ชุยตงซานฟังจบก็เอ่ยเนิบช้าว่า “คนเย็บผ้าและเพชฌฆาตที่มหามรรคาคล้ายคลึงกัน ตู๋ฉีหลางแห่งทะเลใต้ที่แอบดึงเอาโชคชะตาน้ำในใต้หล้ามา กว้อเค่อที่ชักนำกองทัพหยินข้ามดินแดน ศพงามที่ฝึกวิชาหลอมหลากสี สร้างกระโจมเฟิงหลิว โจรเด็ดบุปผาที่พื้นที่มงคลร้อยบุปผาทุ่มเงินจ่ายค่าศพอย่างงาม เทพโรคระบาดที่ชั่วชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าบนเส้นทางชีวิตจะพบเจออุปสรรคมากมาย ผีทวงหนี้ที่มีชาติกำเนิดจากสำนักหยินหยาง แต่กลับถูกผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางชิงชังรังเกียจมากที่สุด ตู้ซือที่ช่วยให้คนได้ข้ามผ่านด่านยากของชีวิต แต่กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นชะตาชีวิตสามชาติของอีกฝ่าย…นอกจากเซียนนกเจิ้นที่ยังไม่เคยรู้จักพูดคุยกันแล้ว คนอื่นๆ ข้าล้วนเคยเห็นมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่คนขายกระจกที่มีจำนวนน้อยที่สุดในบรรดา ‘ตัวสำรองสิบโจร’ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด ข้าล้วนเคยพบเจอในถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนมาก่อน แล้วยังเคยพูดคุยกับเขาอยู่หลายคำ”
ชุยตงซานมีสีหน้าเฉยเมย เล่าถึงเรื่องราวบางอย่างและบางคนให้สหายฉางมิ่งฟัง “ข้าเคยทะยานลมไปบนมหาสมุทรร่วมกับตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณ ข้าเคยยืนอยู่บนหลังม้าข้างกายกว้อเค่อ ข้าเคยดื่มเหล้านอนเมามายอยู่ในกระโจมเฟิงหลิว ถกเรื่องหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์กับศพงามจนถึงอีกวัน ข้าเคยแต่งกลอนให้กับโจรเด็ดบุปผา ข้าเคยได้ยินเสียงสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจจากเทพแห่งโรคระบาดเยาว์วัยคนหนึ่ง ข้าเคยคิดบัญชีอย่างเป็นจริงเป็นจังกับผีทวงหนี้มาก่อน ข้าเคยถามตู้ซือว่าหากคนที่ข้ามผ่านแม่น้ำไปไม่มีชาติหน้าจะทำอย่างไร ข้าเคยถามคนขายกระจกว่าสามารถหลอมแสงจันทร์เรืองรองให้เป็นคันฉ่องแต่งหน้าได้จริงหรือ แล้วหากข้าเงยหน้าขึ้นจะมองเห็นใคร”
กล่าวมาถึงตรงนี้ชุยตงซานก็พลันคลี่ยิ้ม ดวงตาสว่างเจิดจ้าอีกหลายส่วน เขาแหงนหน้าเอ่ยว่า “ข้ายังเคยไปขโมยเส้นผมของฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสินในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กับอาเหลียง อาเหลียงพูดจากับข้าอย่างน่าเชื่อถือว่า นั่นคือสิ่งที่เหมาะที่สุดที่จะนำมาหลอมเป็น ‘ความคิดถึง’ และ ‘ฮุ่ยเจี้ยน’ (แปลตรงตัวว่ากระบี่แห่งสติปัญญา