ชุยตงซานพูดประโยคห้าวเหิมนี้จบก็พยักหน้าเบาๆ ดีมาก รู้กาลเทศะดีมาก ในเมื่อไม่มีใครตอบโต้กลับ ก็จะถือว่าพวกเจ้าสามใต้หล้ายอมตอบตกลงกับเรื่องนี้แล้ว
โจวหมี่ลี่กอดคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก หยิบเอาป้ายอักษรทองของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาภูเขาลั่วพั่วมาตบกับมือเบาๆ
ชุยตงซานเดินไปบนก้อนอิฐหินเขียวหกก้อนที่ปูไว้บนพื้นพร้อมร่ายกระบวนท่าหมัดหวังปา ท่วงท่ามีพลังน่าเกรงขาม ไม่ใช่จากพายุหมัด แต่เป็นเพราะชายแขนเสื้อที่ตบโดนกันเองส่งเสียงดังเพี๊ยะๆ
สองเท้าของชุยตงซานสัมผัสพื้น หันหน้าไปทางเรือนไม้ไผ่หันหลังให้หมี่ลี่น้อย เขาพลันบิดเอวกลับมาปล่อยหมัดหนึ่งออกไป เห็นว่าหมี่ลี่น้อยยังยืนงงก็ได้แต่ส่งเสียงเตือนว่า “กินหมัดของข้าซะ ขึ้นฟ้าลงดินไร้ศัตรูเทียมทานที่สุดแล้ว!”
หมี่ลี่น้อยรีบหมุนตัวอยู่ที่เดิมหลายรอบทันที เสร็จแล้วถึงได้เอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่า “หมัดดี!”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ พูดด้วยสีหน้าเสียดาย “คิดไม่ถึงว่าฝึกวิชาหมัดล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว กลับยังไม่อาจต่อยให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาล้มคว่ำได้ ช่างเถิดๆ ถือเสียว่าฝีมือพวกเราสูสีกัน คราวหน้าค่อยสู้กันอีกที”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม นางยังไม่ได้ออกหมัด ยังไม่หายอยากเลยนะ
ชุยตงซานเดินอาดๆ มาถึงข้างโต๊ะหิน หมี่ลี่น้อยรีบเอาสมบัติอาคมสองชิ้นที่ตนรับหน้าที่ดูแลวางไว้บนโต๊ะ สอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อควักเมล็ดแตงหลายกำออกมาติดกันหลายรอบ วางกองไว้ตรงหน้าห่านขาวใหญ่ เหลือไว้นานแล้ว เหลือไว้นานแล้ว ในที่สุดก็มีพื้นที่ให้เอาออกมาใช้งานได้เสียที
ชุยตงซานแทะเมล็ดแตงพลางถามชวนคุยไปด้วย “หมี่ลี่น้อย มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ ต่อให้เจ้าจะเป็นภูตน้ำใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ แต่หากได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจใหญ่เท่าเมล็ดแตงก็จะต้องบอกกับศิษย์พี่เล็กนะ ความสามารถอื่นใดของศิษย์พี่เล็กไม่มีหรอก มีเพียงเรื่องด่าคนที่ทำได้คล่องปาก ถนัดไปดักอยู่หน้าประตูบ้านคนอื่นยิ่งนัก”
โจวหมี่ลี่ยกสองแขนกอดอก ยกสองไหล่ขึ้นสูงแล้วสูงอีก นึกอยากจะให้สูงเลยหัวเล็กๆ ไปด้วยซ้ำ นางหลุดหัวเราะพรืด “ห่านขาวใหญ่เจ้าคงจากบ้านไปนานเกินไปแล้วสินะ ทุกวันนี้สมองก็เลยไม่ปราดเปรียว มีเพียงข้าเท่านั้นแหละที่จะไปรังแกคนอื่น!”
