บทที่ 721.1 จะปล่อยให้เหนื่อยเปล่าไม่ได้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนภูเขาลั่วพั่วไม่มีเรื่องใหญ่ ก็เหมือนอย่างที่จูเหลี่ยนบอกกับเพ่ยเซียงไว้ สายลมอบอุ่นแสงแดดงดงาม ลมพัดสายฝนภูเขาพร่างพรม มีแต่เรื่องชวนให้สบายตาสบายใจเท่านั้น

ภูเขาลั่วพั่วสงบสุขได้เช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะภูเขาลั่วพั่วไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก แต่เป็นเพราะผู้ใหญ่ที่เติบใหญ่แล้วและผู้อาวุโสซึ่งต่างก็อยู่ในสถานะที่แตกต่าง บ้างไกลบ้างใกล้ คอยช่วยบังแดดบังฝนให้กับภูเขาลั่วพั่ว

ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่เคยไปเยือนสนามรบนครมังกรเฒ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง และยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดชุยเหวยที่กำลังเดินทางเข้าสู่สนามรบ

แม้แต่เผยเฉียนที่ปีนั้นอยู่บนภูเขาลั่วพั่วตัวสูงกว่าโจวหมี่ลี่เพียงเล็กน้อย ตอนนี้ก็ยังอยู่ในสนามรบภาคกลางของเกราะทองทวีป คนที่เผยเฉียนต้องการไล่ตามก็คือเฉาสือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ถูกนางมองเป็นดั่งศัตรูบนวิถีวรยุทธของอาจารย์พ่อ เผยเฉียนทั้งแสวงหาความสูงต่ำของวิชาหมัด แล้วก็แสวงหาความมากน้อยในการสังหารศัตรูบนสนามรบ ต่อให้ตอนนี้จะยังคงไล่ตามไม่ทัน ระยะห่างจากเฉาสือยังค่อนข้างมาก แต่สำหรับเผยเฉียนแล้ว เรียนวิชาหมัด อย่างน้อยก็ควรต้องทำอะไรบ้าง ดังนั้นเกราะทองทวีปที่ทุกวันนี้ครึ่งหนึ่งตกอยู่ในอันตรายล่อแหลมต่างก็รู้ว่าข้างกายเฉาสือ นอกจากอวี้เจวี้ยนฟูผู้ฝึกยุทธผู้มีพรสวรรค์ที่ชื่อเสียงเลื่องลือแล้ว ยังมีผู้ฝึกยุทธหญิงอายุน้อยคนหนึ่งนามว่าเผยเฉียน นางมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกหมัดก็ยิ่งเผด็จการยิ่งกว่า เชี่ยวชาญการใช้บาดแผลแลกกับความตายมากที่สุด อยู่บนสนามรบก็ยิ่งชอบเป็นฝ่ายตามหาศัตรูเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจที่โชคร้ายต้องต่อสู้กับนาง ภายใต้หมัดของนางศัตรูก็ไม่เหลือแม้กระทั่งศพ

อาณาเขตของขุนเขาเหนือที่มีฐานะเป็นพื้นที่มังกรลุกผงาดครึ่งหนึ่งของต้าหลี แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้สัมผัสกับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ แต่ฝนห่าใหญ่สีทองที่ตกติดต่อกันสามครั้งก่อนหน้านี้ อันที่จริงก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนรู้สึกหวาดผวาไม่คลายแล้ว หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องที่หงเซี่ยจำแลงร่างกลายเป็นเจียว เดิมทีนี่เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ทว่าภายใต้สถานการณ์ของทวีปในทุกวันนี้ทำให้ไม่ได้เป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนเท่าใดนัก บวกกับเว่ยป้อและชุยตงซานคนสองคนที่มีฐานะเป็น ‘ขุนนางต้าหลี’ ที่ต่างก็คอยช่วยอำพรางให้หงเซี่ยตามเส้นทางของตัวเอง เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระที่ฝึกตนอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือก็ยังไม่รู้ว่าเจียวน้ำที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาเดินลงน้ำตัวนี้ แท้จริงแล้วเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนให้การอบรมบ่มเพาะอย่างลับๆ หรือไม่