ในทางพระพุทธศาสนาหมายถึงสติปัญญาที่สามารถตัดขาดความหงุดหงิดวุ่นวายใจทั้งหมดได้) ได้ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ภายหลังร่องรอยของพวกเราถูกเปิดเผย เจ้าอาเหลียงชาติสุนัขไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ชักเท้าเผ่นหนีทันที แต่กลับถูกข้าร่ายเวทกักร่างเอาไว้ ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินภูเขาชิงเสินที่บุกเข้ามาอย่างดุดันเปี่ยมไปด้วยปราณสังหารเพียงลำพัง”
“ข้ายังเคยไปเยือนถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนกับศิษย์น้องจั่วโย่ว ตอนแรกก็ไปที่พื้นที่มงคลหมานจ้างและถ้ำสวรรค์ชิงเสียมาก่อน สุดท้ายถึงได้อ้อมเส้นทางแล้วไปที่ถ้ำสวรรค์ฉานเจวียน เพียงแค่เพราะจั่วโย่วผู้ดื้อรั้นไม่สนใจสถานที่แห่งนี้มากที่สุด ดังนั้นจั่วโย่วเดือดร้อนให้จนถึงทุกวันนี้ข้าก็ยังไม่เคยไปพื้นที่มงคลร้อยบุปผามาก่อน ถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนคือสถานที่ที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาซึ่งใกล้จะได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียนกันต้องการไปเยือนที่สุดเชียวนะ ตอนนั้นเทพธิดาที่อยู่ข้างกายของพวกเราสองศิษย์พี่ศิษย์น้องใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ เหตุใดถึงหลอกให้จั่วโย่วไปที่นั่นไม่ได้กันนะ?”
“เพราะในนั้นมีนครซีจิง ว่ากันว่าคนมีความรักในใต้หล้า ต่อให้จะเป็นคนที่กลัวว่าต้องเผชิญกับความทุกข์ตรมจากการที่เฝ้าคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียว หากสามารถมาจุดธูปขอพรที่นี่ได้จะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่เพียงแต่มีหวังว่าจะได้ครองคู่กัน ยังสามารถอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าผมขาวโพลน จำได้ว่าแม่นางคนเฝ้าศาลของที่นั่นเป็นสตรีที่หน้าตางดงามอย่างมาก ในมือของนางถือพัดทรงกลมดอกท้อ ด้านบนวาดดวงจันทร์และเขียนบทกวีกิ่งไผ่เอาไว้ นางมีนามว่าเฉินสี่ เอวบางร่างน้อย รูปร่างอ้อนแอ้น ว่ากันว่าตอนที่ป๋ายเหย่ยังเป็นเพียงแค่เซียนกวีไม่ใช่เซียนกระบี่ ได้จับมือกับเพื่อนรักจวินเชี่ยนเดินทางไปเที่ยวที่ถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนด้วยกัน ตอนที่อารมณ์บังเกิดยังหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนหน้าพัดด้วยตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เพราะตอนนั้นป๋ายเหย่กับหลิวสือลิ่วสหายของเขาไม่ได้พกเงินไปด้วย ไม่อาจเข้าไปในถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนได้ ป๋ายเหย่ก็เลยได้แต่เขียนกลอนขายความสามารถเพื่อหาเงินค่าเดินทางก็เท่านั้น ดังนั้นคนรุ่นหลังถึงได้แกะสลักคำว่า ‘ใจคนพันหมื่นจันทร์ดวงเดียวกัน’ ไว้บนหน้าประตูใหญ่ของถ้ำสวรรค์ฉานเจวียน นั่นคือลายมือของจวินเชี่ยนศิษย์น้องข้า ทุกวันนี้มีใครเดาออกบ้างเล่า? สุดท้ายตอนที่ออกมาจากถ้ำสวรรค์ฉานเจวียน เทพธิดาแอบถามจั่วโย่วว่าคนเฝ้าศาลไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้นใช่ไหม? จั่วโย่วบอกว่าหน้าตางดงามอยู่มาก ตรงหน้าประตูถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนด้านหลังจั่วโย่วมีแม่นางคนหนึ่งยิ้มงดงามเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ข้างกายจั่วโย่วมีแม่นางคนหนึ่งที่ไม่ได้อารมณ์ดีขนาดนั้นแล้ว รอกระทั่งจั่วโย่วเอ่ยว่า งดงามหรือไม่งดงามเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? แม่นางสองคนก็สลับอารมณ์กันอีกครั้ง”
“หลังจากเทพธิดาจากไป ข้าก็ยิ้มด่าศิษย์น้องขำๆ ว่าเจ้าปัญญาอ่อนหรือไร ช่วยมีสติปัญญาสักหน่อยเถอะ ศิษย์น้องยิ้มตอบศิษย์พี่ คิดว่าข้าโง่จริงๆ งั้นหรือ? จะไม่รู้หรือว่าเทพธิดาที่ชอบศิษย์พี่คนนั้นกำลังพูดกระทบกระเทียบ พอเห็นคนเฝ้าศาลหน้าตางดงาม กังวลว่าศิษย์พี่เห็นแล้วจะเกิดความคิดต่อนาง ในใจนางก็เลยไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว? ความคิดที่ตื้นเขินของสตรีเช่นนี้ ศิษย์น้องยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง! ตอนนั้นข้ายกนิ้วโป้งสองนิ้ว ศิษย์น้องจั่วโย่วคลี่ยิ้มสดใสเจิดจ้า”
ฉางมิ่งพบว่าการ ‘คุยเล่น’ กับชุยตงซานผู้นี้ น่าสนใจอย่างยิ่ง
โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่ศัตรูกัน
คนผู้หนึ่งที่ยิ่งผ่านประสบการณ์ ยิ่งสะสมเรื่องราวมามากเท่าไร ยามที่คิดจะอำมหิตขึ้นมาก็มักจะโหดเหี้ยมที่สุด
คนทั้งสองเดินผ่านตรอกหนีผิง ตอนที่พวกเขาเดินผ่านโรงเรียนแห่งเก่า ฉางมิ่งก็หยุดเดินแล้วถามว่า “นี่ล่ะเป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานไม่ได้หยุดเดิน กลับกันยังเดินเร็วยิ่งกว่าเดิม ชายแขนเสื้อใหญ่ระพื้นอยู่ตลอดเวลา “พูดไม่ได้ ไม่มีอะไรให้ต้องพูด”
ฉางมิ่งเดินตามฝีเท้าของเด็กหนุ่มชุดขาวไป เปลี่ยนมาพูดหัวข้อที่ผ่อนคลาย “ก่อนหน้านี้ไปเยี่ยมเยือนจวนของเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ ไปทำอะไรมา?”
ชุยตงซานเอ่ย “ไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็แค่กระชากผมของเหนียงเนียงเทพวารีไว้แล้วเหวี่ยงเป็นวงใหญ่หลายๆ รอบ”
ฉางมิ่งเอ่ยสัพยอก “จะทำตัวเป็นคนที่ดีได้หรือไม่?”