ดังนั้นถึงได้บอกว่าพวกเจ้าแต่ละคนอย่าได้ชอบออกจากบ้านเดินทางไกลกันนักสิ ออกไปอยู่ข้างนอกหากถูกคนอื่นรังแกขึ้นมา ข้าอยากจะดูแลพวกเจ้าก็ทำไม่ได้แล้ว
ชุยตงซานนั่งงอตัวแทะเมล็ดแตง ปากก็ไม่ได้อยู่เฉย เอ่ยว่า “หมี่ลี่น้อย วันหน้าคนบนภูเขาจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่อให้ไม่ต้องเดินทางไกล กิจธุระบนภูเขาก็จะยังมีเพิ่มมากขึ้นทุกที ถึงเวลานั้นคงไม่มีเวลามานั่งคุยกับเจ้าแล้ว จะเสียใจหรือไม่ จะโกรธหรือไม่?”
โจวหมี่ลี่หัวเราะฮ่าๆ “ห่านขาวใหญ่พูดโง่ๆ อีกแล้ว ตอนที่เป็นภูตน้ำใหญ่อยู่ในทะเลสาบคนใบ้มาหลายต่อหลายปี ปีๆ หนึ่งล้วนไม่มีใครมาพูดคุยกับข้า ทำไมไม่เห็นข้าจะเสียใจเลยเล่า?”
ชุยตงซานทำท่ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน เอ่ยอีกว่า “ทว่านั่นล้วนเป็นพวกนักเดินทางที่ไปมาอย่างรีบร้อน ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนของเจ้านะ หากเพื่อนของเจ้าไม่สนใจเจ้า ความรู้สึกย่อมไม่เหมือนกัน”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วเล็กบางสีเหลืองอ่อนจางสองข้างเข้าหากันอย่างแรง ตั้งใจขบคิดอยู่นาน นับสหายรักในใจไปทีละคน สุดท้ายแม่นางน้อยก็ถามหยั่งเชิงว่า “หนึ่งปีจะคุยกับข้าสักคำได้หรือไม่?”
ชุยตงซานหยุดแทะเมล็ดแตง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต้องได้แน่อยู่แล้ว”
โจวหมี่ลี่พูดเบาๆ “สองประโยคก็ไม่มากมายนะ”
ชุยตงซานยิ้มถาม “เมื่อไหร่จะพาข้าไปเที่ยวเล่นที่เมืองหงจู๋กับแม่น้ำอวี้เย่ล่ะ?”
โจวหมี่ลี่กะพริบตาปริบๆ “พวกเรารอให้เจ้าขุนเขาคนดีกลับมาก่อนค่อยว่ากันเถอะนะ”
ขอแค่ได้นั่งอยู่ในหีบไม้ไผ่ของเจ้าขุนเขาคนดี ความใจกล้าของแม่นางน้อยชุดดำก็จะใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสองเมล็ด
ขอแค่รู้ว่าเจ้าขุนเขาคนดีอยู่ระหว่างทางกลับบ้านแล้ว นางก็กล้าลงจากเขาคนเดียวไปรอรับเขาที่เมืองหงจู๋
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
ข้าผู้อาวุโสโมโหจะแย่อยู่แล้ว ข้าผู้อาวุโสโมโหจะตายอยู่แล้ว อีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน จะทำให้หมี่ลี่น้อยตกใจกลัวไม่ได้
ในเมื่อพ่อครัวเฒ่ากลับภูเขาลั่วพั่วมาแล้ว มีเขาคอยช่วยเรียบเรียงเส้นสายต่างๆ ชุยตงซานก็ค่อนข้างจะวางใจ สิ่งที่พอจะทำได้ อันที่จริงก็คือคอยตรวจสอบหาช่องโหว่และอุดรอยรั่วยามที่มีเวลาว่าง นอกจากทางฝั่งของสือโหรวที่สหายฉางมิ่งช่วยจัดการไปบ้างเล็กน้อยแล้ว เดรัจฉานน้อยสองตัวอย่างหงเซี่ยกับอวิ๋นจื่อก็ต้องโดนตีกระหนาบโดนเคาะเตือนสักหน่อย ส่วนเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหูที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ ก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้ พ่อครัวเฒ่าปฏิบัติต่อสาวงามอย่างมีเมตตาอยู่เสมอ มองดูแล้วยังใจอ่อนดุจพระโพธิสัตว์เกินไปหน่อย อันที่จริงก็กำลังดีเลย ให้พ่อครัวเฒ่าเป็นคนดี ส่วนคนเลวก็ให้เขาชุยตงซานทำหน้าที่นี้เองแล้วกัน