ส่วนการที่เพ่ยเซียงย้ายแคว้นหูมาไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว เนื่องจากเลือกที่ตั้งเป็นพื้นที่มงคลรากบัว อีกทั้งสวี่หุนแห่งนครลมเย็นยังต้องอาศัยคุณความชอบทางการสู้รบที่นครมังกรเฒ่ามาชดใช้โชควาสนาที่ได้จากหอบินทะยานของต้าหลี ดังนั้นต่อให้สตรีออกเรือนแล้วของสกุลสวี่นครลมเย็นผู้นั้นจะพอมีการคาเดาบางอย่าง ก็ยังไม่อาจลงมือทำอะไรได้ ได้แต่รอคอยคำสั่งอย่างรอบคอบระมัดระวัง ภาพความประทับใจที่สวี่หุนมีให้ต่อผู้คนภายนอกก็คือตั้งใจฝึกตน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจธุระยิบย่อย เป็นเหตุให้อำนาจใหญ่ตกอยู่ในมือของสตรีออกเรือนแล้ว แต่เพ่ยเซียงและเถ้าแก่เหยียนฟ่างรู้ดีว่า หัวใจหลักและคนที่กุมอำนาจอยู่เบื้องหลังนครลมเย็นอย่างแท้จริง แต่ไหนแต่ไรมาก็คือสวี่หุนที่ ‘ทุกครั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ คำพูดของเขาคือข้อสรุป’ เสมอมา

หรือยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ผู้เฒ่าจ้งชิวที่บอกว่าจะลองไปเยี่ยมเยือนศาลลมหิมะดู สุยโย่วเปียนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงที่ทยอยกันได้รับสถานะในกองทัพชายแดนและในวงการขุนนางต้าหลี อยู่ในราชวงศ์ต้าหลี คนอื่นที่พยายามไขว่คว้าสถานะขุนนาง นอกจากจะต้องมีคุณความชอบทางการสู้รบแล้ว ก็ยังต้องคุณความชอบทางการสู้รบที่ยิ่งใหญ่กว่าเท่านั้น แม้แต่ลูกหลานชนชั้นสูงที่มีชาติกำเนิดจากตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์อย่างกวนอี้หราน หลิวสวินเหม่ย ลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพทั้งหลายต่างก็เข่นฆ่าออกมาจากกองคนตายกันทั้งนั้น ต่อให้เป็นลูกหลานแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นอย่างผู้ตรวจการเฉาเกิงซิน หยวนเจิ้งติ้ง ก็ยังต้องมียศจากการสอบเคอจวี่เสียก่อน จากนั้นถึงจะถูกตระกูลโยนเข้าไปในวงการขุนนางให้ล้มลุกคลุกคลานเอาเอง จะเลือกวงการขุนนางแห่งไหนเป็นที่แรก บางทีทางตระกูลอาจพอจะช่วยเหลือได้ ทว่าหลังจากนั้นจะได้เลื่อนขั้นหรือไม่ จะเดินขึ้นฟ้าได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ล้วนต้องอิงตามกฎคุณความชอบและกิจการงานของต้าหลีทั้งสิ้น

ก่อนที่ชุยตงซานจะลงไปจากภูเขาได้ชี้แนะด้านการฝึกตนให้แก่เฉาฉิงหล่าง การฝ่าทะลุขอบเขตของเฉาฉิงหล่างไม่ถือว่าเร็วแล้วก็ไม่ถือว่าช้า ไม่ถือว่าช้าก็เพราะเปรียบเทียบกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักอักษรจงทั่วไป ไม่ถือว่าเร็วก็เพราะเปรียบเทียบกับพวกหลินโส่วอี

