเช่นกัน เมื่อมองในมุมทั่วไปกฎจักรวาลดั้งเดิมก็เป็นเทียนเต้าเช่นกัน เทียนเต้ามีอยู่ทุกแห่งหน”

“ส่วนวิถีอีกสายหนึ่งนั้นต้องควบคุมเทียนเต้า ควบคุมระบบระเบียบของกฎจักรวาลเทียนเต้าควบคุมโชคชะตาและความเป็นความตายของอสูรจิตที่นับไม่ถ้วน”

“ทั้งสองสายดำรงอยู่เคียงคู่กัน แต่ความคิดกลับขัดแย้งกัน สายหนึ่งคือซิวเทียนเต้า อีกสายหนึ่งคือจ่างเทียนเต้า”

โจวเจิ้งมองเห็นหลัวซิวที่กำลังดูสงสัย เขาจึงค่อย ๆ เอ่ยปากอธิบาย: “อดีตข้าเคยได้ม้วนหยกโบราณที่แตกร้าวชิ้นหนึ่ง และภายในนั้นได้กล่าวถึงข่าวลับในช่วงกาลเวลาที่ผ่านมายาวนานอย่างไม่รู้จบนี้”

“ต่อมาก็เกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างซิวเทียนเต้าและจ่างเทียนเต้าทั้งสองสาย สงครามเมื่อครั้นนั้นได้ทำลายอสูรจิตทั้งหมดในแปดโลกมหาพิภพอย่างรวดเร็ว ผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนสู้จนตายอยู่บนสนามรบและดับสลายสูญสิ้น ทั้งสองสายต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเช่นกัน”

“อ้างอิงจากการบันทึกบนม้วนหยกโบราณ ศึกสงครามเมื่อครั้นนั้นไม่มีผู้แพ้ชนะแต่อย่างใด ทว่าสุดท้ายจ่างเทียนเต้าก็หายเข้าไปในกลีบเมฆ ซิวเทียนเต้าจึงกลายเป็นตัวเอก และค่อย ๆ วิวัฒนาการเป็นพรรคทั้งหลายบนวิถียุทธ์ในปัจจุบัน”

“และแดนปริศนามกุฎเทพที่เรากำลังจะเข้าไปนั้น เป็นแดนปริศนาที่เกิดจากเศษเสี้ยวพลังออร่าของผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพในสายจ่างเทียนเต้าเข้าใจวิถีอย่างถ่องแท้ จ่างเทียนเต้ามีเคล็ดวิชาอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้วิชาดังกล่าวได้เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพฟ้าเป็นต้นไป ก่อนตายสามารถอาศัยสมบัติที่มีนามว่ากมลโลกาบุกเบิกวิวัฒนาการพิภพ นำตราชีวีผสมรวมเป็นหนึ่งกับกมลโลกาเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของการมีชีวิตชั่วนิรันดร์”

“ในความเป็นจริงการใช้ชีวิตชั่วนิรันดร์เช่นนี้ เป็นการยึดครองอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้แข็งแกร่งในพิภพจำนวนมากต่างทราบเรื่องนี้ดี เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด คาดว่าผู้อาวุโสหลัวก็น่าจะทราบเช่นกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวจึงพยักหน้า เขาไม่เพียงทราบเรื่องนี้เท่านั้น แต่เขายังเคยประสบพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ด้วยตนเองอีกด้วย

ยิ่งกว่านั้นคือเมื่อเขาได้ยินคำว่าสายจ่างเทียนเต้า สภาพจิตใจเขาก็ตึงเครียดขึ้นมา เนื่องจากเขานึกถึงเทพฟ้าผู้บุกเบิกโลกแสงดาว ในขณะที่ตราชีวีของเขาถูกตนกลั่นแปรขจัดทิ้ง เขาก็เคยพูดถึงจ่างเทียนเต้าเช่นกัน

หากบอกว่าเคล็ดวิชาการบุกเบิกพิภพ มีเพียงผู้ที่อยู่ในสายจ่างเทียนเต้าเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกและทราบเรื่องนี้ เช่นนั้นร่างเมื่อชาติปางก่อนของซือถูเจี้ยนเจิ้ง หรือราชาเทพผู้บุกเบิกโลกาอสูรฟ้า ก็น่าจะเป็นคนในสายจ่างเทียนเต้าเช่นกัน!

ทั้งจักรวาลมีพิภพมากจนนับไม่ถ้วน จำนวนพิภพต่ำและพิภพกลางมีมากจนนับไม่ถ้วน ยิ่งมีมหาโลกาพันสามด้วย หากพิภพทั้งหมดที่ถูกบุกเบิกโดยผู้แข็งแกร่งล้วนเป็นคนในสายจ่างเทียนเต้าละก็ เช่นนั้นอำนาจกำลังของจ่างเทียนเต้าก็จะแข็งแกร่งจนผู้คนไม่อาจจินตนาการได้!

“เหอะ ๆ พูดมาเยอะขนาดนี้แล้ว เรื่องต่อไปนี้ถึงจะเป็นจุดสำคัญ!”โจวเจิ้งไม่ทราบแต่อย่างใดว่าคำพูดของเขาทำให้หลัวซิวรู้สึกช็อกมากเพียงใด เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่ออีกว่า: “ผู้แข็งแกร่งในสายจ่างเทียนเต้าจะบุกเบิกพิภพ พวกเขาอยากทำการครองวิญญาณผู้อื่น จึงต้องเลือกอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และศักยภาพสูงส่งมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อีกทั้งถูกจำกัดโดยระเบียบกฎเกณฑ์ในจักรวาลอย่างควบคุมไม่ได้ จึงจำเป็นต้องรอให้นักยุทธ์ในพิภพที่ตนบุกเบิกบรรลุถึงแดนใดแดนหนึ่งที่แน่นอนแล้ว ถึงจะทำการครองวิญญาณได้”