ความคิดของชุยฉานดูเหมือนว่าจะบรรเจิดโลดแล่นไปไกลอยู่เสมอ แต่ก็เหมือนกับว่าสามารถเอื้อมมือคว้าไปสัมผัสได้ทุกครั้ง เมื่อร้อยปีก่อน หากชุยฉานบอกว่าตนเองต้องการอาศัยกองกำลังของหนึ่งแคว้นสร้างกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งที่สองขึ้นมาในใต้หล้าไพศาล ใครบ้างจะไม่รู้สึกว่าเป็นคำพูดของคนเพ้อฝันปัญญาอ่อน? ใครเล่าจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง? ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ความฝันอันงดงามของชุยฉานได้กลายเป็นจริงแล้ว และจุดที่ชุยฉานทำให้คนรู้สึกว่ามิอาจใกล้ชิดได้มากที่สุดก็ไม่ได้มีเพียงแค่ซิ่วหู่ผู้นี้เฉลียวฉลาดเกินไป ยังเป็นเพราะทุกสิ่งที่เขาคิดเขาฝัน เขาไม่เคยนำไปพูดให้ใครฟังแม้แต่ครึ่งคำ
ชุยฉานมีเรื่องงดงามอยู่สามเรื่อง เล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับเจ้าแห่งนครจักรพรรดิขาวเป็นเพียงเรื่องหนึ่งในนั้นเท่านั้น
การประชันด้านศาสตร์ของการคำนวณครั้งหนึ่งของชุยฉาน ยังเคยเอาชนะบรรพบุรุษเปิดขุนเขาของสำนักคำนวณได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเหตุใด บรรพจารย์สำนักคำนวณที่ตำแหน่งในเมธีร้อยสำนักอยู่ท้ายปลายแถว แต่จิตใจกลับสูงกว่าแผ่นฟ้าผู้นั้น แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะแพ้ให้กับคนนอกคนหนึ่ง แต่กลับมีความสุขเบิกบานใจอย่างมาก บอกกับตนเองว่า ‘ข้าได้สิบนี้ ใต้หล้าเพียงพอแล้ว’ จนถึงทุกวันนี้นี่ก็ยังเป็นคดีใหญ่ที่ปิดไม่ลง เพราะแม้แต่ฝ่ายในของสำนักคำนวณก็ยังไม่รู้ว่า ‘สิบ’ นี้หมายความว่าอะไรกันแน่
และยังมีก่อนที่ชุยฉานจะทรยศออกจากสายเหวินเซิ่ง เขายังสละตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษา รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นที่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองทิ้งไปพร้อมกันในคราเดียว ไม่อย่างนั้นหากทำไปตามลำดับขั้นตอน อีกร้อยปีให้หลังแม้กระทั่งตำแหน่งเจ้าลัทธิศาลบุ๋นก็ยังสามารถลองช่วงชิงมาได้ น่าเสียดายที่สุดท้ายชุยฉานเลือกจะเดินบนเส้นทางที่ตกอับอย่างถึงที่สุด เป็นสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่งที่ออกท่องไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง จากนั้นค่อยไปเป็นราชครูต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปที่กลายเป็นเรื่องตลกขำขันให้แก่คนทั้งใต้หล้า เพียงแต่ว่าความลับใหญ่เทียมฟ้าเรื่องนี้ เนื่องจากเกี่ยวพันไปถึงฝ่ายในระดับสูงของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง จึงแพร่ไปไม่เป็นวงกว้าง แค่รู้กันเฉพาะคนบนยอดเขาเท่านั้น
น่าเสียดายก็แต่ล้วนเป็นดั่งอดีตที่เหมือนเมฆหมอกจางหายไปหมดแล้ว
แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคนอยู่บางส่วนที่รู้สึกจากใจจริงว่าหากใต้หล้าไพศาลขาดซิ่วหู่ผู้นี้ไป ก็จะสูญเสียรสชาติดีๆ ไปไม่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าพลันถามขึ้นว่า “สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดระหว่างฟ้าดินนี้คืออะไร?”