นี่คือดีมาก เดินขึ้นเขาฝึกตนขอแค่คุณสมบัติมากพอ อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องให้น่าตื่นตาตื่นใจเกินไปนัก เพราะคนมีพรสวรรค์ส่วนใหญ่มักจะตายก่อนวัยอันควร ดังนั้นความมั่นคงควรมาเป็นอันดับหนึ่ง ปีนั้นจั่วโย่วหันไปเรียนกระบี่ก็สามารถสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนได้ทันทีที่เขาลุกผงาด นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านี้การแสวงหาความรู้ของเขาเน้นในเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก

ทุกวันนี้ทุกครั้งที่พี่หญิงเฉินซึ่งขนาดหมี่ลี่น้อยก็ยังรู้สึกว่าเป็นคนเซ่อซ่าน่ารักกลับไปที่บ้าน จะต้องถูกเร่งให้แต่งงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านแม่ของเฉินยวนจีที่ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับลูกสาวเป็นการส่วนตัว สตรีออกเรือนแล้วก็จะต้องอดไม่ไหวตาแดงก่ำ เพราะบุตรสาวบ้านตน ทั้งที่หน้าตางดงามปานนี้ ฐานะทางบ้านก็ถือว่ามีกินมีใช้ แม่นางน้อยไม่ต้องกังวลกลัดกลุ้มเรื่องงานแต่งงาน แต่เหตุใดถึงกลายเป็นแม่นางใหญ่ไปแล้ว ทุกวันนี้คนที่มาสู่ขอถึงบ้านก็ยิ่งมีน้อยลงทุกที เมล็ดพันธ์บัณฑิตหลายคนที่นางหมายตาก็ได้แต่ทยอยกันกลายไปเป็นลูกเขยของบ้านอื่นหมดแล้ว

ชุยตงซานนั่งอยู่บนม้านั่งตรงปากประตูภูเขา ฟังเฉาฉิงหล่างเล่าเจื้อยแจ้วถึงช่วงเวลาตอนที่ตัวเองเป็นเด็กหนุ่ม ชุยตงซานทอดถอนใจไม่หยุด ครั้งนี้อาจารย์เดินทางไกลเนิ่นนานก็ยังไม่กลับมาเสียที ถึงอย่างไรก็ทำให้พลาดเรื่องราวน่าสนใจไปไม่น้อย

เฉาฉิงหล่างที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมานะตั้งใจเรียน อีกทั้งยังมีอาจารย์จ้งตั้งใจอบรมปลูกฝังเป็นอย่างดี มีลู่ไถคอยให้การช่วยเหลือ ภายหลังติดตามจ้งชิวเดินทางไกลอยู่ในใต้หล้าไพศาลนานหลายปี การเล่าเรียนประสบความสำเร็จ คำพูดคำจาและการวางตัวเหมาะสม สุภาพอ่อนโยน ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวในใจของเฉาฉิงหล่างก็คือตอนที่ตนต้องเข้าพิธีสวมกวาน อาจารย์กลับไม่อยู่

ก่อนที่ชุยตงซานจะจากไป เขาทั้งดีใจแล้วก็ทั้งเป็นกังวล กังวลที่เด็กอย่างเฉาฉิงหล่างนี้ หากมีเรื่องกลัดกลุ้มใจก็ค่อนข้างที่จะเก็บงำเอาไว้ไม่เปิดเผยให้ใครรู้ ดีนัก นี่มันจั่วโย่วคนที่สองชัดๆ