ชุยตงซานกลับเอ่ยว่า “ยากมาก เชื่อข้าสิ”
สหายฉางมิ่งถอนหายใจยาวๆ “ยากมากที่จะไม่เชื่ออาจารย์ชุย”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “นายบ่าวคนของราชวงศ์จูอิ๋งคู่นั้น แล้วยังมีอวิ๋นจื่อแห่งเนินชิงหนี ข้าคงไม่ไปทำตัวเป็นคนเลวแล้ว เร่งรีบเดินทางนั้นไม่ยาก แต่คุยเล่นกับคนเหนื่อยใจที่สุด ดังนั้นคงต้องรบกวนให้ผู้คุมกฎฉางมิ่งเป็นคนเลวแล้วล่ะ ถึงอย่างไรเจ้าเองก็พูดไว้แล้วว่า ได้มาโดยไม่ต้องเปลืองแรงไม่ใช่ความเคยชินที่ดี แต่จำไว้เรื่องหนึ่งว่า แม่นางที่ใช้นามแฝงว่าสือชิวคนนั้นก็อย่าไปวาดงูเติมขาเลย ตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วต่างก็แสร้งทำเป็นว่านางไม่มีตัวตนอยู่ นี่ก็เพื่อให้นางได้อยู่ที่นี่อย่างสบายใจที่สุด ในทางส่วนตัวเจ้ายังต้องคอยคุ้มครองนางหน่อย สรุปก็คือกำลังไฟก็ให้สหายฉางมิ่งกะเอาเองแล้วกัน ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์กล่าวโทษขึ้นมา ยามที่คุยกับเจ้าคงใช้เหตุผล อย่างมากสุดถ้าโมโหก็คงด่าเจ้าแค่ไม่กี่คำ แต่หากมาถึงคราวข้า คาดว่าอาจารย์คงไม่ใช้เหตุผลอย่างที่หาได้ยาก แล้วยังจะลงมือต่อยตีคนตรงๆ เลยด้วยซ้ำ”
ฉางมิ่งพยักหน้ารับ “ตกลง”
อวิ๋นจื่อแห่งเนินชิงหนีภูเขาฮุยเหมิงตอนนี้ยังเป็นขอบเขตประตูมังกรชั่วคราว ร่างจริงคืองูดำของภูเขาฉีตุน แต่กลับไม่ได้เป็นภูตแห่งขุนเขาตามความหมายที่แท้จริง แต่เป็นเม็ดหมากสีดำเม็ดหนึ่งจากการประลองหมากล้อมของเซียนสองคนในอดีตที่จำแลงร่างกลายมาเป็นงู หน้าท้องเป็นเส้นสีทอง มีเค้าโครงของเกล็ดมังกรแล้ว เนื่องจากสถานการณ์หมากล้อมในปีนั้น ตอนที่เม็ดหมากสีดำถูกวางลงบนกระดานหมาก จิตสังหารเข้มข้นเกินไป จึงเป็นเหตุให้ ‘อวิ๋นจื่อ’ ที่ถือกำเนิดในภายหลัง เมื่อเทียบกับงูน้ำหงเซี่ย เทียบกับงูเหลือมทั่วไปตามภูเขาหนองน้ำแล้ว มีนิสัยอำมหิตดุร้าย พยศยากจะกำราบมาตั้งแต่เกิด
สุดท้ายชุยตงซานพาฉางมิ่งไปที่ร้านริมลำคลองหลงซวี
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืน เท้าเอาหัวเราะดังร่า “น้องตงซานอ่า!”
ชุยตงซานเดินอาดๆ เอ่ยเรียก “พี่ใหญ่เสี้ยนหยางอ่า!”
หลิวเสี้ยนหยางชูฝ่ามือขึ้นสูง ชุยตงซานกระโดดตบฝ่ามือกับอีกฝ่าย แล้วถูกหลิวเสี้ยนหยางกุมมือเอาไว้ จากนั้นใช้สายตาสอบถามว่า พี่หญิงหลิงชุนคนนี้? หืม?
ชุยตงซานใช้สายตาตอบ เรื่องนี้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแม่นางคนใหม่
หลิวเสี้ยนหยางทอดถอนใจ ก่อนจะกุมหมัดเอ่ยกับฉางมิ่ง “คารวะแม่นางหลิงชุน”
สหายฉางมิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ รู้สึกว่าทำแบบนี้อาจจะดูเกรงใจอีกทั้งห่างเหินกับคนผู้นี้เกินไปหน่อย ดังนั้นจึงกุมหมัดคารวะกลับคืน “คารวะอาจารย์หลิว”
ในใจนางตั้งใจแล้วว่าวันหน้าต่อให้มีธุระก็ยังต้องมาที่ร้านนี้ให้น้อยหน่อย หากไม่มีธุระก็ห้ามมาเด็ดขาด
ดังนั้นฉางมิ่งจึงเอ่ยขอตัวลากลับไป ไปทำธุระเป็นการเป็นงานที่ภูเขาฮุยเหมิงและเนินชิงหนี
หลิวเสี้ยนหยางกับชุยตงซานนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “น้องชายระวังหน่อยนะ เก้าอี้ที่อยู่ใต้ก้นของเจ้าคือเก้าอี้ที่ไทเฮาของต้าหลีพวกเราเคยนั่งมาก่อน ล้ำค่านักล่ะ หากนั่งแล้วยุบลงไป พี่น้องแท้ๆ ต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน เจ้าจะชดใช้ไหวหรือ?”