ชุยตงซานเคยบอกกับอาจารย์อย่างตรงไปตรงมาแต่แรกแล้วว่า ภูเขาลูกหนึ่ง ต่อให้สุดท้ายแล้วจะทำเรื่องที่เหมือนกัน แต่ใจคนก็ยังต้องแบ่งออกไปหลายส่วน เพื่อที่จะได้สอนให้คนบางคนเห็นอย่างชัดเจน จดจำได้อย่างแม่นยำ ถึงจะสามารถจำการโดนซ้อมตี เห็นในความหวังดีได้อย่างแท้จริง
ซึ่งในนี้มีเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างจะสำคัญ นั่นก็คือเขาจะเสอให้สหายฉางมิ่งรับหน้าที่เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่วก่อนชั่วคราว
ในความเป็นจริงแล้วหากอิงตามระเบียบพิธีการของภูเขาตระกูลเซียนทั่วไป นี่ถือว่าการกระทำของชุยตงซานล่วงล้ำอำนาจ ไม่ใช่แค่ว่าใจกล้าเทียมฟ้าอะไรแล้ว แต่เป็นทำตัวท้าทายตลอดทั้งศาลบรรพจารย์ อย่าว่าแต่จะถูกคิดบัญชีถูกเล่นงานย้อนหลังเลย อาจถูกตัดขาสองข้าทิ้งแล้วโยนไปป้อนผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายที่ตรอกฉีหลงก็เป็นได้
ดังนั้นการเดินทางมาเยือนภูเขาลั่วพั่วครั้งนี้ไม่ใช่แค่ว่าชุยตงซานว่างงานก็เลยมาเที่ยวเล่นเท่านั้นจริงๆ
เฉินหน่วนซู่วิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง กุญแจหลายพวงที่แยกประเภทกันไว้ซึ่งห้อยอยู่ตรงเอวของนางกำลังพูดคุยกันเบาๆ
แม่นางน้อยชุดชมพูยอบตัวคารวะชุยตงซาน แล้วนั่งลงข้างโต๊ะหินอย่างสงบเสงี่ยม
เฉินหน่วนซู่ไม่คิดจะเข้าไปร่วมวงจัดการเรื่องใหญ่อะไรจริงๆ แต่นางกลับรู้เรื่องเล็กทั้งหมดบนภูเขาลั่วพั่วเป็นอย่างดี
ชุยตงซานเล่าถึงสถานการณ์การเดินลงน้ำของเฉินหลิงจวินในอุตรกุรุทวีปให้เฉินหน่วนซู่ฟัง บอกว่าก็ไม่ถือว่าเขาแอบอู้ แต่ได้ไปเจอกับเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่เล็กอย่างหนึ่ง
เฉินหลิงจวินสนิทสนมกับเพื่อนใหม่คนหนึ่งอย่างมาก พอคุณธรรมน้ำมิตรขึ้นหัว ชายโครงสองข้างถูกมีดเสียบก็ยังไม่หวั่นเกรง (เปรียบเปรยว่าการเสียสละแบกรับภาระที่ใหญ่หลวงอย่างยิ่ง) ผลคือคู่พี่น้องที่ผ่านการตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมกันอย่างแท้จริงก็สมกับคำว่าพี่น้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านเสียจริง ต่างก็ถูกเรือนเทพสายฟ้าแห่งหนึ่งของภูเขาอิงเอ๋อร์ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของลำน้ำใหญ่จับขังเอาไว้แล้ว
ถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ตั้งอยู่ใจกลางลำน้ำทยอยส่งจดหมายมาถึงสองฉบับเพื่อช่วยขอความเมตตาแทนเฉินหลิงจวิน กระนั้นก็ยังไม่ทำให้เรือนเทพสายฟ้าแห่งนั้นปล่อยคนได้ นั่นเป็นเพราะว่าโมโหมากจริงๆ ความเสียหายของพรรคไม่มาก แต่กลับเสียหน้าอย่างใหญ่หลวง มีใครที่ไหนกล้าขุดเขาตัวอักษรเกือบครึ่งหนึ่งไปจากกรอบป้ายอักษรทองหน้าประตูภูเขาเรือนเทพสายฟ้าบ้าง?!
