ในความเป็นจริงแล้วเอาสองทวีปอย่างอุตรกุรุทวีปและแจกันสมบัติทวีปมาเชื่อมโยงกันก็ดี หรือแต่งตั้งลำน้ำจี้ตู๋และฉีตู้ก็ช่าง ล้วนเป็นเรื่องที่แจกันสมบัติทวีปบีบให้แผ่นดินกลางยอมรับโดยปริยายทั้งสิ้น ไม่ยอมรับแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?
แต่โจวมี่อริยะของอุตรกุรุทวีปท่านนั้น ทุกวันนี้จะต้องถูกคนไม่น้อยคอยมองดูเรื่องตลกอย่างแน่นอน ด้วยนิสัยของโจวมี่ที่ก่อนจะมาเป็นเจ้าขุนเขายังต้องได้รับเทียบอักษร ‘ระงับโทสะ’ จากอาจารย์มาก่อน เรื่องนี้จะต้องสนุกแน่
อันที่จริงชุยตงซานก็สนิทสนมกับเขาไม่น้อย
และลำน้ำฉีตู้ของแจกันสมบัติทวีปบ้านตนก็เป็นผู้เฒ่าท่านนั้นของทะเลสาบซูเจี่ยนที่รับผิดชอบแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
ภิกษุเฒ่าน้ำแกงไก่กับอาจารย์ฟ่านแห่งสำนักการค้าเข้าร่วมพิธีอยู่ด้านข้าง
นี่ยังเป็นเพียงแค่การทำพิธีให้เห็นภายนอกเท่านั้น ในทางส่วนตัวยังมีหลี่หลิ่วที่หวนกลับมายังแจกันสมบัติทวีปอย่างลับๆ รวมไปถึงหร่วนซิ่วมองสบตากับหลี่หลิ่วอยู่ไกลๆ โดยมีสายน้ำกั้นกลาง
ชิงถงเทียนจวินของร้านยาตระกูลหยางได้ให้หร่วนซิ่วช่วยนำกรอบป้ายหนึ่งแผ่น ให้หลี่หลิ่วนำกลอนคู่หนึ่งบทไปเป็นของขวัญวางบนคานของศาลลำน้ำใหญ่
‘ศาลฉีตู๋กง’
ประหนึ่งอาบไล้อยู่ท่ามกลางลมวสันต์ วิญญูชนบุกเบิกเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งปณิธานให้แก่ฟ้าดินอย่างไม่เกี่ยงงอนต่อหน้าที่อันพึงปฏิบัติ
สงบจิตใจให้สมปรารถนา อริยะปราชญ์ปกครองและทำนุบำรุงประชาราษฎร์ ประพันธ์เพื่ออธิบายเหตุผลให้กระจ่าง สร้างสันติสุขนานหมื่นปี
กรอบป้ายและกลอนคู่ล้วนมาจากการรวบรวมตัวอักษร ราวกับว่าเป็นลายมือของฉีตู๋กงท่านนั้นเอง
ในศาลลำน้ำใหญ่ยังแขวนกรอบป้ายว่างเปล่าไว้หนึ่งกรอบ คล้ายว่ากำลังรอให้คนมาเขียน
อาจจะเขียนเป็นคำว่าใต้หล้ารับวสันต์ หรืออาจจะเขียนคำว่าใจข้าแจ่มกระจ่าง ทุกวันนี้ใครเล่าจะรู้ได้
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่ในกองเมล็ดแตงบนโต๊ะ เขารู้สึกเกียจคร้านเล็กน้อย เหตุใดเซียนกระบี่หมี่ถึงยังไม่มาทักทายพูดคุยกันนะ พวกเราสองพี่น้อยคือสหายรักที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเชียวนะ ข้ายุ่งมาก ต้องรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่าเวลาให้ดีสิ
เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้วอย่างไร คิดจะดูแคลนสหายไม่ได้ความที่ขอบเขตสูงกว่าเจ้าแค่ขอบเขตเดียวอย่างนั้นหรือ?