ชุยตงซานเลิกคิ้วมองเก้าอี้ตัวที่หลิวเสี้ยนหยางนั่งแล้วยิ้มกริ่มไม่เอ่ยอะไร
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ “น้องชายคิดอะไรน่ะ คิดต่ำช้าไม่สง่างามแล้วใช่ไหม? เก้าอี้ตัวนั้นถูกอาจารย์ของข้าแอบเก็บไปนานแล้ว”
ชุยตงซานกลับสูดลมหายใจดังเฮือก
ร้ายกาจ! ไม่เสียทีที่เป็นพี่ใหญ่เสี้ยนหยาง!
คำพูดประโยคนี้หากให้หร่วนฉงที่คร่ำครึหัวโบราณได้ยินเข้า คงจะลงมือซ้อมหลิวเสี้ยนหยางจนตายเลยจริงๆ กระมัง?
ชุยตงซานนั่งคุยโม้อยู่กับหลิวเสี้ยนหยาง คำพูดที่ใช้ไม่ค่อยต่างจากตอนที่เฉินหลิงจวินดื่มจนเมามายสักเท่าไร
สุดท้ายชุยตงซานเอ่ยว่า “เสี้ยนหยาง เสี้ยนหยาง เป็นชื่อที่ดี จิตใจดั่งต้นไม้ดอกไม้ที่หันหน้าตะวันแล้วเบ่งบาน”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่พูด ข้าก็ยังไม่รู้สึกนะ แค่จำได้ว่าในอดีตเหยาเหล่าโถวเคยบอกว่า ดินหยางเสี้ยนคือดินที่ดีในการนำมาเผาเครื่องปั้น ก็แค่ว่าค่อนข้างจะหาได้ยาก ปีนั้นเฉินผิงอันติดตามเหยาเหล่าโถวขึ้นเขาไปหาดิน ต้องเจอกับความลำบากไม่น้อย”
ชุยตงซานกลับยิ้มตาหยีกะทันหัน “ป๋ายเหย่ จวินเชี่ยนคือสหายรัก ล้วนมีวาสนากับเจ้า ถ้าอย่างนั้นเสี้ยนหยางกับเซอเยว่ล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ “หวังสูงแล้ว เป็นข้าที่หวังป่ายปีนที่สูงแล้ว”
ดูจากท่าทาง ฟังจากน้ำเสียง คาดว่ากับแม่นางเซอเยว่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์คงไม่มีหวังแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางพลันถามว่า “แม่นางเซอเยว่ผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานกลับตอบไม่ตรงคำถาม “แม่นางผู้นี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง มีชาติกำเนิดจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่ตอนอยู่ใบถงทวีปกลับแทบไม่เคยสังหารใคร แค่ตามหาคนเท่านั้น”
หลิวเสี้ยนหยางตบเข่าฉาด “เป็นแม่นางที่ดี เป็นแม่นางที่ดีที่ลุ่มหลงในรักจริงๆ! พี่เสี้ยนหยางของนางก็นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ? ยังต้องไปตามหาใครอะไรอีก!”