มารดาเจ้าเถอะ ต่อให้สมองเจ้ามีปัญหา แต่นี่ก็จะเกินเหตุไปหน่อยหรือไม่? ต่อให้เจ้าจะขโมยไปก็ทำไมไม่ขโมยไปทั้งกรอบป้ายเลยเล่า หลังจบเรื่องไปตามกลับมายังจะได้กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ แค่เอามาแขวนไว้เหมือนเดิมก็ได้แล้ว แต่เจ้าสองคนนั้นกลับดีนัก แค่งัดเอาตัวอักษรใหญ่สีทองสองคำว่า ‘เรือนเทพ’ ไป…
ผลคือพอจับเจ้าตัวการร้ายนั่นไว้ได้ เหตุผลของอีกฝ่ายกลับกลายเป็นว่า ‘หากงัดออกมาทั้งสามคำ กลัวว่าพวกเจ้าจะตีข้าตาย เหลือเอาไว้ตัวหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นดั่งคำที่ว่า ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นคนควรเว้นที่ว่างไว้เสี้ยวหนึ่ง วันหน้าจะได้ยังมองหน้ากันติด’
ส่วนจดหมายลับสองฉบับที่มาจากถ้ำสวรรค์วังมังกรนั้น ถือว่าเป็นการให้เกียรติเรือนเทพสายฟ้าอย่างมากแล้ว แต่ภูเขาอิงเอ๋อร์กลับยังไม่ปล่อยตัวคน กระนั้นตระกูลเซียนใหญ่บนภูเขาก็มักไม่ทำอะไรที่แข็งกร้าวเกินไปนัก ตอบกลับจดหมายสองฉบับไปอย่างนอบน้อม ถ้อยคำที่ใช้ละมุนละม่อม บอกแค่ว่าแขกผู้ทรงเกียรติของตำหนักวารีหนันซวินและสหายรักของหลงถิงโหวผู้นั้นแค่ต้องเอ่ยขออภัยสักคำ เรือนเทพสายฟ้าของพวกเราก็จะปล่อยตัวคนแล้ว ไม่เพียงแต่ปล่อยตัวไป ยังจะเดินทางไปส่งออกนอกอาณาเขตอย่างนอบน้อมอีกด้วย
ปัญหานั้นอยู่ที่เจ้าคนที่ที่พึ่งแข็งแกร่งอย่างมากผู้นั้นทำตัวเล่นแง่วางท่าว่า ‘จะซ้อมข้าก็ได้ ร่อแร่ปางตายก็ไม่มีปัญหา แต่เรื่องขอขมานั้นฝันไปเถิด จะให้ข้ายอมรับผิดอะไร’ มาโดยตลอด
เฉินหน่วนซู่รู้สึกเป็นกังวล จึงถามว่า “เฉินหลิงจวินเอาแต่ใจทำเรื่องที่ผิดแล้วหรือ?”