เรื่องที่ดีใจก็คือคำพูดคำจาของเฉาฉิงหล่างไม่เหมือนคนบนภูเขาลั่วพั่วสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรขนบธรรมเนียมนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้พัฒนาไปมากกว่านี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเมื่อก่อนอาจารย์อาจรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่บ้างเล็กน้อย อย่างมากก็จะยังยืนหยัดให้ขนบธรรมเนียมบนภูเขาลั่วพั่วเป็นเช่นนี้ คุณความชอบนี้เขาที่เป็นเจ้าขุนเขาไม่กล้ายึดเอาไปคนเดียวทั้งหมด คนอื่นๆ อย่างเช่นชุยตงซาน จูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน ทุกวันนี้อาจารย์ออกเดินทางไกลไปนานหลายปีแล้ว หากคนรุ่นหนุ่มสาวของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ใต้เปลือกตาของชุยตงซาน ยิ่งนานวันก็ยิ่งปรนนิบัติรับรองผู้อื่นได้เหมือนอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นเขาที่เป็นลูกศิษย์ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำสามสายอย่างอวี้เย่ ซิ่วฮวาและชงตั้น ว่ายวนไปหลายๆ รอบก็ยังไม่อาจชำระมลทินนี้ให้สะอาดได้

“ศิษย์น้อง เจ้ารู้สึกว่าแม่นางเฉินยวนจีกับแม่นางหยวนเป่า สองคนนี้ใครสวยกว่ากัน? ไหนลองบอกหน่อยสิ พวกเราไม่ได้นินทาคนอื่นลับหลังหรอกนะ ศิษย์พี่เล็กอย่างข้าก็ยิ่งไม่ใช่คนที่ชอบพูดซี้ซั้ว พวกเราสองพี่น้องแค่คุยเล่นกันอย่างผ่อนคลาย หากเจ้าไม่พูด นั่นก็แสดงว่าในใจของศิษย์น้องมีพิรุธ ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ก็สามารถสงสัยได้อย่างเต็มที่แล้ว”

“แม่นางเฉินยวนจีรูปโฉมดีกว่า สำหรับเรื่องของการฝึกวิชาหมัดก็มีสมาธิตั้งใจแน่วแน่ ราวกับว่าข้างกายไร้ผู้คนอย่างไร้อย่างนั้น นางทำเช่นนี้ได้นับว่าไม่ง่ายเลย ส่วนแม่นางหยวนเป่ามีนิสัยยืนหยัดหนักแน่น เรื่องใดที่นางมั่นใจแล้วก็จะดึงดันทำให้ถึงที่สุด พวกนางต่างก็เป็นสตรีที่ดี แต่ว่าศิษย์พี่ บอกไว้ก่อนเลยนะ ข้าแค่พูดความในใจเท่านั้น ท่านห้ามคิดมากเด็ดขาดเชียว ข้ารู้สึกว่าแม่นางเฉินยวนจีคล้ายจะมานะฝึกหมัดได้ดี แต่เห็นได้ชัดว่าความฉลาดมีไหวพริบยังไม่มากพอ บางทีในใจอาจจำเป็นต้องมีปณิธานยิ่งใหญ่ถึงจะยิ่งฝึกหมัดได้ดีกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงแล้วอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นฝึกตนได้แย่กว่าแล้วอย่างไร จะต้องปล่อยออกหมัดไปแล้วทำให้ปรมาจารย์ที่เป็นบุรุษทุกคนก้มหัวยอมแพ้ให้จงได้ ส่วนแม่นางหยวน เฉลียวฉลาดหัวไว หากอาจารย์หลูสอนเรื่องความเอื้ออาทรอย่างเหมาะสม และความเห็นอกเห็นใจให้แก่นางหลายๆ ส่วน ก็จะยิ่งดีมากขึ้น ศิษย์พี่ นี่ล้วนเป็นความเห็นอันตื้นเขินของข้า ท่านรับฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ”

“มีแค่นี้เหรอ?”

“ไม่งั้น?”

“แม่นางหยวนเป่าชอบใคร เจ้ารู้หรือไม่?”