ก่อนจะรีบหันไปยื่นส่งเมล็ดแตงกำมือหนึ่งให้ “พี่ชุย แทะเมล็ดแตงเถอะ”
ชุยตงซานหยิบเมล็ดแตงมา แล้วก็ถูกหลิวเสี้ยนหยางคว้ากลับไปส่วนหนึ่ง “จะดีจะชั่วก็เหลือให้น้องเสี้ยนหยางสักหน่อยสิ”
ชุยตงซานแทะเมล็ดแตง ค้อมเอวมองไปยังทิศไกล ปากก็เอ่ยถามว่า “เชื่อในเรื่องวาสนาชีวิตคู่หรือไม่ กลัวด้ายแดงหรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางเองก็แทะเมล็ดแตง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าแค่ดูว่าแม่นางดีหรือไม่ดี”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ขาดไปคำหนึ่งหรือไม่”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “พูดรวบคำให้กระชับไงล่ะ จะได้ประหยัดแรงหน่อย”
แค่ดูว่าแม่นางงามดีหรือไม่
ชุยตงซานตบเข่า “พี่ใหญ่เสี้ยนหยาง ไม่ใช่ว่าข้าชมเจ้าจริงๆ นะ แต่เจ้าช่างฉลาดมีไหวพริบจนน่ากลัว!”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยด้วยสีหน้าเขินอาย “เปลี่ยนเป็นคำว่าน่ารักเถอะ น่ารักดีกว่าหน่อย ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ถึงจะได้หาภรรยาที่ดีได้”
ชุยตงซานแทะเมล็ดแตงหมดก็บอกว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้านแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางโบกมือ บอกเป็นนัยว่าตนคงไม่ตามไปขอกินเปล่าดื่มเปล่าแล้ว
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว
หลิวเสี้ยนหยางก็พลันถามว่า “คนที่เซอเยว่ต้องการตามหา ใช่ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉหรือไม่?”
ชุยตงซานหันหน้ามาช้าๆ “ใช่แล้วก็ไม่ใช่ ยากที่จะบอกได้อย่างชัดเจน”
หลิวเสี้ยนหยางถามอีกว่า “อยู่ห่างจากข้ามากแค่ไหน? อาจารย์ชุยจะให้ข้าได้เห็นหลิวไฉไกลๆ สักแวบได้หรือไม่?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “อย่าเข้ามาร่วมวงด้วยเลย”
หลิวเสี้ยนหยางถามอีกว่า “เป็นเพราะตอนนี้ข้าไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมด้วย หรือเป็นเพราะว่าหากข้าเข้าร่วมด้วยต้องจ่ายค่าตอบแทนค่อนข้างมาก?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ทั้งสองอย่าง อย่างแรกมากหน่อย ดังนั้นไม่ต้องคิดมาก”
หลิวเสี้ยนหยางร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
ชุยตงซานไม่ได้ทะยานลมกลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว แต่เลือกจะเดินเท้า สุดท้ายไปนั่งอยู่บนสะพานหินโค้งแห่งนั้น
ใต้สะพานไม่ได้แขวนกระบี่เก่าแก่ไว้อีกแล้ว
ชุยตงซานขมวดคิ้วแน่น สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ
คนที่เซอเยว่ต้องการตามหาคือหลิวไฉจริงๆ
คนผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลกับอาจารย์สุดขอบฟ้า แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า
คนผู้หนึ่งที่ในอดีตที่ชุยตงซานค่อนข้างตั้งป้อมระแวงเพียงแค่เพราะป้องกันหนึ่งในหมื่น ไม่ใช่ว่าตอนนั้นรู้สึกว่าคนผู้นี้ประหลาด แต่เป็นเพราะผู้ถ่ายทอดมรรคาของคนผู้นั้นประหลาดเกินไป
ดังนั้นพอมีโอกาส ชุยตงซานจึงสอบถามเรื่องเก่าบางอย่างยามท่องอยู่ในใบถงทวีปโดยที่ไม่ให้เปิดเผยร่องรอย
บวกกับสหายที่อาจารย์พบเจอโดยบังเอิญระหว่างเดินทางไกลคนนั้นค่อนข้างจะยินดีพูดคุยมากหน่อย ดังนั้นชุยตงซานก็ย่อมได้รู้เพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ชุยตงซานจึงพอจะเดาเรื่องของปีนั้นได้คร่าวๆ แล้ว ก่อนที่อาจารย์จะเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ก็ได้เจอกับหลิวไฉในอนาคตแล้ว
ไม่เพียงแต่เจอกัน อีกทั้งยังอยู่ใกล้ตรงหน้า อยู่ใกล้ในระยะประชิดอีกด้วย!