หมี่อวี้ที่สวมชุดสีเขียวเดินมาถึงหน้าผา รอยยิ้มดูเหมือนว่าจะไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไร
หมี่อวี้กลัวเซียนกระบี่ใหญ่จั่วผู้นั้นจริงๆ หรือควรจะพูดว่าทั้งกลัวทั้งเกรง ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวที่ ‘ไม่อ้าปากก็หล่อเหลาสง่างามดีอยู่ พออ้าปากก็รู้ว่าสมองมีปัญหา’ ตรงหน้าผู้นี้กลับทำให้หมี่อวี้หงุดหงิด หงุดหงิดจริงๆ
ตอนนั้นที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองบ้านเกิดของตน ข้าผู้อาวุโสนอนเมามายอยู่บนเมฆหลากสีอย่างสบายอุรา ไม่เคยไปหาเรื่องใครเลยไม่ใช่หรือ? ผลกลับกลายเป็นเจ้าหมอนี่ที่เดินผ่านมา ภายหลังยังขุดหลุมเล่นงานตนอีก เป็นเหตุให้จั่วโย่วออกกระบี่ใส่ผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่เป็นครั้งแรก เขาหมี่อวี้ถือว่าได้ของรางวัลชิ้นแรกนี้มาครึ่งหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรจั่วโย่วก็ไม่ได้ออกกระบี่ใส่เขาอย่างจริงจัง ก็เพราะดูถูกหมอนปักลายบุปผาขอบเขตหยกดิบน่ะสิ ยังจะมีอะไรได้อีก เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิง ‘โชคไม่เลว’ ได้ของรางวัลอีกครึ่งที่เหลือนั่นไป
ดังนั้นตอนแรกที่หมี่อวี้สังเกตเห็นว่าชุยตงซานขึ้นมาบนภูเขาจึงไปเดินเล่นที่ศาลภูเขาเก่าบนยอดเขาที่ว่างเปล่ามารอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะคุยเก่งจริงๆ หากเอาแต่หลบอยู่อย่างนี้คงไม่เหมาะ ดูจงใจเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่วันหน้าภูเขาลั่วพั่วเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำหาเงินเทพเซียนมาจากเหล่าพี่น้องเทพธิดาเมื่อไหร่ หมี่อวี้ก็อยากดึงเจ้าหมอนี่มาทำด้วยกันจริงๆ อีกอย่างหากไม่ได้ตีกันก็คงไม่รู้จักกันนี่นะ ทุกวันนี้ก็เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่หมี่อวี้ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะระวังสักหน่อย หลินจวินปี้ที่เป็นคนฉลาดปานนั้น ลำพังเพียงแค่เล่นหมากล้อมไม่กี่ตาก็ถูกชุยตงซานเล่นงานเสียจนย่ำแย่ หมี่อวี้ที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกก็ควรระวังตัวไว้จะดีกว่า
เฉินหน่วนซู่กระตุกชายแขนเสื้อของโจวหมี่ลี่ หมี่ลี่น้อยพลันฉลาดขึ้นมาทันควัน เอ่ยลาหนึ่งคำแล้วไปปัดกวาดเรือนไม้ไผ่เป็นเพื่อนพี่หญิงหน่วนซู่ หากบนโต๊ะหนังสือมีฝุ่นเกาะสักเม็ดก็ถือว่านางกับพี่หญิงหน่วนซู่แอบขี้เกียจ
ชุยตงซานผายมือบอกเป็นนัยให้เซียนกระบี่หมี่นั่งลง แล้วยิ้มร่าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน”
หมี่อวี้นั่งลงอย่างระอาใจ เขานั่งฝั่งตรงข้ามกับเด็กหนุ่มชุดขาว ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันค่อนข้างมาก
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าคือซงซานไงล่ะ”
หมี่อวี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช่ว่าพวกเราจะไม่รู้จักกันเสียหน่อย”
ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังมีไฟโทสะได้สามส่วน ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่เซียนกระบี่ แต่จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกกระบี่คนใดบ้างที่ไม่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดบ้างเลย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองพี่น้องก็มาทำความรู้จักกันดีๆ ดีไหม?”
