พอเถียนจิ่วเอ๋อร์ออกมาจากร้าน ชุยตงซานก็ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะคิดเงิน มองผู้เฒ่าที่เรือนกายผ่ายผอมแต่กลับสวมชุดคลุมเต๋าที่กว้างใหญ่อย่างถึงที่สุดแล้วจุ๊ปากเอ่ย “เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรตัวดี กระดูกบนร่างหนักเก้าสิบจิน คาดว่าคงมีจินครึ่งจินที่มาจากคุณความชอบของชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนบนร่างชิ้นนี้กระมัง เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยนี่ไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋าแล้วนะ นี่มันสวมเงินเทพเซียนกองโตชัดๆ โอ้โหๆๆ ชุดคลุมเต๋านี้ใหญ่จนชายแขนเสื้อแทบจะระพื้นอยู่แล้ว ทำไม เทพเซียนผู้เฒ่าคิดจะไปกวาดพื้นในตรอกฉีหลงงั้นรึ?”
เหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผากเจี่ยเฉิง เขาหัวเราะแห้งๆ เอ่ยว่า “ชุยเซียนซือพูดเรื่องตลกแล้ว พูดเรื่องตลกแล้ว”
นักพรตเฒ่าไม่ได้โง่จริงๆ เสียหน่อย หลายปีมานี้ที่อยู่ในร้านของเมืองเล็ก บ้างก็ไปที่ตัวจังหวัด บ้างก็ขึ้นไปบนภูเขา ขอแค่ได้ยินข่าวเล็กๆ มา ไม่ต้องสนว่าจะใช่ข่าวลือหรือไม่ ก็ล้วนทำให้นักพรตเฒ่าเอามาคิดซ้ำไปซ้ำมา ขบให้แตกยิบย่อยเพื่อที่จะได้คิดให้มากขึ้น เรื่องดีคิดไปในทางเล็ก เรื่องร้ายคิดไปในทางใหญ่เทียมฟ้า ระวังแล้วระวังอีก ใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนที่ทำให้นักพรตเฒ่าท่องอยู่ในยุทธภพได้โดยที่เรือไม่ล่ม
สำหรับคำพูดประชดประชันของอาจารย์ชุย เขารู้สึกว่าดียิ่งนัก ลมเย็นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าในวันที่อากาศร้อนระอุทำให้รู้สึกเย็นสบายได้อีกเป็นเท่าตัว (คำว่าประชดประชันภาษาจีนคือ 风凉话 แปลตรงตัวคือคำพูดลมเย็น)
เดิมทีเจี่ยเฉิงไม่รู้สึกว่าลำบากใจแม้แต่น้อย แค่หนังหน้าหล่นลงบนพื้น นักพรตเฒ่าเช่นข้าไม่คิดมากเสียหน่อยหากต้องก้มไปเก็บมันมา แค่ค้อมเอวจะไปเปลืองแรงอะไร!
จ่ายเงินเล็กๆ น้อยๆ กินขนมของร้านด้านข้างสองสามชิ้นก็ชดเชยกลับคืนมาได้แล้ว คาดไม่ถึงว่าแม่นางหลิงชุนเร็วไม่ปรากฎตัวช้าไม่ปรากฎตัว ดันมายืนอยู่หน้าประตูใหญ่ร้านฉ่าวโถวของตนเอาตอนนี้พอดี นางยืนเอาไหล่ข้างหนึ่งพิงกรอบประตู สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อยิ้มตาหยี
ขมขื่นนัก ขมขื่นนัก
เมื่อเจี่ยเฉิงผู้นี้เป็นเพียงแค่นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงจริงๆ เท่านั้น ชุยตงซานก็คร้านจะพูดไร้สาระให้มากความ เขาใช้นิ้วเคาะโต๊ะ พูดเข้าประเด็นว่า “ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ค่อนข้างจะขาดแคลน เจ้ารู้บ้างหรือไม่เล่า?”
นักพรตเฒ่าย่อมต้องรู้แน่อยู่แล้ว ปีนั้นตอนที่สร้างศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว ซานจวินใหญ่เว่ยยังมาเข้าร่วมพิธีด้วย!
อีกอย่างเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเจ้าขุนเขาหนุ่มกับแม่นางหร่วน นักพรตเฒ่าอย่างข้าตาบอดจริงๆ แล้วอย่างไรเล่า ไม่ได้ถูกน้ำมันหมูบังใจเสียหน่อย ย่อมต้องรู้ชัดเจนดี!