“เรื่องแบบนี้จะรู้ได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่สะดวกจะคาดเดาส่งเดชด้วย”

ชุยตงซานจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก

หยวนเป่าชอบเฉาฉิงหล่าง ก็เหมือนที่หยวนไหลชอบเฉินยวนจี

บนร่างของพี่สาวเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของยุทธภพ ฉายประกายคมกริบ ทว่ากลับแอบชื่นชอบบัณฑิตคนหนึ่งที่ไม่ได้พบหน้ากันบ่อยๆ ทำให้สตรีชอบในแบบที่ไม่ค่อยกล้าชอบมากเกินไปนัก

อันที่จริงการกระทำหลายอย่างของหยวนเป่าที่มองดูคล้ายดื้อรั้น วิธีการไร้เดียงสาที่แสร้งใช้คำพูดข่มขู่ให้คนกลัว เพราะอะไร? ในเมื่อไม่กล้าพูดกับเขาต่อหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่บอกผ่านส่งต่อไปให้คนผู้นั้นฟังหลายๆ ประโยค

น้องชายชอบอ่านตำราอริยะปราชญ์ ยิ่งชอบเป็นบัณฑิต ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตำราที่ใช้ในการสอบเคอจวี่ก็ยังแอบเก็บเอาไว้หลายเล่ม แต่กลับชอบเฉินยวนจีที่ลุ่มหลงอยู่กับการฝึกวรยุทธ ชอบจนราวกับว่าบนภูเขาลั่วพั่วมีพระจันทร์สองดวง ดวงหนึ่งอยู่บนภูเขา ดวงหนึ่งอยู่ในใจ

ชุยตงซานรู้ดีว่าตัวเองฉลาดมากและไร้ความรู้สึกเกินไป เชี่ยวชาญการจัดการกับ ‘เรื่องเลวร้าย’ มากมายและคลี่คลายเรื่องไม่คาดฝันอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงมีเพียงเรื่องงดงามพวกนี้ที่ไม่ค่อยกล้าไปแตะต้องเท่าใดนัก กลัวว่าเรี่ยวแรงตนมากเกินไป พอสัมผัสแล้วจะแตกสลาย ยากที่จะกลับมาสมบูรณ์ได้ดังเดิมอีก

เพราะถึงอย่างไรใจคนก็ไม่ใช่ดวงจันทร์ในน้ำที่ดวงจันทร์มักจะมาเยือนบ่อยๆ และสายน้ำก็คงอยู่ตลอดกาล คนแก่ง่าย ใจก็เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ใจคนยากที่จะเหมือนดั่งตอนเป็นเด็กได้อีก

ไม่เป็นไร เหลือค้างไว้เถิด เหลือค้างไว้ให้อาจารย์

ครั้งนี้ขอแค่อาจารย์กลับมาบ้าน ก็คงยากที่จะออกจากบ้านแล้วไม่กลับคืนมาอีกกระมัง ภูเขาลั่วพั่วก็จะมีช่วงเวลาอันงดงามไปอีกหลายร้อยหลายพันปี ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอด ยิ่งนานวันเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทุกหนทุกแห่งในภูเขาลั่วพั่วและภูเขาใต้อาณัติจะมีคนไปมาหาสู่กัน ลูกศิษย์ของลูกศิษย์จะมีลูกศิษย์เพิ่มอีก ทำเนียบขุนเขาสายน้ำของภูเขาลั่วพั่วยิ่งนานก็จะยิ่งหนา จากนั้นแต่ละเล่มจะกองรวมกันเป็นหีบ ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งอาจารย์ที่ชอบจดจำทุกคนและทุกเรื่องราวก็ยังดูแลไม่ทั่วถึง วันใดวันหนึ่งอาจารย์ออกจากบ้านไปแล้วก็จะต้องได้เจอกับใบหน้าคนหนุ่มสาวที่จำไม่ได้ ไม่จักรู้ชื่อ