สวี่จวินส่ายหน้า “ไม่รู้ คือคำถามที่ลูกศิษย์คนแรกในอดีตถามอาจารย์ของเขาหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถามเองตอบเอง “คือคุณธรรม”
สวี่จวินพยักหน้ารับ “เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอีกว่า “มีแค่จุดด่างพร้อยเล็กน้อย แล้วอย่างไรเล่า”
สวี่จวินยิ้มกล่าว “ก็คือหลักการเช่นนี้”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าเอ่ยว่า “ไปแล้วๆ”
สวี่จวินประสานมือคารวะ
ซิ่วไฉเฒ่าจึงต้องประสานมือคารวะกลับคืน
อริยะปราชญ์ผู้เฒ่าผู้อาวุโสเหล่านี้มักจะชอบทำตัวเกรงใจมีมารยาทกับตนเช่นนี้เสมอ ถือเป็นความเสียเปรียบเพราะไม่มียศซิ่วไฉนั่นเอง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงในใจกับเฉินฉุนอันหนึ่งประโยค บอกให้ช่วยพาตนข้ามทวีปไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตนจะเอ่ยประโยคหนึ่งกับเจ้าคนตัวโตของภูเขาสุ้ยซานสักหน่อย เสร็จแล้วช่วยกระชากตนกลับมาด้วย
อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาของภูเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าเซสะดุดล้มหัวทิ่มไปด้านหน้า ล้มคว่ำหน้าทิ่มดิน
เทพเกราะทองนั่งอยู่บนขั้นบันไดยิ้มเอ่ย “โอ้ พิธีการยิ่งใหญ่ เมื่อก่อนที่ติดหนี้ภูเขาสุ้ยซานของข้าไว้บานเบอะ ก็จะถือเสียว่าเจ้าใช้ครบหมดแล้วก็แล้วกัน”
พอลุกขึ้นมาได้ก็สะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง ซิ่วไฉเฒ่าก้าวยาวๆ มาถึงตีนเขา ยืนอยู่ข้างกายเทพภูเขาของภูเขาสุ้ยซาน คนหนึ่งยืนกับคนหนึ่งนั่ง ความสูงจึงไม่ต่างกันเท่าไร
ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้ามองไปบนยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน สีหน้าเคร่งขรึม
เทพภูเขาร่างกำยำยิ้มเอ่ย “ทำไม มีเรื่องจะมาขอร้องคนอื่นอีกแล้วหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถูมือแล้วค่อยยกมือขึ้นมาถูหน้า เอ่ยว่า “ขอร้องคนอื่นเหมือนกลืนกระบี่สามฉื่อ ยากนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องอย่างการขอร้องคนอื่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัดอยู่แล้ว ยากบนความยากเข้าไปอีก”
เทพภูเขารู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง หากขอร้องปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วมีประโยชน์ อีกฝ่ายก็คงไม่ใช่ปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วจริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามาถาม “ก่อนหน้านี้ได้เจอตาเฒ่า ได้เอ่ยประโยคว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งหรือไม่?”