ชุยตงซานใช้เสียงในใจยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเสียหม่านเทียน ก่อนจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ตอนที่ยังเป็นห้าขอบเขตล่างได้แอบออกจากเมืองไปลงสนามรบหกครั้ง ตอนเป็นห้าขอบเขตกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด ยามลงมืออำมหิตรุนแรงเป็นที่สุด ผลงานการต่อสู้ถือว่าอยู่ในอันดับที่สองของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเดียวกัน กล้าต่อสู้อย่างลืมตัวกลัวตายมากที่สุด เพียงเพราะว่าเผ่าปีศาจที่มาเข่นฆ่าที่นี่ ขอบเขตไม่สูงมากนัก ต่อให้ตกอยู่ในทางตัน พี่ชายอย่างหมี่ฮู่ก็สามารถช่วยได้ น้องชายย่อมรอดชีวิต พอเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ลักษณะการเข่นฆ่าของหมี่อวี้ก็เปลี่ยนแปลงไปมากอย่างกะทันหัน กล้าๆ กลัวๆกลายเป็นตัวตลกของบ้านเกิด ในความเป็นจริงเพราะหากหมี่อวี้ตกอยู่ในอันตรายที่ต้องตายอย่างแน่นอน มีแต่จะเดือดร้อนทำให้พี่ชายต้องตายไปก่อน ต่อให้หมี่ฮู่ตายช้ากว่าน้องชาย แต่ก็เป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะต้องตายอยู่ในสนามรบใหญ่ครั้งถัดไปอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็เป็นอย่างเซียนกระบี่เช่นพวกเถาเหวิน โจวเฉิงที่มีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ตรม อยู่ไม่สู้ตาย”
มือทั้งสองข้างของหมี่อวี้ที่อยู่ใต้โต๊ะกำเป็นหมัดแน่น ใบหน้าเขียวคล้ำ
ชุยตงซานใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง มืออีกข้างหนึ่งเขี่ยเมล็ดแตงเล่น เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าอาจารย์ของข้าเล่าให้ข้าฟังหรอกนะ”
หมี่อวี้หัวเราะหยัน “ใต้เท้าอิ่นกวานไม่มีทางทำตัวน่าเบื่อแบบนี้แน่นอน!”
ชุยตงซานโคลงศีรษะ เปลี่ยนมือข้างใหม่ใช้เท้าคาง “ก็ใช่น่ะสิ ข้าค่อนข้างน่าเบื่อ ถึงได้ราดสุราลงบนบาดแผลในใจของคนอื่นเช่นนี้”
หมี่อวี้เอ่ย “ดูแคลนข้าก็บอกมาตรงๆ!”
ชุยตงซานส่ายหน้า “ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ไม่กล้าพูดว่าหมี่อวี้ในใจของข้าคือวีรบุรุษชายชาตรีที่ถูกคนใส่ร้ายอะไร แต่กลับกล้าพูดว่าผู้ฝึกกระบี่หมี่อวี้คือคนตัวเป็นๆ ที่จริงแท้แน่นอน”
หมี่อวี้เกียจคร้านอย่างมาก แต่กับเรื่องบางเรื่องเขากลับค่อนข้างเอาจริงเอาจัง
ดังนั้นต่อให้ชุยตงซานจะอธิบายเช่นนี้ ไฟโทสะของหมี่อวี้ก็ยังลุกโชนสามจั้ง จะตีกันก็ตีไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้ตีกันจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสู้อีกฝ่ายได้ จะด่าก็ด่าไม่ได้ นั่นเป็นเพราะต้องด่าไม่ทันอีกฝ่ายแน่นอน
