เสียงไม่พอใจ คับแค้นและอัดอั้น เริ่มดังขึ้นในเผ่าต่างๆ ของโลกมารโลหิต

ใครเล่าจะลืมว่าตอนนั้นเจ้าคนที่ชื่อว่าหลินสวินนั่น เคยบุกสังหารตั้งแต่ส่วนลึกของป่าหลอมจิตมาถึงหน้าเมืองอารักษ์มรรค

แล้วใครเล่าจะลืมว่าเจ้าหมอนั่นคนเดียวก็ปิดเมืองแห่งหนึ่งได้ สังหารจนดินแดนโบราณมารโลหิตเสียหน้า ชื่อเสียงป่นปี้

แต่เซวี่ยชิงอี… ไม่เพียงไม่แก้แค้น กลับเลือกจะอดกลั้น!

ถึงขั้นยังถอนกำลังพลของดินแดนโบราณมารโลหิตที่บุกรุกโลกรกร้างโบราณกลับมาทั้งหมดด้วย!

เดิมทีเรื่องนี้ก็น่าอัปยศพออยู่แล้ว กลายเป็นตัวตลกของดินแดนอื่น แต่ตอนนี้ยามสบโอกาสดีที่สุดซึ่งสามารถเหยียบย่ำโลกรกร้างโบราณได้ เซวี่ยชิงอีก็อดกลั้นไว้อีกแล้ว

เขาถึงขั้นไม่คิดจะส่งทหารชั้นเลวออกไปสักคน!

เขาเซวี่ยชิงอียังเป็นหนึ่งในแปดยอดนภาครามอยู่หรือไม่ เป็นผู้นำของคนรุ่นเยาว์แห่งดินแดนโบราณมารโลหิตไม่ใช่หรือ

ทำไมเขาถึงยอมแพ้เช่นนี้เล่า

แต่ไม่ว่าจะคับแค้นอย่างไร ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนเจตนารมณ์ของเซวี่ยชิงอีได้ ในโลกมารโลหิตนี้ สุดท้ายก็มีแต่เซวี่ยชิงอีที่เป็นใหญ่

ต่อให้ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณมารโลหิตอัดอั้นและไม่พอใจแค่ไหน ก็ได้แต่ข่มกลั้น!

‘แต่ละดินแดนต่างมีมกุฎอริยะสิบคนและกำลังพลสามหมื่นออกเคลื่อนไหว รวมกันแล้วก็เป็นมกุฎอริยะเจ็ดสิบคนกับทัพใหญ่สองแสนหนึ่งหมื่น’

‘หากหลินสวินต้านไม่อยู่ ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณก็ต้องถูกกวาดล้างแน่’

‘แต่ถ้า… เขาหลินสวินต้านอยู่เล่า’

เซวี่ยชิงอียืนอยู่ในโถงใหญ่คนเดียว ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มเย็น

‘ครั้งก่อนดินแดนโบราณมารโลหิตของข้ามีมกุฎอริยะสามสิบคนล้มตายในมือหลินสวินนั่น ครั้งนี้หากเจ้าเพชฌฆาตหลินสวินนี่จะถึงฆาตก็ต้องลากคนกลุ่มหนึ่งให้ถูกฝังไปพร้อมกันแน่ แล้วทำไมดินแดนโบราณมารโลหิตของข้าต้องเสียสละอย่างไร้ความหมายเช่นนี้ด้วยเล่า’

‘คอยดูละครก็พอ ถ้าละครสนุกก็ดี… ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ สำหรับดินแดนโบราณมารโลหิตของข้าล้วนแต่มีประโยชน์ไม่เป็นภัย!’

เซวี่ยชิงอีสูดหายใจลึก อารมณ์ที่เดิมอึดอัดกลับสู่ความสงบ ราบเรียบไร้คลื่นลม

เมื่อการตัดสินใจของเซวี่ยชิงอีไปเข้าหูคุนเซ่าอวี่ ก็ทำเอาเขาอดชะงักไปไม่ได้ เจ้าหมอนี่… เปลี่ยนเป็นคนอดกลั้นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

และเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปสู่คนในเจ็ดดินแดนอื่น ก็ก่อให้เกิดเสียงหัวเราะไม่รู้เท่าไรดังขึ้นมาทันที

“เจ้าเซวี่ยชิงอีนี่ถูกเจ้าสวะแซ่หลินนั่นบุกสังหารจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วหรือ”

“ฮึ ข้าว่าเขาเซวี่ยชิงอีควรลบชื่อตัวเองออกจากแปดยอดนภาครามได้แล้ว ไม่มีความกล้าสักนิด”

“เซวี่ยชิงอีไม่ห่วงหรือว่าบารมีของตนจะเสื่อมเสีย”