เทพภูเขาส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย ไม่ได้เอ่ยสักคำเดียว”
ซิ่วไฉเฒ่าทำสีหน้าคลางแคลงใจ เห็นเจ้าคนตัวโตมีมาดเที่ยงตรงไม่แพ้ให้กับอริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นเลย ก็ได้แต่เอ่ยอย่างเสียดายว่า “ไม่หัวไวเอาเสียเลย พวกเราสองพี่น้องพูดคุยกันมามากขนาดนั้น หากข้าเป็นเจ้า ป่านนี้ก็คงเอาโต๊ะน้ำชา เอาน้ำชาไปวางไว้บนยอดเขานานแล้ว จากนั้นค่อยถามตาเฒ่าว่าต้องการให้ข้าไปนวดศีรษะให้หรือไม่ พร้อมตบอกเสียงดังสนั่นฟ้า ตาเฒ่าเจ้าพูดมาแค่คำเดียว ต่อให้ขึ้นภูเขาดาบลงทะเลเพลิง เทพน้อยอย่างข้าย่อมเห็นหน้าที่มาเป็นอันดับหนึ่ง เมตตาธรรมอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง พร้อมลงมืออย่างไม่มีเกี่ยงงอน หากฟันอีกฝ่ายไม่ตาย ข้าก็จะหิ้วหัวมาพบหน้า…”
เทพภูเขาหน้าดำทะมึน “เจ้าคิดว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ได้ยินคำพูดเหลวไหลของเจ้าจริงๆ รึ?”
เมื่อก่อนมีกันอยู่แค่สองคน ซิ่วไฉเฒ่าจะพูดจาส่งเดชอย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้ปรมาจารย์มหาปราชญ์นั่งอยู่บนยอดเขา เขาในฐานะเจ้าของภูเขาสุ้ยซานก็ไม่กล้าทำตัวน้ำเข้าสมองเป็นเพื่อนซิ่วไฉเฒ่าจริงๆ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ชอบล้อเล่นกับใครหรอกนะ
หากยังอยู่ในกฎเกณฑ์ หลี่เซิ่งกลับพอจะพูดหยอกล้อได้สักคำสองคำ
ส่วนหย่าเซิ่งนั้นขึ้นชื่อเรื่องความระมัดระวังรอบคอบอยู่แล้ว
อันที่จริงนอกจากซิ่วไฉเฒ่าแล้ว บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของระบบสายบุ๋นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจริงจังเอาการเอางานกันทั้งนั้น
ซิ่วไฉเฒ่ากระโดดตบหัวเขาดังป้าบ “บังอาจนัก! ถึงขั้นกล้าดูแคลนมรรคกถาอันไร้ที่สิ้นสุดของปรมาจารย์มหาปราชญ์พวกเรา! ตาเฒ่ายกพู่กันเขียนบทความกับวางพู่กันขยับมือ มีอะไรบ้างที่ไม่ไร้ศัตรูทัดเทียม ทั้งบุ๋นและบู๊ล้วนเป็นเอกไม่มีใครเทียบได้ บุ๋นมีอันดับหนึ่ง บู๊ไร้อันดับสอง ต่อให้เป็นเต๋าเหล่าเอ้อผู้นั้นก็ยังต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจ อยากจะชมตาเฒ่าของพวกเราก็กระดากปาก บนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำวิหคบุปผาของเฉาหรงก็เลยทำหลบๆ ซ่อนๆ วกวนอ้อมค้อม…มารดาเถอะ ก็เพราะว่าตอนนั้นเฉาหรงไม่ได้มาขอให้ข้าประทับตรา ไม่อย่างนั้นข้าคงซื้อหนึ่งแถมหนึ่งไปให้แล้ว ประทับตราคำว่า ‘เชิญนั่งลง’ ไปก่อน จากนั้นค่อยประทับตรา ‘เจ้าไม่ผ่านเกณฑ์’ ลงไปด้านข้างตราประทับของเต๋าเหล่าเอ้อ…ครั้งนี้ตาเฒ่าลงมือ มีทั้งพระเดชและพระคุณ เป็นทั้งอริยะปราชญ์และวีรบุรุษในคนเดียวกัน ฝีมือยิ่งใหญ่ มีกำลังยิ่งใหญ่ มีความหมายยิ่งใหญ่!”
เทพภูเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดูท่าเรื่องที่ซิ่วไฉเฒ่าจะมาขอร้องในวันนี้คงไม่ใช่เล็กๆ ไม่อย่างนั้นในอดีตเวลาพูดอะไรต่อให้หนังหน้าจะหล่นลงบนพื้น จะดีจะชั่วก็ยังหล่นอยู่ตรงปลายเท้า คิดจะเก็บขึ้นมาแค่ใช้เท้าเกี่ยวหนังหน้าก็กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมได้แล้ว ทว่าวันนี้ถือว่าเสียหน้าจนสิ้นแล้ว ทั้งชมคนอื่นและชมตัวเองไปในคราวเดียว คุณความชอบคุณความเหนื่อยยากล้วนพูดขึ้นมาก่อน
แล้วร่างของซิ่วไฉเฒ่าก็เซวูบถูกกระชากขึ้นไปยังยอดเขาโดยตรงจริงๆ ดูท่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็คงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
อาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่บนยอดเขาเอ่ยว่า “ซิ่วไฉ ยังคงเป็นตอนที่เจ้าโต้วาทีของสามลัทธิมากกว่าที่เป็นที่น่าชื่นชอบของผู้คน”
ซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะพอยืดตัวขึ้นตรงแล้ว ถึงได้พูดหน้าเจื่อน “ก็ทางศาลบุ๋นไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้แสดงความสามารถในการทะเลาะมากกว่านั้นนี่นา”
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ ไม่ใช่ว่าข้าซิ่วไฉเฒ่าไม่ยินดีจะออกแรงให้กับลัทธิขงจื๊อ แต่เป็นศาลบุ๋นที่ไม่ให้บัณฑิตอย่างข้าแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านจะฝืนบังคับให้คนลำบากใจไม่ได้ จะให้ข้าแบกรับความอยุติธรรมใหญ่เทียมฟ้า แล้วจะไม่ให้ข้าบ่นเสียบ้างเลยก็คงไม่ได้กระมัง
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มถาม “มาเพื่อป๋ายเหย่หรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองไปยังทิศทางของฝูเหยาทวีปแล้วถอนหายใจ “ไม่ต้องให้ข้าขอร้องแล้ว”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่นั่งเปิดตำราอยู่บนยอดเขาสุ้ยซานท่านนี้ยังคงคุมเชิงอยู่กับผู้เฒ่าชุดเทาที่ร่องเจียวหลงอยู่ไกลๆ
ซิ่วไฉเฒ่าระบายลมหายใจโล่งอก สุขุมมั่นคงก็คือสุขุมมั่นคงจริงๆ ตาเฒ่าไม่เสียแรงที่เป็นตาเฒ่า
ฟ้าอำนวยและขุนเขาสายน้ำของเกราะทองทวีป แจกันสมบัติทวีปของใต้หล้าไพศาลยังคงไม่โน้มเอียงไปเพราะวิชาอภินิหารของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่แม้แต่น้อย
ทางฝั่งของนอกฟ้า หลี่เซิ่งก็ยังถือว่าอยู่ในสภาพการณ์ที่ดี