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นสหายสนิทที่คบกันด้วยความจริงใจ คนผู้นั้นถึงขั้นคาดหวังจากใจจริงว่าอาจารย์จะสามารถกลายเป็นเสาหลักท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกรากของกลียุคได้
ต่อให้ชุยตงซานจะแค่ลองคิดดู ต่อให้เขาจะเป็นคนนอกสถานการณ์ อีกทั้งยังผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ต่อให้เขาจะเป็นแค่ชุยฉานครึ่งตัว ก็ยังรู้สึกเย็นวาบไปทั้งสันหลัง ขนลุกขนชันไปทั้งร่าง!
ปีนั้น
อาจารย์พูดประมาณว่า ‘ต้องเหลือค้างไว้หน่อย จะยึดครองทั้งหมดในทุกๆ เรื่องไม่ได้’
คนผู้นั้นพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง ‘เฉินผิงอัน เจ้าถึงขั้นกำลังหลบหนึ่งนั้นอยู่หรือนี่’
ให้เจ้าหลบหนึ่งนั้น กลายเป็นหนึ่งในนั้นไปก่อน
รอจนเจ้ากลายเป็นหนึ่งนั้นแล้ว ค่อยใช้หนึ่งพิฆาตหนึ่ง
อาจารย์เฉินผิงอันกับลู่ไถในอดีตหลิวไฉในอนาคต อันที่จริงคนทั้งสองพูดเรื่องนี้ต่อหน้ากันและกันเลยนะ
นี่ก็คือแผนการที่แท้จริง
ถังหูลู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูปีนั้น เจ้าโจวจื่อยังไม่พอหรือ?! ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือไร?!
ชุยตงซานใช้ฝ่ามือตบลงบนสะพานหินโค้ง แต่กลับเก็บพละกำลังกลับมากะทันหัน เปลี่ยนเป็นใช้ฝ่ามือและชายแขนเสื้อลูบไล้ผ่านผิวสะพานเบาๆ ไปพร้อมกัน
ชุยตงซานพูดด้วยเสียงในใจ “หลี่ซีเซิ่ง มาใช้หนี้! โชควาสนาของอาจารย์เกินครึ่งอยู่ที่เจ้า ในเมื่ออาจารย์ไม่ได้รับยันต์ท้อชิ้นนั้นของเจ้า เจ้าก็ควร…”
อันที่จริงชุยตงซานเตรียมจะลงไปชักดิ้นชักงออย่างเอาแต่ใจแล้ว
เหตุผลไม่อาจพูดกันเช่นนี้ได้ เพียงแต่จะไม่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้
เจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานรู้เรื่องนี้ และยังอนุมานได้มากกว่า คาดการณ์ได้ไกลยิ่งกว่า แต่เจ้าตะพาบเฒ่ากลับดันรู้สึกว่าฆ่าก็ฆ่า ให้หลิวไฉผู้นั้นลองดูได้
แต่ชุยตงซานหรือจะยินดีให้เป็นเช่นนี้ เรื่องราวหลายๆ อย่าง หากอยู่ที่แค่การจับคู่เข่นฆ่าก็ไม่ได้ยากเลยสักนิด ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าโจวจื่อผู้นั้นวางแผนอย่างประณีตตั้งใจเช่นนี้ เรื่องที่เกี่ยวพันกลับมีแต่จะใหญ่มากขึ้น ไม่มีทางเป็นเหมือนสถานการณ์ถามใจที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแน่นอน!