“น่าขายหน้ายิ่งนัก เขาคิดอะไรอยู่กันแน่”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกครึกโครม ทำให้ดินแดนโบราณมารโลหิตตกเป็นเป้าหมายที่เจ็ดดินแดนอื่นหัวเราะเยาะในชั่วขณะเดียว

ไม่ว่าอย่างไรข่าวที่ขุมอำนาจทั้งเจ็ดในแปดดินแดนจะออกเคลื่อนพลไปโจมตีในวันที่หลินสวินสร้างเมืองพร้อมกัน ก็ยังชักนำให้เกิดความปั่นป่วนในสมรภูมิเก้าดินแดนอยู่ดี

และในสถานการณ์ปรวนแปรนี้ พายุฝนกำลังตั้งเค้าในบรรยากาศอันหนาวเหน็บเงียบเหงา

ค่ายชั่วคราวของโลกรกร้างโบราณช่วงนี้ กลับมีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณมากมายทยอยมาจากทั่วสารทิศไม่ขาดสาย

ค่ายชั่วคราวจึงคึกคักขึ้นมาในชั่วขณะเดียว

และหลินสวินก็ได้พบสหายเก่าที่คุ้นเคยมากมาย อย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จี้ซิงเหยา หมีเหิงเจินเป็นต้น

แต่มีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่รอไปก็ไม่พบ

นี่ทำให้หลินสวินทอดถอนใจ ตัดสินใจว่าหลังจากสร้างเมืองอารักษ์มรรคเสร็จแล้ว ก็จะมุ่งหน้าไปสืบค้นและเสาะหาข่าวคราวของจ้าวจิ่งเซวียน

ตามเวลาที่ล่วงเลย ในค่ายชั่วคราวมีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณประมาณห้าหมื่นมารวมกัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นราชันระดับอมตะธรรมดา

และมีอริยะแท้ส่วนหนึ่ง แต่พูดถึงพลังต่อสู้ทั้งหมดแล้วก็ยังต่างจากแปดดินแดนอื่นมากเกินไปจริงๆ

ต่อให้เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎ คนที่ก้าวสู่ระดับมกุฎอริยะจนถึงตอนนี้ก็มีแค่หลินสวิน เซ่าเฮ่า รั่วอู่สามคนเท่านั้น

พูดได้ว่าหากรวมขุมอำนาจทั้งหมด ดินแดนรกร้างโบราณก็ไม่มีสิทธิ์จะต่อต้านขุมอำนาจใดในแปดดินแดนอื่นอย่างสิ้นเชิง!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากข่าวที่ทั้งเจ็ดดินแดนจะร่วมมือกันมารุกรานในวันที่หลินสวินสร้างเมืองแพร่ออกไป ในค่ายชั่วคราวที่กว้างใหญ่นั้น บรรยากาศที่เดิมครึกครื้นก็เปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา

ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณมากมาย ต่อให้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะร่วมมือกับหลินสวิน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังรู้สึกว้าวุ่นใจ

แตกต่างมากเกินไปแล้ว!

พวกเขาถึงขั้นมองไม่เห็นความหวังเท่าไร

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่เชื่อมั่นในตัวหลินสวินมากอย่างพวกรั่วอู่ เซ่าเฮ่าก็ยังอดรู้สึกหนักใจไม่ได้

หากสร้างเมืองได้สำเร็จ ต่อให้เสียสละมากแค่ไหนก็คุ้มค่า

แต่ถ้า…

ไม่สำเร็จล่ะ

เช่นนั้นคงพังพินาศทั้งกองทัพ ถูกล้างบางจนพบจุดจบน่าอนาถกันหมดแน่!

ยิ่งเวลาสร้างเมืองใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศในค่ายนานเข้าก็ยิ่งกดดัน ผู้แข็งแกร่งมากมายถึงขั้นรู้สึกกระสับกระส่าย

คนมากมายถึงขั้นนึกเสียใจอย่างอดไม่อยู่ โทษตัวเองที่ไม่ควรหัวร้อนจนบุ่มบ่ามมาที่นี่…

รั่วอู่และเซ่าเฮ่าเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ ศัตรูยังไม่มา ปณิธานต่อสู้ภายในใจของพวกเขาก็สั่นคลอนแล้ว นี่ดูท่าไม่ดีอยู่บ้าง

“ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหลินสวินนี่กำลังคิดอะไรอยู่”

รั่วอู่พึมพำอย่างอดไม่ได้

หลายวันมานี้หลินสวินทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันๆ หยิบชีพจรปราณวิญญาณเส้นแล้วเส้นเล่าไปวางอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างๆ นำทรายทองผลึกอากาศที่หลอมเสร็จแล้วไปก่อวางทีละก้อน