เพียงแต่ว่าพวกกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่เดิมทีออกเดินทางไปไกลแสนไกลแล้วกลับยังคงมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง ในประวัติศาสตร์ หลี่เซิ่งเคยนำเจ้าลัทธิและรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋น พร้อมกับเซียนเหรินของป๋ายอวี้จิงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเต๋าเหล่าเอ้อเป็นหนึ่งในนั้น และยังมีเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ซุนไหวจงแห่งอารามกวานเต๋าใหญ่ และพุทธะของดินแดนพุทธะสุขาวดีออกเดินทางไกลไปด้วยกัน น่าเสียดายที่ผลเก็บเกี่ยวกลับไม่ใหญ่นัก รองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นคนหนึ่งยังตายอยู่ที่นอกฟ้าด้วยสาเหตุนี้ หากไม่เป็นเพราะภายหลังมีศึกตรีจตุเกิดขึ้น อันที่จริงในสายตาคนนอก ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่ง เดิมทีก็มีหวังที่จะมารับตำแหน่งนั้นแทน เพียงแต่น่าเสียดายที่ซิ่วไฉเฒ่ารู้มาตลอดว่าปณิธานของชุยฉานไม่เคยอยู่ที่เรื่องนี้
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เวทคาถานับพันนับหมื่นหล่นลงมาจากแผ่นฟ้า บ้างก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่มอบให้ บ้างก็เป็นเผ่ามนุษย์ที่เดินขึ้นฟ้าไปตีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ร่วงลงมา
พันหมื่นคาถาอาคมหล่นลงสู่โลกมนุษย์ ในบรรดานั้นส่วนที่มีพลังพิฆาตสูงสุดถูกผู้ฝึกกระบี่รับเอาไปอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่จึงเป็นเหตุให้ในบรรดาเผ่ามนุษย์ ผู้ฝึกกระบี่มีคุณความชอบยิ่งใหญ่ที่สุด คุณูปการมีมากที่สุด
มหามรรคาของโลกมนุษย์ในทุกวันนี้จึงโปรดปรานผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเป็นที่สุด แต่กระนั้นกลับยังถูกวิถีฟ้าที่ปริแตกสยบกำราบไว้อย่างรางๆ เป็นเหตุให้คอขวดบินทะยานฝ่าไปได้ยากที่สุด
แต่หากจะพูดถึงผู้ที่ได้วิชาอภินิหารไปมากที่สุด เป็นเหตุให้เกิดความตระหนักรู้และบรรลุมรรคามากที่สุด แน่นอนว่าผู้ฝึกกระบี่ที่ตั้งใจแน่วแน่มิอาจเปรียบเทียบด้วยได้ ในบรรดานั้นก็คือบรรพจารย์ของสามลัทธิ แม้ว่าแต่ละคนต่างก็มีทางให้เดิน ทว่าเมื่อหมื่นปีก่อนต่างก็ได้เดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดแล้ว เป็นเหตุให้ความสามารถในการ ‘ต่อยตี’ ที่แท้จริงของคนทั้งสามมากพอจะพลิกฟ้าคว่ำดินได้แล้ว
เพราะซิ่วไฉเฒ่ายินดีถาม และปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ค่อนข้างยินดีจะพูดยามอยู่กับเขา ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงรู้เรื่องหนึ่ง บรรพจารย์สามลัทธิของขงจื๊อ เต๋า พุทธซึ่งมีปรมาจารย์มหาปราชญ์เป็นหนึ่งในนั้น นับตั้งแต่นาทีที่แต่ละคนพิสูจน์มรรคาของฟ้าดินได้ ก็ไม่เคยลงมือเต็มที่อย่างแท้จริงมาก่อน
การหารือริมลำคลองครานั้น ขนาดเฉินชิงตูที่เคยมีเวทกระบี่สูงสุด มีนิสัยอ่อนโยนที่สุดก็ยังทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ตีกันก็ตีสิ’ การที่สุดท้ายแล้วไม่ได้ต่อสู้กัน ท่าทีของบรรพบุรุษสามลัทธิก็ยังคงเป็นกุญแจสำคัญที่ใหญ่ที่สุด