ชุยตงซานที่เพิ่งไปเยือนศาลเทพวารีของแม่น้ำอวี้เย่มารอบหนึ่งเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้ารับลูกศิษย์ที่ดีไว้จริงๆ รักและหวงแหนแม้แต่ไม้กวาดด้ามเก่าของตัวเองก็ถือว่าใจไม่กว้างมากพอ ไม่สมกับเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วแล้ว”
ชุยตงซานพลันยกฝ่ามือตบป้าบลงบนโต๊ะคิดเงิน ทำเอานักพรตเฒ่าตกใจจนต้องรีบทำคอย่นก้มหัว ยิ่งค้อมเอวลงต่ำ
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากโต๊ะ เดินวนรอบร่างของนักพรตเฒ่าที่เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาวหลายรอบ ปากก็บริภาษไปด้วย “ย่ำยีสมบัติแห่งสวรรค์ ความเห็นแก่ตัวเข้มข้นเกินไป นี่เรียกว่าเป็นคนที่ไร้คุณธรรมแล้ว! เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรก็เลยเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? ดาวอายุยืนกินยาเบื่อหนูเข้าไปรึ? เจ้าอยากจะกินสักกี่จินล่ะ บอกข้าผู้อาวุโสมาให้ชัดเจนเลยสิ! มารดาเถอะ หากข้าผู้อาวุโสให้เจ้าขาดไปหนึ่งหรือสองจินก็ถือว่าข้าผู้อาวุโสไม่ใจกว้างเหมือนกับเจ้า!”
เจี่ยเฉิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ในใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข บนใบหน้าเหี่ยวชราเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ชุยเซียนซือ ความหมายของท่านผู้อาวุโส ข้าเข้าใจดี เพียงแต่ว่าในใจข้ามีความทุกข์ทนที่พูดไม่ออก วันนี้ได้เจอกับชุยเซียนซือเลยยอมเสียสละศักดิ์ศรีหน้าตาอันน้อยนิดแค่นี้ แต่ก็ต้องบังอาจพูดกับท่านผู้อาวุโสสักคำถึงคัมภีร์อ่านยากเล่มนั้นของพวกเราสามอาจารย์และศิษย์”
พูดถึงเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดใจ ผู้เฒ่าก็เช็ดหัวตา เพียงแต่ว่าปากก็ไม่ได้หยุดพูด “ร่างกายของจิ่วเอ๋อร์ข้าสอดคล้องกับกฎแห่งสวรรค์จริงๆ หาใช่เพราะข้าผู้เป็นนักพรตเฒ่าเสียดาย ‘สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน’ น้อยนิดแค่นี้ไม่ ในฐานะผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ ข้าผู้เป็นนักพรตเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้มโนธรรม สำหรับภูเขาลั่วพั่วและใต้เท้าเจ้าขุนเขา ข้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณจนนึกอยากจะตั้งป้ายบูชาเขาไว้ในบ้าน จุดธูปกราบไหว้ทุกวันเลยด้วยซ้ำ ก็ไม่ใช่เพราะอาศัยบุญวาสนาอันลึกล้ำของเจ้าขุนเขาเราหรือไร ข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกรเล็กๆ นั่นได้ ตามหลักแล้วควรจะทำเรื่องดีที่เป็นการเป็นงานให้กับภูเขาลั่วพั่วบ้าง เพียงแต่ว่าในอดีตข้าผู้เป็นนักพรตออกเดินทางไกล คอยกำจัดปีศาจปราบมาร นับว่ายังใจแข็งอยู่บ้าง ทว่าตบะอ่อนด้อยอยู่ปลายแถว ความสามารถก็ไม่มากพอ ทำให้ชุยเซียนซือได้เห็นเรื่องตลกแล้ว เลือดสดของจิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์ ข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ถึงข้อดีได้อย่างไร กลัวก็เพียงแต่ว่าทำเช่นนี้จะทำลายความปรองดอง วันหน้าหากเจ้าขุนเขารู้เข้า กลับกลายเป็นว่าจะถูกตำหนิ ไม่อย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็คงให้จิ่วเอ๋อร์ทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ต่อให้ในใจนางจะไม่ยินยอม สายตาตื้นเขินไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณของภูเขาลั่วพั่ว ในฐานะอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้แก่นาง ไม่เพียงแต่จะต้องให้นางมอบน้ำพุยันต์หลายจินมาให้ในเวลาที่กำหนด ยังจะสอนให้นางได้รู้ถึงหลักการเหตุผลในการอยู่ร่วมกันของคนบนโลกอย่างดีด้วย! ไม่ว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะสงสารลูกศิษย์ทั้งสองขนาดไหน ก็ยังต้องตัดใจฟาดกระบองสั่งสอนให้พวกเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนให้จงได้!”