หลี่ซีเซิ่งปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มบางๆ นั่งลงข้างกายชุยตงซาน จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “ให้ข้าไปถกปัญหากับโจวจื่อ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา แต่กลับไม่ได้ทำเพื่อเฉินผิงอัน ทว่าเจ้าดูแคลนเฉินผิงอันถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ขนาดคนเป็นลูกศิษย์ยังไม่เชื่อใจอาจารย์ แบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกระมัง”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ข้าเป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์ จิตใจย่อมไม่มั่นคงเหมือนเจ้า”
หลีซีเซิ่งวางสองมือไว้บนหัวเข่าเบาๆ ทอดสายตามองไปไกล “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดหรือไม่ว่า อันที่จริงเฉินผิงอันเดาได้แล้วว่าหลิวไฉคือใคร? แน่นอนว่าเป็นการเดาไปถึงหนึ่งในหมื่นด้วย”
ชุยตงซานส่ายหน้า “สมองของอาจารย์ข้าไม่ได้มีปัญหาเสียหน่อย”
ในใจมีแผนการเล็กๆ
คิดว่าจะขอถ้อยคำมหามงคลที่ถ้อยคำบังเกิดอาคมตามติดจากหลี่ซีเซิ่งเสียหน่อย
ซิ่วหู่ชุยฉานในอดีตก็แค่สอนวิชาความรู้แทนอาจารย์
ทว่าเต๋าเหล่าต้าของป๋ายอวี้จิงในอดีตกลับเคยรับศิษย์แทนอาจารย์เชียวนะ
หลี่ซีเซิ่งกลับไม่ปล่อยให้ชุยตงซานได้สมใจหวัง เพียงเอ่ยว่า “มีใจเช่นนี้หรือไม่ จะได้หนึ่งนั้นหรือไม่ หนึ่งนั้นสามารถหลบเลี่ยงได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ แล้วพิฆาตได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือไร? ขนาดอาจารย์ของข้ายังไม่รู้สึกว่าจะต้องทำสำเร็จได้แน่นอน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าทั้งเจ้าและข้าต่างก็คอยดูอยู่ข้างๆ ก็พอ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็ค่อยว่ากันอีกที”
หลี่ซีเซิ่งโบกมือหนึ่งครั้ง โยนปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองและปูตัวน้อยสีทองลงไปในน้ำด้วยกัน เพียงแต่ว่าในขณะที่พวกมันกำลังจะหล่นลงน้ำกลับไปโผล่อยู่กลางลำน้ำใหญ่ที่ห่างไปไกล
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปจำแลงร่างกลายเป็นเจียวซะ”
ชุยตงซานมองน้ำด้วยท่าทางน่าสงสาร
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยอย่างเฉยเมย “คืนที่หิมะตกคนในครอบครัวกลับมาบ้านแล้ว”
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่สะทกสะท้าน
รอกระทั่งร่างของหลี่เซิ่งจางหายไป ไปยังลำน้ำใหญ่
ชุยตงซานถึงได้ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทะยานลมกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว พอเจอกับหมี่ลี่น้อยที่มายืนคอยอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ ชุยตงซานก็สะบัดชายแขนเสื้อโบยบิน
ไม่ว่าจะยังต้องรออีกกี่ปี แต่สุดท้ายแล้วในคืนวันที่หิมะตก คนในครอบครัวก็จะได้หวนกลับมา
ช่างหัวโจวจื่อไม่โจวจื่อ หนึ่งไม่หนึ่งอะไรนั่นเถอะ ข้าคือชุยตงซาน! ข้าผู้อาวุโสคือตงซานไงล่ะ!
——