อันที่จริงตอนนั้นแค่ประโยคเดียวของมรรคาจารย์เต๋าก็ได้เปิดเผยความลับสวรรค์แล้ว ศัตรูบนมหามรรคาอยู่ที่ตัวเอง อยู่ที่เผ่ามนุษย์ อยู่ที่จิตดั้งเดิม อยู่ที่ตัวของทุกคนเอง ไม่ได้อยู่ที่มรรคกถา ไม่ได้อยู่ที่วิชาอภินิหารเลย
วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของป๋ายอวี้จิงก็คือเทวบุตรมารนอกโลกที่จำแลงมาจากจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตน วัตถุสยบแคว้นของดินแดนพุทธะสุขาวดี ก็คือทิฐิที่มิอาจคลี่คลายให้สลายหายไปของวิญญาณร้ายทั้งหลาย ใต้หล้าไพศาลอบรมสั่งสอนสรรพชีวิต ให้จิตใจของมนุษย์มุ่งเข้าหาความดีงาม ปล่อยให้เมธีร้อยสำนักลุกผงาด นี่ก็เพื่อช่วยลัทธิขงจื๊อมาตรวจสอบหาช่องโหว่แล้วชดเชยให้กับจิตใจคนบนวิถีทางโลกไปพร้อมๆ กัน
สืบสาวไปถึงรากฐานแล้วล้วนอยู่ที่ข้าคนเดียว
หมื่นปีที่ผ่านมา ศัตรูตัวฉกาจแห่งความเป็นความตายที่แท้จริงของโลกมนุษย์ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นที่ตัวพวกเราเองมาโดยตลอด ต่อให้ผ่านไปอีกหมื่นปี เกรงว่าก็จะยังคงเป็นเช่นนี้
แพ้แล้ว ก็คือยุคเสื่อมที่มิอาจขัดขวางได้
ชนะแล้ว วิถีทางโลกก็สามารถเดินขึ้นสู่ที่สูงได้ต่อ สามารถขยับจิตใจคนให้สูงไปถึงแผ่นฟ้าได้
“สรรพชีวิตล้วนคืออริยะ”
“สรรพชีวิตมีความเป็นพุทธภาวะ”
“ทุกๆ หนึ่งได้รับความสงบบริสุทธิ์ ทุกๆ คนได้รับความสงบบริสุทธิ์”
คนในชาตินี้ภพนี้จิตใจมุ่งเข้าหาความดีงาม ผลบุญผลกรรมจากชาติก่อนชาติหน้า มรรคกถาใจคนสูงส่งยาวไกลและลี้ลับ
สรุปว่าข้าเป็นใครกันแน่ ข้ามาจากที่ใด ข้าจะไปที่ใด
โดยภาพรวมแล้วก็ถือว่ามีคำตอบแล้ว
ส่วนฝูเหยาทวีปแห่งนั้น
ป๋ายอิ๋ง อู่เยว่ หย่างจื่อ หยวนโส่ว หนิวเตา เชี่ยอวิ้น
ก็แค่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หกตัวเท่านั้น จะกลัวอะไร บวกกับหลิวชาอีกคนที่เตรียมจะออกกระบี่อย่างเต็มกำลังแล้วอย่างไร ทุกวันนี้ฝูเหยาทวีปเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วอย่างไร
ก็หนีไม่พ้นเท่ากับว่าป๋ายเหย่ที่เกินครึ่งคงไม่มีกระบี่เซียน ‘ไท่ป๋าย’ อีกแล้ว บวกกับที่เทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์อีกท่านที่ไม่ได้ถือกระบี่เซียนไว้เหมือนกัน บวกกับเฉินฉุนอันที่อยู่ในทักษินาตยทวีปครึ่งหนึ่ง บวกกับฝูลู่อวี๋เสวียนอีกหนึ่งคน แล้วก็บวกกับฮว่อหลงเจินเหรินอีกคนหนึ่ง บวกกับเจิ้งไหวเซียนแห่งนครจักรพรรดิขาวที่แผนการลดน้อยลงไปเล็กน้อย สุดท้ายบวกกับท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวธวัลทวีปที่อำพรางตัวลึกลับไม่เผยกาย
คนเพียงแค่นี้เท่านั้น
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ยืนพูดจะได้ไม่ปวดเอวงั้นรึ?”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบนั่งลงด้านข้างทันที “ฟ้าดินเป็นพยาน!”