บวกกับที่สถานะของคนทั้งสองในตอนนี้แตกต่างจากในวันวาน นี่ยิ่งทำให้หมี่อวี้อัดอั้นมากกว่าเดิม
ชุยตงซานหัวเราะ “เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วนก็คือ หมี่ฮู่มีคุณสมบัติดีเกินไป เมื่อเทียบกับน้องชายแล้ว พี่ชายฝึกกระบี่เร็วกว่า ขอบเขตสูงกว่า ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วหมี่อวี้จะสามารถปลดปล่อยฝีมือเต็มที่ เพื่อออกกระบี่สังหารปีศาจใหญ่อย่างแท้จริงได้เมื่อไหร่กันล่ะ?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่มีโอกาสแล้ว ทุกวันนี้ขอบเขตยังต่ำไป เพราะถึงอย่างไรคอขวดขอบเขตหยกดิบไหนเลยจะฝ่าไปได้ง่ายขนาดนั้น ในฐานะควันธูปส่วนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ก็ยิ่งไม่อาจตายได้ ไม่อย่างนั้นจะรวมเอาส่วนของพี่ชายมาช่วงชิงไม่ให้ตัวเองได้ทุนคืนไม่ขาดทุนแล้วค่อยตายได้อย่างไร? ก็ช่างน่าอัดอั้นจริงๆ หากเปลี่ยนข้ามาเป็นเซียนกระบี่หมี่ ฝึกจิตใจได้กว้างขวางเปิดเผยเช่นข้า ไม่แน่ว่าอาจจะอัดอั้นยิ่งกว่านี้เป็นแน่”
ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่อันเป็นบ้านเกิดของตน ผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวยเคยพูดกับชุยตงซานอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘อาศัยอะไรข้าถึงต้องมาตายอยู่ที่นี่’
ชุยตงซานยอมรับได้อย่างมาก
ส่วนหมี่อวี้ผู้นี้ อันที่จริงชุยตงซานยอมรับได้มากยิ่งกว่า ส่วนความขัดแย้งบนหัวกำแพงเมืองในปีนั้น เป็นหมี่อวี้ที่ปากวอนหาเรื่องเอง เขาชุยตงซานก็แค่กระพือลมโหมไฟในเรื่องเล็กๆ ผลักเรือลอยตามน้ำในเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น อีกอย่างคนผู้หนึ่งเอ่ยประโยคที่แสดงถึงความโกรธไม่กี่คำจะเป็นไรไป แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนก็คือลูกผู้ชาย เยว่ชิงที่ตายอยู่บนสนามรบเป็นเช่นนี้ หมี่อวี้ที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หมี่อวี้เดือดดาลอย่างหนักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จ้องเด็กหนุ่มปากไร้หูรูดตรงหน้าเขม็ง ดวงตาแดงก่ำ ตวาดเสียงหนัก “ชุยตงซาน เจ้าหยุดพูดแต่พอสมควรให้ข้าผู้อาวุโสซะ!”
ชุยตงซานชูสองมือ “ก็ได้ๆ คนบ้านเดียวกันพูดประโยคไม่น่าฟังแค่ไม่กี่คำก็รับไม่ไหวแล้วหรือ? วันหน้ารอให้วิถีทางโลกของแจกันสมบัติทวีปกลับมาสงบสุขอีกครั้ง เปลี่ยนมาเป็นคนนอกที่เอาเรื่องนี้มาหัวเราะเยาะเจ้าหมี่อวี้ แล้วถือโอกาสหัวเราะเยาะภูเขาลั่วพั่วที่เก็บเอาของเละเทะมาด้วย เซียนกระบี่ใหญ่หมี่จะไม่แสดงบทละครเก่าๆ ซ้ำเดิม มัวแต่แอบดอดออกไปข้างนอก ลงจากภูเขาไปหลบคนทุกวัน หลบจนหัวคนกองกันเป็นภูเขา คมกระบี่ม้วนงอเลยหรอกหรือ?”