“กลับไม่ได้ทำเรื่องผิดอย่างที่หาได้ยาก เจ้าเด็กนี่อยู่ในอุตรกุรุทวีปอย่าว่าแต่ก้มหน้าก้มตาทำตัวสงบเสงี่ยมเลย ยังถึงขั้นนึกอยากจะมอบคลานไปบนพื้นระหว่างเดินทางไกลด้วยความระมัดระวัง ไม่อยากให้ใครเห็นเขาเลยด้วยซ้ำ”
ชุยตงซานยิ้มพลางโบกมือ “เป็นเพราะเรือนเทพสายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์ต่างหากที่ไม่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี ตัวเองทำผิดก่อน ความผิดไม่ใหญ่ เป็นบุญคุณความแค้นเล็กๆ อย่างหนึ่งในยุทธภพล่างภูเขา พวกเขาสังหารคนผิดไปคนหนึ่ง ทำคนบาดเจ็บอีกหลายคน เลยจ่ายเงินเทพเซียนชดใช้ให้จบเรื่อง เฉินหลิงจวินดันไปเจอเข้าพอดี เพียงแต่ว่าไม่อาจช่วยคนเอาไว้ได้ ‘สหาย’ ข้างกายเขาคนนั้นก็อดไม่ไหวขึ้นมาอีก ลงมือต่อยตีคนก่อน สรุปก็คือเป็นการต่อสู้อุตลุดที่วุ่นวายเละเทะอย่างยิ่ง เฉินหลิงจวินกับเพื่อนใหม่ถูกซ้อมจนหน้าปูดเปรอะดิน ผู้ฝึกตนที่ลงมืออำมหิตก็หนีไปเหมือนกัน เฉินหลิงจวินจึงยอมเก็บกลั้นความแค้นนี้เอาไว้ กลับเป็นเทพเซียนบนภูเขาอิงเอ๋อร์ที่รักหน้าตาอย่างยิ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังไม่รู้สึกว่าความผิดนั้นก็คือความผิด บวกกับที่เฉินหลิงจวินเป็นคนต่างถิ่น หากอิงตามกฎบนภูเขาทั่วไปก็ถือว่าผิดซ้ำผิดซาก เฉินหลิงจวินเองก็ไม่ได้โง่จนถึงขั้นจะบุกขึ้นประตูภูเขาไป เหตุผลครั้งแรกพูดคุยกันไม่เข้าใจ ครั้งที่สองต้องกินน้ำแกงประตูปิด สุดท้ายจึงวางแผนกับสหาย ก็เลยได้แผนการเช่นนั้นมา”
พูดมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็หัวเราะดังลั่น “ไม่เสียแรงที่เคยอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ทำได้สาแก่ใจคนยิ่งนัก”
เฉินหน่วนซู่เอ่ย “มีเรื่องน่าตกใจแต่ไร้อันตรายก็ดีแล้ว”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “สหายสองคนที่ส่งจดหมายมาต่างก็มีสถานะไม่ธรรมดา พวกเราวางใจเถอะ เฉินหลิงจวินที่อยู่ในเรือนเทพสายฟ้าได้กินดีอยู่ดี แล้วยังมีสหายถูกขังอยู่ด้วยกันคอยคุยโม้ให้กันฟัง มีความสุขจะตายไป หงเซี่ยเดินลงน้ำยังมีแค่เทพวารีแห่งสายน้ำทั้งหลายช่วยเปิดทางปกป้องมรรคาให้เท่านั้น ดีนักนะ เฉินหลิงจวินนายท่านใหญ่เฉินของพวกเราเดินลงน้ำกลับมีกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ช่วยคุ้มครองให้”
เพราะถึงอย่างไรคนทั้งสองที่ส่งจดหมายมานั้น ต่อให้สำนักอักษรจงของอุตรกุรุทวีปก็ยังต้องไว้หน้าพวกเขา
เสิ่นหลินที่มีชาติกำเนิดจากตำหนักวารีหนันซวิน หลิงหยวนกงแห่งลำน้ำใหญ่ที่ทุกวันนี้มีตำแหน่งเทพซึ่งผ่านไปหลายพันปีเพิ่งจะปรากฎขึ้นบนโลกอีกครั้ง
อีกคนหนึ่งระดับขั้นต่ำกว่าเล็กน้อย เคยเป็นสุ่ยเจิ้งของลำน้ำใหญ่ หลี่หยวน ทุกวันนี้คือกงถิงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ ระดับตำแหน่งขุนนางสูงกว่าหลิงหยวนกง เพียงแต่ว่าอาณาเขตน่านน้ำในการดูแล โดยภาพรวมแล้วถือว่าหนึ่งอยู่ทิศตะวันตก หนึ่งอยู่ทิศตะวันออก ต่างคนต่างดูแลพื้นที่ของตัวเองไป
โจวหมี่ลี่ฟังด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง ฟังจบแล้วก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก “เฉินหลิงจวินช่างร้ายกาจยิ่งนัก อยู่ข้างนอกยังกินอยู่ได้อย่างสุขสบาย ข้าไม่เคยได้มีสหายลำน้ำใหญ่แบบนี้บ้างเลย”