ไม่สนใจสถานการณ์อะไรในค่ายอย่างสิ้นเชิง

“มีใจสงบท่ามกลางวิกฤติ ยิ่งเขาทำอะไรตามใจและนิ่งสงบ ข้ากลับยิ่งมีความมั่นใจ หากเขาก็ว้าวุ่นและทอดถอนใจเหมือนคนอื่น ข้าว่าเมืองอารักษ์มรรคก็ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่แต่แรก ยอมแพ้ไปซะเลยดีกว่า”

เซ่าเฮ่ายิ้มกล่าว

“เจ้ายังยิ้มออกอีกหรือ”

รั่วอู่เหลือบมองเขาเล็กน้อย

เซ่าเฮ่าหัวเราะ “ก็แค่หาความสุขในความทุกข์เท่านั้น”

“หาความสุขในความทุกข์รึ ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าแค่ว่างจนไม่มีงานทำ”

เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น กลับเห็นหลินสวินเดินมาแต่ไกล ท่าทางแม้จะผ่อนคลาย แต่หว่างคิ้วกลับอ่อนเพลียยากปกปิด

หลายวันนี้มีเขาวางกระบวนค่ายกลเพียงลำพัง แค่การสลักลายมรรคที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเหมือนทะเล ก็ใช้สมาธิและแรงกายแรงใจของเขาไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

กระบวนค่ายกลอริยะขนาดใหญ่เช่นนี้คนอื่นก็ช่วยเขาไม่ได้ และจะเกิดข้อผิดพลาดแม้เศษเสี้ยวก็ไม่ได้

หลินสวินจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำอยู่คนเดียว

“ค่ายกลเสร็จแล้วรึ”

เซ่าเฮ่านัยน์ตาเป็นประกาย

หลินสวินพยักหน้า “ตอนนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกอย่าง”

“เรื่องใดหรือ”

“ถ้าต้องการสร้างเมืองแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมั่นคงยากทำลายจึงจะดี ซากศพและน้ำเลือดของศัตรูก็เป็นแค่สิ่งแต้มแต่ง หยัดรากฐานให้กับเมืองเท่านั้น ยังต้องใช้วัตถุดิบเทพเป็นหลักด้วย”

หลินสวินกล่าว “ดังนั้นข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าสองคนช่วยหลอมทรายทองผลึกอากาศจำนวนหนึ่ง ยิ่งมากยิ่งดี ทางที่ดีเอาให้มากพอจะสร้างเมืองแห่งหนึ่งได้จะดีที่สุด”

เซ่าเฮ่าและรั่วอู่สูดหายใจเย็นเยียบ “ใช้ทรายทองผลึกอากาศสร้างเมืองแห่งหนึ่งรึ”

ความคิดนี้ช่างบ้าระห่ำจริงๆ!

“ไม่ผิด ไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อทำแล้วอย่างน้อยก็ต้องสร้างเมืองอมตะที่ไม่มีใครทำลายได้ไว้ในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้!”

นัยน์ตาดำของหลินสวินส่องประกายวาววาบ วาจาเด็ดเดี่ยว “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในภายหน้าต่อให้เกิดการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนขึ้นอีกกี่ครั้ง ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณของเราก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก ขอแค่พึ่งพาพลังของเมืองนี้ก็จะยืนหยัดไร้พ่ายได้!”

เซ่าเฮ่าและรั่วอู่ต่างไหวหวั่น

ตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจ ว่าแผนการสร้างเมืองของหลินสวินยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก พิจารณาจนล้ำลึกยากหยั่งถึง!

ครู่ใหญ่เซ่าเฮ่าก็กล่าวหยอกล้อ “ก่อนหน้านี้ข้ายังนึกว่าเจ้าคิดจะใช้ศพของศัตรูมาเป็นวัตถุดิบสร้างเมืองจริงๆ ที่แท้ก็ยังมีความคิดอื่นอีก”

หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “วางใจเถอะ ซากศพของศัตรูจะต้องได้กองเต็มอิฐทุกก้อนในเมืองนี้แน่!”

ในช่วงเวลาต่อมาเซ่าเฮ่าและรั่วอู่ก็ยุ่งขึ้นมาทันที คนหนึ่งไปรวบรวมทรายทองผลึกอากาศ อีกคนก็นำอริยะแท้กลุ่มหนึ่งมาช่วยหลอมทรายทองผลึกอากาศมากมายเป็นก้อนอิฐขนาดมหึมาหลายก้อน

จากนั้นบนอิฐแต่ละก้อนก็จะถูกหลินสวินสลักลายมรรคต่างๆ ไว้

ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นในค่ายก็แบ่งงานกันทำ ช่วยกันแยกซากศพและน้ำเลือดใน ‘ภูเขาศพบ่อโลหิต’ นั้นออกมาหลอมเป็นวัตถุดิบสร้างเมือง

ใกล้วันสร้างเมืองเข้าไปทุกทีแล้ว

วันนี้เซ่าเฮ่ากลับมาที่ค่ายชั่วคราวอย่างรีบเร่ง พร้อมนำข่าวหนึ่งกลับมาด้วย

“กำลังพลของเจ็ดดินแดนใหญ่ เคลื่อนพลมาถึงชายแดนโลกรกร้างโบราณแล้ว!”