ปราณกระบี่เฉียบคมบนร่างของหมี่อวี้พลันปั่นคว้านเมฆขาวผืนใหญ่ที่เป็นแขกผ่านทางมานอกหน้าผาจนแหลกกระจุย
หมี่อวี้เองก็ลืมพูดโดยใช้เสียงในใจไปแล้ว
ชุยตงซานหรี่ตาลง ยกนิ้ววางทาบริมฝีปาก “อย่าทำให้หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยตกใจ ไม่อย่างนั้นข้าจะอัดเจ้าให้ร่อแร่ปางตาย”
ปราณกระบี่ของหมี่อวี้ ชุยตงซานขวางไว้แค่ครึ่งเดียว เมฆขาวนอกหน้าผาแตกก็แตกไป ทว่าทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่กลับไม่มีปราณกระบี่หลุดไปแม้สักเสี้ยว
หมี่อวี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วรีบเก็บปราณกระบี่มาทันที เขาถึงขั้นฝืนสะกดกลั้นไฟโทสะที่สุมแน่นเต็มอกลงไปได้ แต่สีหน้ากลับยังคงมืดทะมืน ทว่าเขารีบหันหน้าไปมองอีกทาง มองเห็นแม่นางน้อยสองคนที่ฟุบตัวอยู่ข้างกันบนระเบียงเรือนชั้นสอง หมี่อวี้ก็เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ โบกมือ พูดด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงแหบพร่า “เล่นสนุกกันเฉยๆ เล่นสนุกกันเฉยๆ พวกเจ้าทำธุระของตัวเองไปเถอะ”
ชุยตงซานเอ่ย “ใจคนขรุขระไม่ราบรื่นก็จะกลายเป็นปมในใจใหญ่ที่ยากจะคลี่คลาย เจ้าหมี่อวี้มีแค่ปมในใจเรื่องนี้ ข้าสามารถเข้าใจได้ หากเป็นเพียงสหายทั่วไป ข้าคงไม่เอ่ยถึงแม้แต่ครึ่งคำ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็จะหัวเราะคิกๆ คักๆ เจ้าแทะเมล็ดแตงข้าดื่มเหล้า กลมเกลียวปรองดองกันจะตายไป แต่ว่า”
ชุยตงซานพลันหัวเราะออกมา “แต่ว่านะ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยกลัวหนึ่งในหมื่น ก็ย่อมจะสามารถพิฆาตหนึ่งในหมื่นไปได้ทุกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น หากปมในใจของเจ้าหมี่อวี้ใหญ่กว่าภูเขาลั่วพั่ว ข้าก็จะต้องพิฆาตเรื่องนี้ก่อนจะปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น”
“ถ้อยคำที่ฟังไพเราะสวยงาม ขอแค่ถูกคนพร่ำพูดอยู่ข้างหูเป็นร้อยเป็นพันรอบ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นสามัญน่ารำคาญ แค่เห็นหน้าก็ชิงชังรังเกียจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็คือเหตุผลเดียวกัน ปมในใจใหญ่เทียมฟ้าที่ทำให้ใจยากจะสงบได้ ขอแค่คนข้างกายพูดบ่อยๆ เข้า ก็จะทำให้คลายออกไปได้หลายส่วน”
ชุยตงซานพูดสามประโยคติดๆ กัน
อันที่จริงตอนที่ได้ยินประโยคแรก หมี่อวี้ก็รู้เจตนาของชุยตงซานแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่า ‘ใจยากจะสงบ’ มากมายนัก ประโยคที่สองเขาเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก ผลคือพอได้ยินประโยคที่สามกลับทำให้ไฟโทสะของหมี่อวี้โหมโชนอีกครั้ง อดไม่ไหวด่าเบาๆ ว่า “ไสหัวเหตุผลเดียวกันของเจ้าไปเลย ข้าผู้อาวุโสไม่ได้ใจแคบอย่างที่เจ้าคิด!”
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “จริงหรือ?”
หมี่อวี้ถอนหายใจ “ข้าจะระวังหนึ่งในหมื่นนั้น”
ชุยตงซานพยักหน้า “เด็กคนนี้พอที่จะอบรมสั่งสอนได้”
หมี่อวี้เหล่ตามองเด็กหนุ่มชุดขาว “เจ้าถนัดทำให้คนอื่นสะอิดสะเอียนใจเช่นนี้มาโดยตลอดหรือ?”
พอถามคำถามนี้ไปแล้ว หมี่อวี้ก็ถามเองตอบเองทันที “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่เรียนรู้อะไรที่ดี ดีแต่ไปเรียนรู้อะไรแย่ๆ”
ชุยตงซานแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้อง “ไม่ใช่ลูกศิษย์ทั่วไป แต่เป็นลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ข้า!”
ฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ชอบจดบัญชีไม่อยู่ในบ้าน วันนี้ศิษย์พี่เล็กจะต้องพยายามชดเชยกลับมาให้ได้
หมี่อวี้ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด
ชุยตงซานใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ กวาดเปลือกเมล็ดแตงทิ้งไปนอกหน้าผา เอ่ยขึ้นราวกับว่าพยากรณ์ได้ล่วงหน้า “ไม่ต้องจงใจจะทำตัวเป็นสหายกับข้า ถ้อยคำทักทายปราศรัยตามมารยาทก็ไม่ต้องพูด คนครอบครัวเดียวกัน พี่น้องแท้ๆ ยังมีที่ไม่ชอบขี้หน้ากันเลย แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าและข้า เจ้ายินดีเชื่อใจใต้เท้าอิ่นกวานของเจ้า ข้าเองก็คอยช่วยขจัดความยุ่งยากคลี่คลายทุกข์ให้กับอาจารย์ของข้า ทิศทางใหญ่ๆ ของเราไปในทางเดียวกัน ไม่ต้องคาดหวังอะไรที่มากกว่านี้ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ต่อให้อบด้วยน้ำตาลน้ำผึ้ง กินไปถึงท้ายที่สุดก็ยังขมอยู่ดี หวานก่อนแล้วค่อยขม เป็นอะไรที่ยุ่งยากที่สุด”
หมี่อวี้พยักหน้า “เป็นเหตุผลที่ดี”
ไม่แน่ว่าสามารถเอามาประยุกต์ใช้เวลาที่พูดคุยกับเทพธิดาหรือจอมยุทธ์หญิงได้
ชุยตงซานเอนตัวพิงโต๊ะหิน ทอดสายตามองไปนอกหน้าผา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันหน้ายามที่ภูเขาลั่วพั่วทำกิจการบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เซียนกระบี่ใหญ่หมี่สามารถเอาหลักการเหตุผลนี้ไปพูดกับสตรีได้ ข้าจะอยู่ด้านข้างคอยปรบมือร้องให้กำลังใจ ทำเป็นว่าเพิ่งเคยได้ยินสัจธรรมที่มีชื่อเสียงนี้เป็นครั้งแรก”
หมี่อวี้ถอนหายใจ “น่ารำคาญ”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไฟเผาหน้าหนังสือไม่เคยหยุดพัก คำว่ารำคาญจะดีได้อย่างไร” (ประโยคไฟเผาหน้าหนังสือมีตัวอักษรที่พอประกอบกันแล้วได้เป็นคำว่ารำคาญ)
หมี่อวี้ชูมือสองข้างขึ้น พูดหน้าบูดบึ้ง “ชุยตงซาน เทพเซียนชุย นายท่านชุย ข้ากลัวเจ้าแล้วตกลงไหม วันหน้าขอแค่เจ้ามาถึงภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะต้องหลบเจ้าไปให้ไกลๆ ไม่ทำให้เจ้ารำคาญใจเด็ดขาด”
ชุยตงซานยกมือขึ้น ข้อมือไม่ขยับแต่ฝ่ามือกลับขยับ เขาโบกฝ่ามือเบาๆ ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หมี่อย่าทำเช่นนี้ ตอนนี้ข้ามีแค่หลานชายคนดีอย่างไช่จิงเสินคนเดียวเท่านั้น หากมากกว่านี้คงจะหงุดหงิดแย่”
ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ชั้นสอง เฉินหน่วนซู่ผ่อนลมหายใจโล่งอก ดูท่าทั้งสองคนจะกลับมาดีกันดังเดิมแล้ว
ในที่สุดหมี่ลี่น้อยก็คลายคิ้วเล็กที่ขมวดเข้าหากันแน่น ยังดีๆ อวี้หมี่ไม่ได้ตีกับห่านขาวใหญ่ ถึงเวลานั้นจะห้ามทัพคงยากมากแน่ๆ
สองเท้าของหมี่ลี่น้อยลอยพ้นพื้น ถามเบาๆ ว่า “พี่หญิงหน่วนซู่ เหตุใดพวกเขาถึงต้องทะเลาะกันด้วยล่ะ?”