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ต่อหน้าพวกเขา เฉินหลิงจวินจะเคยพูดถึงบ้างหรือไม่ว่า ที่บ้านเกิดเขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เป็นภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ ยามท่องอยู่ในยุทธภพดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก
แต่หมี่ลี่น้อยกลับเกาหัว เพราะรู้สึกว่าเฉินหลิงจวินคงไม่ใคร่จะยินดีพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ได้พูดก็ไม่เป็นไร หากเพื่อนใหม่ของเฉินหลิงจวินไม่ยินดีจะฟัง นั่นจะไม่ทำให้เฉินหลิงจวินขายหน้าหรอกหรือ
ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ใช่ๆๆ หมี่ลี่น้อยแค่รู้จักกับเจ้าโง่ใหญ่จวินเชี่ยนแล้วก็เซียนกระบี่ใหญ่โต๊ะเท่านั้น”
โจวหมี่ลี่หัวเราะหึหึ “ยังมีอวี๋หมี่ หลิวสัปหงกแล้วก็พี่หญิงหงเซี่ยด้วยนะ”
เฉินหน่วนซู่กลั้นขำ เอ่ยว่า “หมี่ลี่น้อยช่วยอาจารย์จั่วยกเก้าอี้ไปวางไว้ด้านนอกประตูศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ พออาจารย์จั่วลุกขึ้นยืนก็เตรียมจะย้ายเก้าอี้กลับไปเอง หมี่ลี่น้อยดุดันนัก ตอบเสียงดังว่า ‘ข้าไม่ตกลง’ ทำให้อาจารย์จั่วลำบากใจไม่น้อย”
หมี่ลี่น้อยยกมือมาป้องปากหัวเราะฮ่าๆ โคลงหัวแกว่งเท้าอย่างเริงร่า “ดุดันเสียงดังเสียเมื่อไหร่ ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ใช่สักหน่อย พี่หญิงหน่วนซู่อย่าพูดเหลวไหลสิ”
เฉินหน่วนซู่รู้สึกว่าน่าสนุก จึงอดไม่ไหวเอ่ยชมหมี่ลี่น้อยอีกหลายคำ “อาจารย์ชุยท่านไม่รู้อะไร ตอนนั้นหมี่ลี่น้อยแหงนหน้าขึ้น ไม่ส่งเสียงแต่กลับเหนือว่าเอื้อนเอ่ย เหมือนกับกำลังบอกอาจารย์จั่วว่าเก้าอี้ตัวนี้ข้าเป็นคนยกเอง ทิ้งประโยคนี้ไว้ตรงนี้แล้ว ไม่ว่าใครเป็นคนพูดก็ไม่ได้ผลทั้งนั้น!”
หมี่ลี่น้อยโบกมืออย่างแรง “ไม่ได้หมายความว่าแบบนี้จริงๆ พี่หญิงหน่วนซู่พูดเหลวไหล”
ชุยตงซานพลันทิ้งตัวไปด้านหลัง พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง “หมี่ลี่น้อยร้ายกาจนัก รู้หรือไม่ว่าเซียนกระบี่โต๊ะคนนั้น ไม่ว่าเจอกับใครก็ตาม เว้นจากอาจารย์ของเขา เขาล้วนทำท่าดุดันน่ากลัวใส่ แม้แต่เจ้าขุนเขาคนดีของเจ้า เวลาอยู่กับเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นสีหน้าดีๆ พูดถึงแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ชื่อเสียงของภูตน้ำใหญ่ทะเลสาบคนใบ้ขจรขจายไปไกลแห่งนั้น ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรให้ทำหรือไม่ เซียนกระบี่ใหญ่โต๊ะก็มักจะส่งกระบี่หนึ่งออกไปนอกหัวกำแพง ทำราวกับว่าหั่นผักหั่นแตงอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาพวกปีศาจใหญ่บาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน แม้แต่เซียนกระบี่ในพื้นที่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังกลัวที่จะใช้เหตุผลกับเขา ต้องคอยหลบเลี่ยงเขา หมี่ลี่น้อยเจ้านี่เป็นอย่างไรกัน เหตุใดความกล้าถึงใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้”
หมี่ลี่น้อยนั่งตัวตรง ขมวดคิ้ว คิดอยู่นานพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง “คราวหน้าจะตอบตกลงก็แล้วกัน”