เฉินหลิงจวินที่ในอดีตตั้งใจฝึกตนเพียงแค่เพราะ ‘เป็นเรื่องของหมัดสองหมัด’ ก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ถวายงานปกป้องภูเขาที่วิชาอภินิหารสูงส่งเทียมฟ้าในใจของคนหนุ่มสาวบนภูเขาลั่วพั่วในอนาคต ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าปีนั้นบรรพจารย์เฉินหลิงจวินเคยไปป้วนเปี้ยนอยู่หน้าประตูใหญ่ตีนเขาพีอวิ๋นเพียงแค่เพื่อน้ำใจในยุทธภพและคุณธรรมของสหาย สุดท้ายยังต้องกินน้ำแกงประตูปิด หลังจากดอดกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วยังเกือบจะแอบไปหลั่งน้ำตาด้วย

เจียวน้ำหงเซี่ยที่ในอดีตไม่กล้าแม้แต่จะมาเยือนภูเขาลั่วพั่วจะกลายเป็น ‘เทพธิดาหวงซาน’ ที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อมถึงในสายตาของลูกศิษย์ภูเขาลั่วพั่วในอนาคต รู้สึกว่าบรรพจารย์หงเซี่ยของบ้านตนมีวิชาน้ำสูงส่งเทียมฟ้าจริงๆ

ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่หน่วนซู่ก็ยังยากที่จะมีโอกาสยุ่งวุ่นวายกับเรื่องเล็กๆ ทุกเมื่อเชื่อวันอีกแล้ว บางทีแม้แต่เมล็ดแตงกำหนึ่งในกระเป๋าของหมี่ลี่น้อยก็ยังจะกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินฝนธัญพืชในใจของผู้ฝึกตนภูเขาลั่วพั่ว

ในอนาคตจะต้องมีวันหนึ่งที่ลูกศิษย์ทุกคนของภูเขาลั่วพั่วต่างพูดกันอย่างเพลิดเพลินว่าวิชาหมัดและเวทกระบี่ของบรรพจารย์บุกเบิกขุนเขาบ้านตนอยู่ในอันดับหนึ่ง ชื่นชมเลื่อมใสที่เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าเฉินบ้านตนคบหาสหายไว้ทั่วหล้า เป็นสหายสนิทกับบรรพจารย์คนใดบ้าง เป็นพี่น้องกับเจ้าสำนักของสำนักใดบ้าง…รอกระทั่งวันหน้าคนหนุ่มสาวลงจากเขาไปหาประสบการณ์ หรือออกท่องยุทธภพอีกครั้ง เกินครึ่งจะต้องชอบเอ่ยกับสหายสนิทของตนหลายคำว่าบรรพจารย์บ้านข้ามีวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรที่ไหนเวลาไหนบ้าง…

ถ้าอย่างนั้นกฎเกณฑ์และหลักการเหตุผลที่เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วตั้งไว้ในทุกวันนี้ ยิ่งนานก็จะยิ่งมาก ยิ่งนานก็จะยิ่งใหญ่

ส่วนชุยตงซานก็ต้องรับประกันว่าเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหล่านี้จะกลายเป็นเส้นสายเส้นหนึ่งที่แน่นอน ขุนเขาทอดยาวสายน้ำทอดไกล เส้นทางมีอยู่ทั้งบนภูเขาและในสายน้ำ ลูกศิษย์ภูเขาลั่วพั่วในรุ่นหลังก็แค่ต้องเดินไปตามเส้นทางเท่านั้น หากมีใครที่สามารถบุกเบิกเส้นทางสายใหม่ได้ย่อมดียิ่งกว่า เพียงแต่ว่าท่ามกลางขั้นตอนนี้จะต้องมีความผิดพลาดนานัปการ มีจิตใจคนที่แตกแยก มีความไม่งดงามน้อยใหญ่มากมายอย่างแน่นอน ล้วนจำเป็นต้องมีคนถ่ายทอดมรรคาปกป้องมรรคา มีคนแก้ไขความผิดมีคนเปลี่ยนแปลงความผิด ย่อมไม่ใช่อาจารย์คนเดียวที่จะทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้