เฉินหน่วนซู่ลูบศีรษะเล็กๆ ของหมี่ลี่น้อย พูดเสียงอ่อนโยนว่า “อาจารย์ชุยกับอาจารย์อวี๋ล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมต้องมีเรื่องกลัดกลุ้มทุกข์ใจน้อยใหญ่ พูดออกมาแล้วย่อมดีกว่าไม่ได้พูด จะเอาแต่เก็บกลั้นไว้ในใจคงไม่ดี”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง จากนั้นดวงตาก็พลันเป็นประกาย กระแอมหนึ่งที ถามว่า “พี่หญิงหน่วนซู่ ข้าจะถามปริศนาที่เดายากอย่างถึงที่สุดข้อหนึ่งนะ ไม่ใช่เจ้าขุนเขาคนดีสอนข้าหรอก เป็นข้าที่คิดขึ้นเอง”
เฉินหน่วนซู่ประหลาดใจเล็กน้อย นางพยักหน้ารับ “เจ้าถามมาสิ”
หมี่ลี่น้อยกุมท้องหัวเราะก๊าก โอ้ย ไม่ไหวแล้ว ตลกเกินไปแล้ว แม่นางน้อยชุดดำต้องนั่งยองลงบนพื้นท้องถึงจะไม่ปวด ดูท่าปริศนาคำทายนั้นคงทำให้ตัวนางเองอารมณ์ดีอย่างมากจริงๆ
หน่วนซู่ทรุดตัวลงนั่งยอง รอจนหมี่ลี่น้อยหัวเราะเสร็จแล้วจึงถามว่าเป็นปริศนาคำทายอะไรกันแน่
โจวหมี่ลี่นั่งลงบนพื้น กำลังจะพูดก็อดไม่ไหวต้องกุมท้องขึ้นมาอีก
หน่วนซู่เอ่ยอย่างอ่อนใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปทำงานก่อนนะ”
โจวหมี่ลี่ทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน แล้วถึงได้รีบพูดว่า “อะไรเอ่ยกลั้นไว้ดี ไม่กลั้นไว้กลับไม่ดี?!”
จากนั้นแม่นางน้อยก็กลิ้งไปบนพื้น
เฉินหน่วนซู่นวดคลึงขมับ นางรู้คำตอบแล้ว แต่กลับพูดว่าขอคิดดูก่อน
หลายปีก่อนตอนที่เผยเฉียนฝึกหมัด กว่าจะได้หยุดพักสักวันสองวันโดยที่ไม่ต้องไปเรือนชั้นสองไม่ใช่เรื่องง่าย
มีเพียงครั้งเดียวที่โจวหมี่ลี่ไม่ได้ไปเป็นเทพทวารบาลให้กับเผยเฉียนตั้งแต่เช้าตรู่ เผยเฉียนรู้สึกว่าน่าประหลาดยิ่งนัก จึงวิ่งไปดูผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วที่ละเลยหน้าที่ ผลคือหน่วนซู่เปิดประตูออก พวกนางสองคนก็เห็นว่าหมี่ลี่น้อยนอนอยู่บนเตียง ผ้าห่มถูกหัวและสองมือของโจวหมี่ลี่ดันเอาไว้ มองไปแล้วคล้ายภูเขาลูกเล็ก ปลายผ้าห่มม้วนเก็บขอบไว้อย่างแน่นหนา พอเผยเฉียนถามว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาเจ้าทำบ้าอะไรอยู่ โจวหมี่ลี่ก็พูดตอบเสียงดังอู้อี้บอกว่าเจ้าเปิดประตูก่อน เผยเฉียนเลยเลิกผ้าห่มออก ผลคือตัวเองกับหน่วนซู่ต่างก็ถูกกลิ่นรมแทบตาย ต้องรีบวิ่งออกไปนอกห้อง ทิ้งหมี่ลี่น้อยที่เอามืออุดจมูกอยู่นานแล้วให้หัวเราะกลิ้งอยู่บนเตียงเพียงลำพัง
——