หน่วนซู่แทะเมล็ดแตงช้ามาก จึงผลักเมล็ดแตงที่วางไว้ฝั่งตัวเองไปให้ห่านขาวใหญ่กับหมี่ลี่น้อยบางส่วน
ชุยตงซานพูดคุยกับแม่นางน้อยสองคนอยู่นาน ขณะเดียวกันก็แบ่งสมาธิไปคิดถึงเรื่องเล็กๆ บางอย่างด้วย
เรื่องราวบนโลก ให้ความสำคัญก็ส่วนให้ความสำคัญ แต่ขอแค่เส้นสายอยู่ในมือของข้าแล้วแผ่ลามออกไป นั่นก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก
เกี่ยวกับเรื่องของการแต่งตั้งหลิงหยวนกงและหลงถิงโหวให้กับลำน้ำใหญ่ ทางฝั่งศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางยังไม่เอ่ยอะไร ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่การยอมรับไปโดยปริยายเท่านั้น
เรื่องของการแต่งตั้งลำน้ำใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในใต้หล้าไพศาลมาสามพันปีแล้ว
จักรพรรดิฮ่องเต้ของราชวงศ์ทั่วไปในหนึ่งทวีปไม่มีคุณสมบัติที่จะสอดมือเข้าแทรกเรื่องนี้เลย นั่นเป็นความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น แน่นอนว่ามีเพียงศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเท่านั้นที่ถึงจะทำได้
ทว่ากองกำลังสามฝ่ายที่แบ่งส่วนแบ่งจากถ้ำสวรรค์วังมังกรกันอย่างตำหนักฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง สำนักมังกรน้ำ ต่างก็กระตุ้นเรื่องนี้ให้สำเร็จอย่างกระตือรือร้นเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งออกแรงทั้งออกเงิน แม้กระทั่งศาลที่ยิ่งใหญ่อลังการสองแห่งก็ยังถูกสร้างขึ้นมาแล้ว เหลวไหล หลิงหยวนกงกับหลงถิงโหวต่างก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกับพวกเขาครึ่งตัวแล้ว ต่อให้ในอดีตความสัมพันธ์จะธรรมดา แต่โชคชะตาน้ำก็ไม่ใช่ของปลอม ไม่เพียงแต่สามารถรวบรวมโชคชะตาน้ำของหนึ่งทวีปเข้ามาในลำน้ำใหญ่ได้ ยิ่งสามารถดึงเอาโชคชะตาน้ำมาจากมหาสมุทรใหญ่ได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างหลัง โชควาสนาล้ำค่าที่ต่อให้ผู้ฝึกตนบนภูเขามีวิชาล้ำเลิศเทียมฟ้าก็ยังยากจะสกัดดึงมาได้นี้ มีใครบ้างที่ไม่อยากฉวยโอกาสนี้แบ่งน้ำแกงมาสักถ้วย ลองพึ่งใบบุญจากศาลกงโหวสองแห่งนั้นดู?
โจวมี่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาในอุตรกุรุทวีปผู้นั้น ไม่เพียงแต่ไม่ผลักไสเรื่องนี้ กลับกันยังเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเองสองฉบับส่งไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ฉบับหนึ่งส่งให้ศาลบุ๋น อีกฉบับหนึ่งส่งให้อาจารย์ของตัวเอง คงจะอยากโน้มน้าวให้ศาลบุ๋นยอมรับเรื่องนี้ ให้รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นคนหนึ่งหรือไม่ก็ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษามาทำการแต่งตั้งตามระเบียบที่นี่ เรื่องของการแต่งตั้งลำน้ำใหญ่ ต่อให้เป็นอริยะที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋นก็ยังมีคุณสมบัติไม่มากพอ
เพียงแต่ว่าเนื้อหาในจดหมายเขียนอะไรไปบ้าง ชุยตงซานไม่ใช่รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นหรือผู้อำนวยการใหญ่เสียหน่อย มองไม่เห็น แน่นอนว่าต้องไม่รู้ว่าเขียนอะไรไว้กันแน่ เพียงแค่อิงตามนิสัยของโจวมี่และสถานการณ์ของหนึ่งแคว้นมาคาดเดาเอาคร่าวๆ เท่านั้น
——