ป๋ายเจ๋อพลันปรากฎกาย ณ ที่แห่งนี้ เอ่ยเตือนปรมาจารย์มหาปราชญ์ว่า “คนที่ศาลบุ๋นของพวกเจ้าต้องระวังอย่างแท้จริงคือมหาสมุทรแห่งความรู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้น เขาทยอยกินเจ้าอารามดอกบัวและเหย้าเจี่ยไปแล้ว คนผู้นี้มีแผนการยิ่งใหญ่ หากคนผู้นี้ที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกินอิ่มแล้ว แล้วได้หวนกลับคืนมาโอ้อวดบารมีที่บ้านเกิดอีกครั้งจะยิ่งเป็นปัญหามากกว่านี้แน่นอน”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ
ป๋ายเจ๋อไม่มีทางมีความรู้สึกที่ดีใดๆ ต่อเจี่ยเซิงได้ มหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นี้ อันที่จริงล้วนไม่มีความผูกพันอะไรกับทั้งสองใต้หล้า หรือควรจะพูดว่านับตั้งแต่นาทีที่เขาก้าวข้ามกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปก็เลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางสายเก่าที่ไม่มีคนเดินผ่านมาหมื่นปีแล้ว ดูเหมือนว่าต้องการจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงส่งบนฟ้า หลุบตาลงต่ำลงมองโลกมนุษย์
ซิ่วไฉเฒ่าขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา สุดท้ายถึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะใช้กำลังของคนคนเดียววางแผนยาวนานหมื่นปี มีเพียงคนคนเดียวที่เป็นประชาราษฎร์ของใต้หล้า ความเป็นคนถูกสังหารจนหมดสิ้น เปรียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า ไม่ถูกสิ ยังเทียบพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลทั้งหลายไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ซิ่วไฉเฒ่าเหลียวซ้ายแลขวา ถามเสียงเบาต่อปรมาจารย์มหาปราชญ์และป๋ายเจ๋อว่า “พวกเราจะยอมตอบตกลงได้หรือ?”
ป๋ายเจ๋อรู้สึกจนใจยิ่งนัก เวลานี้หากพยักหน้ารับคงไม่เข้าท่า แต่ส่ายหน้าไม่ตอบตกลง? เขาป๋ายเจ๋อสามารถส่ายหน้าได้หรือ? ขนาดภาพค้นภูเขาภาพนั้นยังมอบให้ไปแล้ว จะให้เอาตัวเองมอบไปพร้อมกันอีกคงไม่ได้กระมัง
ป๋ายเจ๋อจึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฝูเหยาทวีปกำลังวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา”
มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คอยสูบกินปราณวิญญาณของฟ้าดินในหนึ่งทวีปอย่างบ้าคลั่ง รอแค่ป๋ายเหย่เผาผลาญปราณวิญญาณจนหมดสิ้นเท่านั้น
ซิ่วไฉเฒ่าม้วนชายแขนเสื้อ
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “แสร้งทำท่าให้ใครดูกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าเห็นไหมๆ นี่ทำให้คนเจ็บปวดใจยิ่งนัก เป็นพี่ป๋ายสองคนที่ข้าเคารพเลื่อมใสที่สุดเหมือนกัน ดูคนอื่นเขาอย่างป๋ายเหย่ที่บทกวีไร้เทียมทานแล้วยังเป็นเซียนกระบี่ด้วยนั่นสิ อันดับแรกก็ใช้หนึ่งกระบี่ฟันถ้ำสวรรค์หวงเหอให้แตกก่อน จากนั้นค่อยใช้อีกกระบี่ฟันปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของแผ่นดินกลางที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือให้ตาย แล้วยังพกกระบี่ไปบุกเบิกใต้หล้าแห่งที่ห้าโดยไม่เคยพร่ำบ่นถึงความเหน็ดเหนื่อย ต่อมาก็ใช้สามกระบี่ฟันปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เหย้าเจี่ยให้ตาย ตอนนี้ยังใช้กำลังของคนคนเดียวท้าทายปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หกตน..”
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเฉยชา “มารดาเถอะ เรื่องพวกนี้ข้าแม่งรู้หมดแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบหดคอยิ้มเอ่ยทันใด “ดีเลยขอรับ”