แน่นอนว่าเจี่ยเฉิงผู้นี้พูดจาเหลวไหล พูดส่งเดชไปเรื่อยเปื่อย ไม่เพียงแต่ยกยอตัวเองให้สูงส่ง ยังจะสาดโคลนสกปรกใส่บนร่างของเถียนจิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์อีกด้วย
อันที่จริงมีแค่ประโยคเดียวที่เจี่ยเฉิง ‘เทพเซียนผู้เฒ่า’ ขอบเขตประตูมังกรพูดความจริง กลัวว่าเฉินผิงอันเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ทำลายความปรองดองของทุกคน ทำให้เขาเจี่ยเฉิงที่คิดจะประจบเอาใจกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ดี นี่ไม่เท่ากับเป็นการค้าขายที่ขาดทุนซึ่งใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ
เจี่ยเฉิงตาบอดแต่ใจไม่บอด รู้ดีถึงบรรทัดฐานของภูเขาลั่วพั่ว ก็คือต้องมีมโนธรรมมีจิตสำนึกในการเป็นคนเสียหน่อย
ส่วนเรื่องการอวดฉลาดและการใช้อุบายเรื่องอื่นๆ ก็ล้วนไม่ถึงขั้นทำให้เขาต้องเสียชามข้าวเทพเซียนในการเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วใบนี้ไป
ในความเป็นจริงแล้ว จนถึงตอนนี้คนที่ฉลาดเหมือนนักพรตเฒ่าก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจว่า เจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้นมีทิพย์จักษุได้อย่างไร ถึงได้มาถูกใจพวกเขาสามอาจารย์และศิษย์ได้ ทำให้พวกเขาที่นอนกลางดินกินกลางทรายมาจนชินแล้วโชคดีได้มากินข้าวอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว
ชุยตงซานกระตุกชายแขนเสื้อคลุมเต๋าของนักพรตเฒ่า จากนั้นก็เอาพัดพับไม้ไผ่หยกที่นักพรตเฒ่าแสร้งเอามาใช้ทำให้ตัวเองสง่าสูงส่งมาคลี่เปิดเบาๆ ด้านหนึ่งก็เดินวนอ้อมรอบตัวนักพรต อีกด้านหนึ่งพัดเอาลมเย็นๆ เข้าสู่ตัว
ชุยเซียนซือไม่พูดไม่จา ส่วนนักพรตเฒ่าที่หลังจากร่าย ‘ความในใจ’ ประโยคนั้นจบก็ไม่เหลือความกล้าและไม่เหลือสมองให้เฟ้นหาถ้อยคำที่มากกว่านี้แล้ว
ชุยตงซานเอ่ย “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ให้จิ่วเอ๋อร์สะสมน้ำพุยันต์ตามจำนวนและเวลาที่กำหนด วันหน้าจะมีประโยชน์อย่างมาก เพียงแต่ต้องจำไว้ว่าห้ามให้ทำลายมหามรรคาของจิ่วเอ๋อร์แม้แต่เสี้ยวเดียว”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก กุมหมัดเอ่ยว่า “น้อมรับคำสั่งของชุยเซียนซือ ข้าจะทั้งช่วยอาจารย์ชุยสะสมน้ำพุยันต์ แล้วก็จะเห็นแก่จิ่วเอ๋อร์ด้วย ไหนเลยจะหักใจให้นางถูกทำร้ายได้ ถึงอย่างไรนางก็เหมือนลูกสาวแท้ๆ ของข้า”
เจี่ยเฉิงผู้นี้ฝึกตนเลอะเลือน แต่คำพูดคำจากลับไม่เลอะเลือนเลยจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้วก็เพราะว่าเจี่ยเฉิงฉลาดมากเกินไป กลับกลายเป็นว่าทางเลือกที่ไม่ฉลาดบางอย่างของนักพรตเฒ่าที่ทำให้เขาเข้าตาภูเขาลั่วพั่ว