ดังนั้นชุยฉานจึงมอบหลักการเหตุผลนั้นให้แก่ชุยตงซาน เหตุผลที่ใช้โน้มน้าวชุยตงซานว่าอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับคนนอก แค่เป็นเรื่องของตัวชุยฉานและชุยตงซานเองเท่านั้น

เจ้ารู้สึกว่าตัวเองคือชุยตงซาน ไม่ใช่ชุยฉานอีกต่อไปแล้ว ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นข้าชุยฉานได้ทำให้ราชวงศ์ต้าหลีและแจกันสมบัติทวีปกลายเป็น ‘หนึ่ง’ ที่ไม่ทันระวังไปแล้ว เจ้าชุยตงซานเองก็ต้องทำให้ภูเขาลั่วพั่วกลายเป็น ‘หนึ่ง’ ถัดไปที่ใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์ให้ได้

พวกเราจะถามมรรคากับตัวเองกันสักครั้ง อีกทั้งชุยฉานมีชีวิตอยู่มานานกว่าเจ้าชุยตงซานร้อยกว่าปี ก็จะให้เวลาเจ้าอย่างน้อยร้อยปีในการงัดข้อกับข้า สรุปแล้วว่า ‘หนึ่ง’ ของใครจะใหญ่ยิ่งกว่า จะแข็งแกร่งจนมิอาจทำลายได้มากกว่า

ทุกครั้งที่ชุยตงซานคิดถึงเรื่องนี้ก็นึกอยากจะผรุสวาทแรงๆ สักที ทว่าทุกครั้งได้แต่ด่าคำเดียวว่าเจ้าตะพาบเฒ่าก็ด่าคำอื่นไม่ออกอีกแล้ว

เซียนกระบี่หมี่ผู้นั้นจะหงุดหงิดงุ่นง่านใจกับผายลมอะไร สามารถเทียบกับข้าตงซานได้หรือ?! ยังคิดอยากจะให้ข้าผู้อาวุโสพาเจ้าไปแก้เบื่อที่จวนวารีแม่น้ำอวี้เย่ เซียนกระบี่หมี่เจ้าก็ฝันเอาเถอะ! ข้าผู้อาวุโสจะทำให้เจ้าอิจฉาตายไปเลย

เพราะถึงอย่างไรใกล้ชิดห่างเหินก็มีความต่าง ชุยตงซานคิดว่าตนนับว่าปกป้องหมี่อวี้มากแล้ว เพราะอีกฝ่ายก็คือพี่ใหญ่ในงานบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำในอนาคต แต่สำหรับคนใหม่ๆ บางคนที่เพิ่งมาถึง อีกทั้งยังเป็นคนที่เขาค่อนข้างดูแคลน ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่เกรงใจแล้ว อุตส่าห์ฝืนใจรับพวกเจ้าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัวแล้ว หากยังเกรงใจกันเกินไปอีกกลับจะทำให้ห่างเหินเอาได้

ยกตัวอย่างเช่นวัตถุฟ่างชุ่นของเพ่ยเซียงเจ้าแคว้นหูที่จูเหลี่ยนแกะสลักตัวอักษรเพิ่มลงไป ในทางส่วนตัวก็ได้กลายเป็นของในกระเป๋าของชุยตงซานแล้ว ชุยตงซานชอบประโยคที่ว่า ‘จริงใจสักกี่ปี’ นั้นมาก ดังนั้นจึงมอบวัตถุจื่อชื่อที่ไม่ค่อยชอบมานานแล้วชิ้นหนึ่งให้กับพี่หญิงเพ่ยเซียง ทั้งเป็นการค้าขายยุติธรรมที่ข้ายินยอมเจ้าพร้อมใจ ทั้งเป็นของขวัญเล็กๆ ที่ภูเขาลั่วพั่วมอบกลับคืนไปให้ ได้วัตถุจื่อชื่อที่ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีกันทุกคนชิ้นหนึ่ง ทำให้เจ้าแคว้นหูที่เห็นเงินเทพเซียนมาจนชินแล้วรู้สึกราวกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น

——