เพียงพริบตาบรรยากาศทั้งค่ายชั่วคราวก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แต่ละคนต่างตึงเครียด พายุฝนกำลังมา ใครเล่าจะไม่ประหม่า

มีเพียงหลินสวินที่ผิดคาดอยู่บ้าง “ทำไมไม่มีกำลังพลของดินแดนโบราณมารโลหิต”

“เซวี่ยชิงอีตัดสินใจอดกลั้น ยามนี้จึงทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของแปดดินแดนแล้ว ชื่อเสียงทั้งหมดดิ่งลงสู่ก้นเหว”

เซ่าเฮ่าสีหน้าพิกล

“เจ้าหมอนี่เป็นคนฉลาดจริงๆ”

หลินสวินชะงัก จากนั้นก็กล่าววิจารณ์ประโยคหนึ่ง

หลินสวินพูดพลางโฉบขึ้นไปกลางอากาศ ยืนตระหง่านอยู่ใต้เวิ้งฟ้า แผ่จิตรับรู้ออกไปมองรอบทิศ

ก็เห็นว่าในรัศมีร้อยลี้โดยมีค่ายชั่วคราวเป็นศูนย์กลาง ในแต่ละช่วงจะมีภูเขาหินสีทองสูงใหญ่ลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน

ภูเขาทองพวกนี้ล้วนก่อขึ้นจากก้อนอิฐมหึมาที่หลอมจากทรายทองผลึกอากาศมากมาย

ด้วยเหตุนี้เซ่าเฮ่าจึงแทบจะย้ายทรายทองผลึกอากาศที่กระจายอยู่ในแดนลี้ลับแห่งนั้นออกมาจนหมด!

และด้านล่างของรัศมีร้อยลี้นี้ ในใต้ดินที่ไม่มีใครมองเห็นก็ปกคลุมด้วยค่ายกลลายมรรคมากมาย

ค่ายกลสลักอยู่บนวัตถุดิบของกระบวนค่ายกลใหญ่ ส่วนด้านล่างลงไปก็เป็นชีพจรปราณวิญญาณระดับอริยะหลากสายไขว้พาด มหึมาเหมือนเจียวหลงนอนขดอยู่!

หลินสวินที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา ในใจพลันปั่นป่วนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ‘เมื่อถึงตอนสร้างเมือง แน่นอนว่าต้องใช้เลือดสดๆ มาบูชายัญ…’

ผ่านไปสิบวัน

ห่างจากวันสร้างเมืองที่หลินสวินบอกแค่เจ็ดวัน แต่ในวันนี้เซ่าเฮ่าที่ลาดตระเวนอยู่ภายนอกได้กลับมายังค่ายชั่วคราวอีกครั้งด้วยความเร็วเต็มอัตรา

“ทุกคนเตรียมตัว ศัตรูบุกโจมตีแล้ว!”

เสียงตะโกนของเซ่าเฮ่าราวฟ้าผ่า ดังก้องบนท้องฟ้าเหนือค่ายชั่วคราว เพียงพริบตาผู้แข็งแกร่งทุกคนในค่ายต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่

ศัตรูถึงกับมาก่อนล่วงหน้าเจ็ดวัน!?

ฟุ่บ!

ขณะเดียวกันเงาร่างของหลินสวินทะยานสู่ฟากฟ้า ชุดสีขาวพระจันทร์ของเขาสะบัดโบก ใบหน้าหล่อเหลาราศีจับเปล่งประกาย นัยน์ตาดำล้ำลึกและวาววาบ

“ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางโง่รอถึงวันสร้างเมืองแล้วค่อยมา!”

เสียงเยียบเย็นดังก้องไปทั้งค่าย ทำให้ทุกคนต่างอึ้งงัน ที่แท้หลินสวินก็คาดว่าจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของผู้แข็งแกร่งทุกคนก็ผ่อนคลายลงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้รับความมั่นใจจากคำพูดของหลินสวิน

“พี่หลิน ศึกใหญ่กำลังมา ไม่ทราบว่าเจ้ามีความมั่นใจแค่ไหนหรือ”

มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

สายตานับไม่ถ้วนพากันจับจ้องไปที่หลินสวินทันที บ้างกระวนกระวาย บ้างประหม่า และบ้างเฝ้ารอ

………