ลูกศิษย์สองคนนั้นมาเจออาจารย์อย่างเขา น่าสังเวชก็น่าสังเวชจริงอยู่ เอะอะก็ทุบตี เอะอะก็ด่าทอ ไม่ว่าคำพูดร้ายกาจแค่ไหนก็ล้วนพูดได้หมด ยามที่ตีลูกศิษย์ขึ้นมาก็ยิ่งไม่แพ้ให้กับยามสังหารปีศาจปราบมารเพื่อหาเงินเลยแม้แต่น้อย แต่มีเรื่องบางอย่างที่เจี่ยเฉิงทำไม่เหมือนเทพเซียนบนภูเขาอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นรับลูกศิษย์ที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตมาไว้ข้างกาย แล้วยังช่วยปิดบังตัวตนให้กับเขา หรือยกตัวอย่างเช่นไม่ได้ขายเถียนจิ่วเอ๋อร์ส่งต่อให้กับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาสายยันต์
เถียนจิ่วเอ๋อร์ลูกศิษย์ของนักพรตเฒ่ามีพรสวรรค์โดดเด่น เลือดสดคือ ‘น้ำพุยันต์’ ที่เหมาะให้ผู้ฝึกตนใช้วาดยันต์มากที่สุด
ในอดีตไม่ว่าเจี่ยเฉิงจะหาเงินก็ดี หรือแสร้งทำเป็นเจินเหรินของลัทธิเต๋าเพื่อหลอกเอาเงินคนอื่นเข้ากระเป๋าตัวเองก็ช่าง หากต้องวาดยันต์อสนีที่เป็นวิชานอกรีตไว้บนฝ่ามือ ก็มักจะต้องใช้น้ำพุยันต์อยู่เสมอ
เพียงแต่ว่าเงินทองเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาหลังจากอาศัยความสามารถที่แท้จริงและจากที่แสร้งทำท่าหลอกคนอื่น เมื่อเทียบกับการขายเถียนจิ่วเอ๋อร์ไปในราคาสูงแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ชุยตงซานพยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ ผู้เยาว์คงไม่รบกวนการฝึกตนของเทพเซียนผู้เฒ่าแล้ว”
ชุยตงซานโยนพัดพับคืนให้นักพรตเฒ่า
เจี่ยเฉิงรีบใช้สองมือรับไว้ประหนึ่งได้รับสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน
ชุยตงซานเดินไปหาสหายฉางมิ่งที่อยู่หน้าประตู แล้วจู่ๆ ก็หันขวับกลับมา “น้ำพุยันต์หนึ่งจิน หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ถือเสียว่าข้าซื้อมาจากแม่นางจิ่วเอ๋อร์ ไม่เกี่ยวอะไรกับภูเขาลั่วพั่ว”
เจี่ยเฉิงรีบพูดทันที “ไม่ต้องมากมายขนาดนี้หรอก น้ำพุยันต์สองจิน เก็บเงินจากชุยเซียนซือแค่ครึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยก็ถือว่าร้านฉ่าวโถวของพวกเราหาเงินอย่างผิดต่อมโนธรรมใจแล้ว”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “อ้อ? ผิดต่อมโนธรรมในใจอย่างไรเล่า?”
เจี่ยเฉิงรีบยืดตัวขึ้นตรงทันใด ราวกับสวรรค์ช่วยคุ้มครอง เขาถึงขั้นมีมาดของเทพเซียนผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเซียนอยู่หลายส่วน “เงินเทพเซียนทั้งหมดล้วนตกเป็นของจิ่วเอ๋อร์ ข้าที่เป็นอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้จิ่วเอ๋อร์มากมายนัก นี่ก็ทำให้ข้าละอายใจพออยู่แล้ว หากจิ่วเอ๋อร์สามารถอาศัยเงินเทพเซียนนี้ก้าวเดินได้ตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีอาจารย์คอยช่วยประคับประคอง ให้ตัวนางเองได้เดินขึ้นสู่ที่สูงไปอีกหลายก้าว นั่นก็ย่อมต้องเป็นเรื่องประเสริฐอันยิ่งใหญ่ เรื่องประเสริฐอันยิ่งใหญ่แล้ว!”
ชุยตงซานยื่นนิ้วมาชี้หน้านักพรตเฒ่า “มารดาเถอะ วันหน้าคนหนุ่มสาวที่ภูเขาลั่วพั่วจะรับมาใหม่จะต้องให้มาหัดเรียนพูดจากับเจ้าเสียก่อน!”
ชุยตงซานดีดนิ้วอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งจะต้องมีเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งส่งเสียงดังติ๊ง สุดท้ายเงินฝนธัญพืชหลายเหรียญก็ค่อยๆ ลอยเข้าหานักพรตเฒ่า “ให้เจ้าเป็นรางวัล จงรับไว้อย่างสบายใจ เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าวันๆ เอาแต่สวมชุดเก่าๆ เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว นี่ไม่ทำกับว่าทำให้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราถูกคนอื่นหัวเราะเยาะหรอกหรือ?”
เจี่ยเฉิงเข้าใจได้ทันที
ชุดคลุมอาคมบนร่างสามารถเปลี่ยนได้ แต่วันหน้าออกไปเพ่นพ่านข้างนอกให้น้อยหน่อย
ชุยตงซานยิ้มเอ่ยกับสหายฉางมิ่ง “พี่หญิงหลิงชุน พวกเราไปเดินเล่นกันดีไหม?”
ฉางมิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ ในใจนางมีเรื่องสงสัยเล็กๆ น้อยๆ อยู่หลายข้อจริง ก่อนหน้านี้ไม่เหมาะจะให้ถาม ตอนนี้ชุยตงซานมาหาเองถึงที่แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจกันอีกแล้ว
คนทั้งสองเดินขึ้นบันไดของตรอกฉีหลงไป ระหว่างนี้เดินผ่านเรือนหลังใหญ่อยู่หลายหลัง ทุกวันนี้ล้วนกลายเป็นกิจการของสหายฉางมิ่งทั้งหมดแล้ว
เงินเยอะไม่มีที่ให้เก็บ ไม่อย่างนั้นฉางมิ่งก็นึกอยากจะเปลี่ยนรูปโฉมสถานะ แอบไปซื้อภูเขาทั้งหลายทางทิศตะวันตกมาทำเป็นเรือนของตัวเองแล้ว
ชุยตงซานเดินไปถึงริมขอบของลานตากธัญพืชแห่งหนึ่ง ก้มหน้ามองแล้วยิ้มเอ่ย “ผู้คุมกฎฉางมิ่งมีคำถามใดเชิญถามได้เลย”
สหายฉางมิ่งไม่ได้เห็นเรื่องของบรรพจารย์ผู้คุมกฎเป็นจริงเป็นจริงนัก นางถามว่า “เนื้อหนังมังสาบนร่างของเจ้าที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนี้ เจ้าสวมไว้ก็เพื่อวันใดวันหนึ่งมีโอกาสแล้วจะได้กลืนกินจื้อกุย…หวังจูแห่งตรอกหนีผิงหรือ?”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที
นั่นคือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
ทว่าทุกวันนี้กลับมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
การรับมือกับเผ่าพันธุ์เจียวหลง ชุยตงซาน ‘เกิดมา’ ก็เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง ทุกวันนี้เจียวเฒ่าแคว้นหวงถิงที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นผู้นั้นก็เคยได้สัมผัสกับตัวเองมาก่อนนานแล้ว
แต่คนที่ชุยตงซานต้องการจะ ‘สยบกำราบ’ อย่างแท้จริง ตั้งแต่แรกมาก็มีเพียง ‘หลีจู’ มังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายบนโลกของถ้ำสวรรค์หลีจูเท่านั้น
หากประคับประคองไม่ได้ ไม่เป็นโล้เป็นพาย ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าชุยตงซานจัดการเอง
หากสถานการณ์ผิดปกติ ชุยตงซานคิดจะลงมืออำมหิตขึ้นมา ไม่เพียงแต่หวังจูผู้นั้น เจ้าตัวน้อยอีกห้าตัวที่เหลือ บวกกับเจียวเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงตัวนั้น รวมไปถึงบุตรชายหญิงที่ไม่ได้ความสองคนของเขา หงเซี่ยแห่งภูเขาหวงหู หลี่จิ่นแห่งเมืองหงจู๋…และยังมีพวกกากเดนของแคว้นสู่โบราณทั้งหลายที่ยังหลงเหลืออยู่ ล้วนจะต้องถูกข้ากินทั้งหมด!
ฉางมิ่งเอ่ย “ทุกวันนี้กลับกลายมาเป็นภาระเสียแล้ว การเลื่อนไปสู่ขอบเขตบินทะยานเป็นเรื่องที่ยากมาก อาจารย์ผู้เฒ่าหยางไม่มีทางยอมเปิดหอบินทะยานให้เจ้าเป็นพิเศษอย่างแน่นอน”
ชุยตงซานส่ายหน้า “การคิดคำนวณในใต้หล้า มีข้อห้ามที่ความสมบูรณ์แบบ”
ฉางมิ่งพยักหน้า “เป็นข้าที่คิดมากไปเอง”
ชุยตงซานเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ขยับเท้าก้าวเดินอีกครั้ง พาสหายฉางมิ่งที่สำหรับในใจเขาก็คือผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพัวแล้วออกเดินเล่นไปด้วยกัน
ฉางมิ่งนึกถึงเรื่องของร้านฉ่าวโถวและน้ำพุยันต์ขึ้นมาได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ได้มาโดยไม่ต้องเปลืองแรง ไม่ใช่ความเคยชินที่ดีจริงๆ หากเวลาผ่านไปนานวันเข้าก็จะกลายเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายเบาสบาย”
ชุยตงซานเอ่ย “ไม่ทุ่มเทก็ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า ยิ่งต้องทุ่มเทมากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นห่วงยิ่งสนใจมากเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นคนดีหรือคนเลว เหล้ากาหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเพราะอะไร ราคาจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง รสชาติที่ดื่มออกมา ดื่มช้าหรือเร็ว ล้วนไม่เหมือนกัน”
ชุยตงซานหันหน้ามายิ้มเอ่ย “สหายฉางมิ่ง ลองเล่าเรื่องที่เจ้ากับอาจารย์ข้าได้พบเจอกันให้ฟังบ้างสิ? เอาเรื่องที่พอจะเล่าได้น่ะ”
แล้วฉางมิ่งก็เริ่มเล่าเจื้อยแจ้ว
อันที่จริงไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้
นอกจากอดีตเจ้านายอย่างสิงกวานที่ไม่มีอะไรให้พูดถึง และขั้นตอนการเย็บผ้าของใต้เท้าอิ่นกวานที่ไม่ได้เล่าแล้ว เรื่องอื่นๆ ฉางมิ่งล้วนไม่ได้ปิดบัง
ยกตัวอย่างเช่นการดำรงอยู่ของเหนี่ยนซินคนเย็บผ้า ยกตัวอย่างเช่นลูกศิษย์ที่เฒ่าหูหนวกรับมา หรือในคุกขังปีศาจตนใดไว้บ้าง มีประวัติความเป็นมาเช่นไร ได้พูดคุยและเข่นฆ่ากับอิ่นกวานอย่างไร
คราบร่างบนกายชุยตงซานชิ้นนั้น หากว่ากันในบางความหมายแล้ว แท้จริงแล้วก็ต้องถือว่าเป็นของรักของชอบอันดับหนึ่งของคนเย็บผ้า
ส่วนผิวหนังของผู้ฝึกตนคนใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตบะว่าสูงหรือต่ำ แต่เกิดมากลับเหมาะจะให้เอามาทำเป็นกระดาษยันต์ คนเย็บผ้าก็มักจะถนัดเรื่องนี้ที่สุด ‘ยันต์สาวงาม’ ที่แคว้นหูนครลมเย็นใช้หนังจิ้งจอกสร้างขึ้นมา ถือว่าพอจะเกี่ยวข้องอยู่บ้างเล็กน้อย
คนเย็บผ้าเลือกผู้ฝึกตนได้แล้วก็จะฆ่าคนถลกหนัง แล้วเก็บสะสมไว้เป็นกระดาษยันต์ บ้างก็จะเอามาวาดยันต์ไว้ใช้เอง บ้างก็ขายไปให้ผู้ฝึกตนลัทธิมารในราคาสูง
ดังนั้นคนเย็บผ้ากับตู๋ฉีหลางแห่งทะเลใต้ และโจรเด็ดบุปผาจึงอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน ต่างก็ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสิบผู้ฝึกตนใหญ่สายมารนอกรีต แต่ละคนล้วนควรสังหารทิ้ง แน่นอนว่าใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล