บทที่ 725.1 ฟันแล้วฟันอีก มีเพียงข้าที่ภาคภูมิใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หยวนโส่วเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวที่เป็นของตกทอดมาจากยุคบรรพกาลเล่มหนึ่ง กระบองยาวในมือถูกหมุนควงไม่หยุดนิ่ง พายุลมกรดหนาข้นก่อตัวกลายเป็นวงขนาดใหญ่ที่ขยายออกไปด้านนอกอย่างต่อเนื่อง ไล่ตีฝนแก้วใสเจ็ดสีห่าใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าเหล่านั้นให้สลายไป

ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ใช้นามแฝงว่าหนิวเตายืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้เม็ดฝนถี่กระชั้นที่เปี่ยมไปด้วยปราณกระบี่เฉียบคมตกกระทบลงบนเสื้อเกราะ เจ็บใจก็แต่ปราณกระบี่พวกนี้เบาและน้อยเกินไป มิอาจทำลายกรงขังบนร่างไปได้ ดังนั้นอีกเดี๋ยวหากป๋ายเหย่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลังเป็นครั้งแรก เขาจะเป็นคนรับกระบี่นี้เอาไว้เอง

เชี่ยอวิ้นตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ ใช้ปราณกระบี่ปะทะชนกับปราณกระบี่ ใช้นิ้วดันแก้มเอาไว้ หรี่ตามองภาพงดงามนั้นพลางพึมพำเบาๆ ลมฝนล่องลอยสลายความสง่างาม

ยักษ์ร่างกำยำใหญ่โตที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสีทองเป่าลมออกจากปากเบาๆ เป่าให้ลมฝนปราณกระบี่พัดกระจายไปยังจุดอื่น

หย่างจื่อที่มีหัวเป็นคนร่างเป็นงูร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเล็กน้อย รวบรวมน้ำฝนเหล่านั้นมาไว้ข้างกาย สุดท้ายก่อตัวขึ้นมาเป็นเม็ดแก้วใสเจ็ดสีหลายเม็ด เพียงแต่ว่าไม่นานก็มิอาจต้านรับแรงโจมตีจากปราณกระบี่ได้จึงแตกโพล๊ะแหลกสลาย ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พอรวมตัวและสลายหลายครั้งเข้า ข้ารับใช้หญิงหุ่นเชิดที่กอดผีผาไว้ในอ้อมอกทั้งหลายก็ได้รับคำสั่งให้เก็บเอาเม็ดฝนที่แทรกซอนไปด้วยปราณกระบี่เหล่านั้นเข้ามาในสายผีผา ทว่าผีผาส่วนใหญ่กลับยังคงมิอาจต้านทานการรุกรานจากปราณกระบี่เล็กบางเหล่านั้นได้ ทั้งหุ่นเชิดทั้งผีผาจึงแหลกเป็นผุยผง แต่กระนั้นก็ยังมีผีผาที่ส่องประกายแสงไหลเวียนวน มีปราณกระบี่เล็กบางแต่ละเส้นที่ไหลเลียบไปตามเนื้อไม้อู๋ถง กลบทับเส้นทางเล็กๆ แต่ละแห่งบนฝ่ามือของหุ่นเชิด สุดท้ายไปรวมตัวกันเป็นปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เป็นเส้นๆ บนสายผีผา หย่างจื่อยื่นมือไปคว้า คีบผีผาเล่มหนึ่งไว้ที่ปลายนิ้ว เพ่งสายตามองไป จิตขยับไหวเล็กน้อย สายผีผาเคลื่อนขยับตาม น่าเสียดายที่กลับขาดผึงออกจากกัน

หย่างจื่อส่ายหน้าให้กับหยวนโส่วที่อยู่ใกล้มากที่สุด บอกเป็นนัยว่าปราณกระบี่ของป๋ายเหย่ผู้นี้ไม่มีร่องรอยอะไรให้เอามาอนุมานพัฒนาใช้ คงต้องหาโอกาสอื่นแล้ว

หย่างจื่อ หรือควรจะพูดว่าปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เข้าร่วมการล้อมฆ่าครั้งนี้ทุกคน ล้วนจำเป็นต้องรู้เรื่องหนึ่งอย่างชัดเจน

ขอบเขตสิบสี่ของป๋ายเหย่ สรุปแล้วผสานกับมรรคาอะไรของใต้หล้าไพศาลกันแน่

ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายอิ๋งอยู่บนสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือตอนที่นั่งบัญชาการณ์เกราะทองทวีป มักจะนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงกระดูกขาวอยู่ตลอดเวลา ทว่าวันนี้กลับปลดบัลลังก์โครงกระดูกทิ้งไป อีกทั้งยังมีเนื้อผุดขึ้นมาจากกระดูกขาว กลายเป็นบุรุษที่มีโฉมหน้าเป็นวัยกลางคนผู้หนึ่ง บนร่างสวมชุดคลุมอาคมที่หม่นหมองไร้ประกายสีสัน นั่นคือการแสดงออกของบัลลังก์โครงกระดูก

ผู้เฒ่าข้ารับใช้ถือกระบี่ข้างกายป๋ายอิ๋งที่ร่างกายถือกำเนิดจากการถูกสุราเซียนราดรดหัวกะโหลก เรือนกายสูงจั้งกว่า มีโฉมหน้าที่แท้จริงของหลงจวินในอดีต เพียงแต่ว่าสูญเสียสติปัญญาของหลงจวินไป ถูกป๋ายอิ๋งตั้งชื่อให้ว่า ‘หลงเจี้ยน’ ตอนนี้กระบี่ยาวที่ถืออยู่ในมือคือ ‘จู๋จ้าว’ เป็นหนึ่งในเศษซากจิตวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่กวนจ้าว ป๋ายอิ๋งไปตามหามาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็เผาผลาญวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินไปอีกนับไม่ถ้วน สุดท้ายถึงหลอมขึ้นมาเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้ อันที่จริงภูเขาทัวเยว่รู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้

เหยียบอยู่บนศีรษะของหลงจวิน หลอมจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของกวนจ้าว ครั้งนี้ตอนอยู่ในเกราะทองทวีป ป๋ายอิ๋งยังชิงตัดหน้าฝูลู่อวี๋เสวียนทำข้อตกลงลับๆ กับหวานเหยียนเหล่าจิ่งเป็นการส่วนตัว หลอมหวานเหยียนเหล่าจิ่งที่เรือนกายจิตใจผุผังไม่เหลือสภาพดีให้คล้ายกับวิญญาณวีรบุรุษหุ่นเชิด ไม่คนไม่ผีไม่เทพไม่เซียน ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่ปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งไม่กล้าทำ

หวานเหยียนเหล่าจิ่งได้รับผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวก็คือสามารถอาศัยสิ่งนี้หลบเลี่ยงทัณฑ์สวรรค์ที่จะเกิดขึ้นยามที่จะเดินไปสุดมหามรรคาซึ่งจะทำลายชีวิตมหามรรคาของผู้ฝึกตนบนยอดเขาเผ่ามนุษย์ไปอย่างสิ้นซาก ใช้สิ่งนี้มามีชีวิตอยู่รอดต่อไป ต่อให้ทุกเวลาจะต้องทุกข์ทรมานเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย แต่หวานเหยียนเหล่าจิ่งก็ยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ หากวันใดในอนาคตมหามรรคาอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าหวานเหยียนเหล่าจิ่งจะไม่มีโอกาสลุกผงาดกลับมาเห็นดวงตะวันบนฟ้าอีกครั้ง คิดจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ความคิดของป๋ายอิ๋งไม่ได้อยู่ที่ฝนใหญ่ห่านี้ นี่เกิดจากการที่ป๋ายเหย่ชักกระบี่ออกจากฝักง่ายๆ เท่านั้น

เขาคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่แท้จริงในการล้อมฆ่าป๋ายเหย่ครั้งนี้ การที่บอกว่าเป็นหนึ่งใน ก็เพราะตอนนี้ป๋ายอิ๋งยังไม่รู้ว่าอาจารย์โจวจะบอกแผนการต่อหน้ากับปีศาจใหญ่ตนใด

หลงเจี้ยนข้ารับใช้ถือกระบี่ที่มีโฉมหน้าของหลงจวินหันไปโบกกระบี่ใส่ฝนห่าใหญ่เหนือศีรษะ ประหนึ่งเปิดเส้นแหวกฟ้า ฝนใหญ่ปราณกระบี่สองฝากฝั่งของเส้นแสงกระบี่ประหนึ่งพากันไหลกรูเข้าหาแม่น้ำแห่งกาลเวลาเล็กบางเส้นหนึ่งที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา จากนั้นจึงถูกมหามรรคาชะล้างผ่านไป จึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยนับแต่นั้น

ป๋ายอิ๋งยังคงโคจรวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ใช้ทะเลเมฆรวบรวมเอาปราณวิญญาณของทวีปมาไว้ชั่วคราว

ป๋ายอิ๋งจำเป็นต้องดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินทั้งหมดในค่ายกลใหญ่ของทวีปมา ต่อให้จะไม่สามารถดึงเอามาได้ทั้งหมด แต่ก็ต้องทำให้ปราณสกปรกแผ่ไปปะปนอยู่กับปราณวิญญาณ ทะเลเมฆผืนกว้างที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกขาวโพลน ปราณดุร้ายทะยานเทียมฟ้าใต้ฝ่าเท้าป๋ายอิ๋งนี้ก็เพราะต้องการให้ทุกครั้งที่ป๋ายเหย่ออกกระบี่ ปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของเขาจะต้องถูกเผาผลาญไปหนึ่งส่วน

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ยามที่จับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่น ต่อให้มีแนวโน้มว่าจะต้องตัดสินเป็นตาย ต้องใช้ทุกวิธีการที่มี ก็น้อยนักที่จะเกิดสถานการณ์อย่างการไม่มีปราณวิญญาณให้ใช้มากพอ ปีนั้นยามที่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อาเหลียงเองก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้จะถูกปีศาจใหญ่หลายตนจับมือกันตามมาไล่ฆ่า ทว่าขอแค่มีลางว่าฟ้าดินเล็กจะตกอยู่ในทางตันก็จะออกกระบี่ทำลายให้สิ้นอย่างไม่ลังเล ออกกระบี่ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิธีการหนีเอาชีวิตรอดที่สำคัญที่สุด ขี่กระบี่เดินทางไกล พริบตาเดียวก็ห่างไปร้อยลี้พันลี้ อาเหลียงไม่กลัวว่าจะถูกเวทคาถาขว้างเข้าใส่แม้แต่น้อย ให้ฝืนแบกรับวิชาอภินิหารสองสามอย่างเอาไว้ก็ยังไม่มีปัญหา มีเพียงกลัวว่าไม่ทันระวังถูกกักขังแล้วเผาผลาญปราณวิญญาณจนหมดสิ้นเท่านั้น

ขอแค่ฟ้าดินร่างกายมนุษย์ของผู้ฝึกตนเชื่อมโยงกับฟ้าดินใหญ่ได้ตลอดเวลา ก็เท่ากับว่าร่างกายและฟ้าดินมีภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่พื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์เชื่อมโยงถึงกัน สำหรับผู้ฝึกตนบนยอดเขาแล้ว ขอแค่มีต้นกำเนิดน้ำเป็นสักขุมหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ยากอย่างถึงที่สุดที่จะถูกสังหารได้

การเข่นฆ่าระหว่างขอบเขตบินทะยานทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร ฟ้าอำนวยดินอวยพรล้วนเป็นตัวแปร แพ้ชนะแท้จริงแล้วก็เป็นเรื่องปกติ ความสามารถที่แท้จริงของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันหรือไม่ อันที่จริงก็มีเพียงคำกล่าวเดียว ต้องดูที่ว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สิบคนของแผ่นดินกลางหรือสิบคนของไพศาล จะสามารถนั่งสูงอยู่บนบัลลังก์หรือติดอันดับสิบคนได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าเคยสังหารผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างแท้จริงมาก่อนคนหนึ่งหรือไม่ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำให้ขอบเขตบินทะยานไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนได้แม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่นฮว่อหลงเจินเหรินเคยไปดักอยู่หน้าประตูใหญ่ของหลุมน้ำลู่มานานหาลายเดือน เจินเหรินผู้เฒ่าใช้ฝ่ามือเดียวก็ตบขอบเขตเซียนเหรินให้ปลิวกระเด็นไปได้แล้ว ส่วนฝูลู่อวี๋เสวียน ตอนที่อยู่บนซากปรักสนามรบของเกราะทองทวีป ไม่เห็นว่าเขาร่ายวิชาอภินิหารก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งไปได้อย่างง่าย อันที่จริงเมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างแท้จริง นี่ไม่มีค่าให้พูดถึงเลยด้วยซ้ำ

หากไม่เป็นเพราะใต้หล้าไพศาลมีกฎมากเกินไปจริงๆ คำว่า ‘ไม่มีค่าพอให้พูดถึง’ นี้จะต้องมีมากดาษดื่นอย่างแน่นอน

ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมักจะเชี่ยวชาญการสังเกตการณ์แล้วหาจังหวะลงมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จะเป็นฝ่ายเลือกพึ่งพาผู้ที่แข็งแกร่ง หรือไม่ก็ออกไปให้ไกลห่างสถานที่ซ่อนตัวของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหลายโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นสุนัขเฝ้าบ้านข้างกายเฒ่าตาบอดตัวนั้น จะดีจะชั่วก็เป็นขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความอำมหิตในการเข่นฆ่าสังหาร แล้วจุดจบเล่าเป็นอย่างไร ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่มารอบหนึ่ง หวังดีอยากจะเพิ่มของใช้ในบ้านให้ ขุดหาสมบัติอาคมสองสามชิ้นมาให้เฒ่าตาบอดยังถูกรังเกียจว่าเกะกะสายตา พอถูกเตะกระเด็นออกไปก็ได้แต่นอนหมอบอยู่กับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ตำแหน่งสูงส่งเหนือกว่าของนอกกาย ดวงตะวันจันทราเคลื่อนผ่านบนบ่า ขุนเขาสายน้ำก็มักจะเห็นอยู่ในฝ่ามือเป็นประจำ และยิ่งถูกผู้ฝึกลมปราณขนานนามให้ว่าได้พิสูจน์มรรคาความเป็นอมตะ อยู่เคียงคู่กับฟ้าดินไม่เสื่อมสลาย…

แน่นอนว่าเป็นคำพูดเกินจริงของบนภูเขา หากคิดจะอยู่เคียงคู่ฟ้าดินไม่ดับสูญ ขอบเขตบินทะยานไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดเช่นนี้ได้เลย หวานเหยียนเหล่าจิ่งก็ไม่ใช่ว่าได้แต่นั่งรอความตายหรอกหรือ

ยิ่งขึ้นไปถึงบนยอดเขา เส้นทางก็ยิ่งมีน้อย เป็นเหตุให้สุดท้ายผู้ฝึกตนที่เดินไปถึงบนยอดเขามีเพียงเส้นทางเดียวให้เดิน นั่นก็คือต้องฝ่าทะลุไปอีกขอบเขต จำเป็นต้องให้ขอบเขตสิบสี่แต่ละคนผสานมรรคากับฟ้าดินในรูปแบบต่างๆ ทว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่งเพราะผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ หลายใต้หล้ารวมกันแล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกอย่างเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตนี้จริงๆ ใครบ้างที่ยอมแย้มพรายความลับ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา ไม่มีใครยอมเปิดปากแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่ามอบชีวิตครึ่งหนึ่งออกไปให้คนอื่นแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าผสานมรรคากับสามทวีปของใต้หล้าไพศาล จุดจบเป็นอย่างไร? ถูกมหาสมุทรความรู้โจวมี่ดึงเอาโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของสามทวีปไปอย่างแม่นยำ แล้วเอามาหลอมเป็นชุดคลุมอาคมที่สวมอยู่บนร่างของเซียวสวิ้น

ป๋ายเหย่กุมกระบี่เซียนไท่ป๋ายเบาๆ วางกระบี่พาดขวางไว้เบื้องหน้า ดีดนิ้วหนึ่งที

กระบี่ยาวสั่นสะท้าน แสงกระบี่สว่างเจิดจ้าเส้นหนึ่งประหนึ่งบ่อน้ำฤดูใบไม้ร่วงที่ใสกระจ่างทั้งยังลึกล้ำ ปราณกระบี่กับปราณน้ำก่อตัวกันกลายเป็นบ่อมังกรลึกที่น้ำกระเพื่อมไหว ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ตะวันจันทราที่อยู่ในบ่อน้ำมีแสงสีขาวมีสายฟ้าล้อมวน ดั่งมองน้ำจากแสงจันทรายามค่ำคืน ปราณกระบี่ประหนึ่งไอเมฆหมอก ทัศนียภาพสลัวรางเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเห็นได้ไม่ชัดเจน

ดวงจันทร์เอ๋อเหมย ดวงจันทร์ฟูโจว ดวงจันทร์ลู่สุ่ย ดวงจันทร์กลมโตที่เซียนแค่เอื้อมมือก็คว้ามาครองได้แล้ว ดวงจันทร์กระจิ๋วหลิวเป็นหยดน้ำใส ดวงจันทร์กลางภูเขาทะเลเมฆแผ่คลุมกว้าง ในอดีตยามที่ป๋ายเหย่เดินทางไปเยี่ยมเยือนเซียนพร้อมกับสหายรักเคยได้เห็นดวงจันทร์บนโลกมนุษย์มานับไม่ถ้วน

ถึงท้ายที่สุดก็ดูเหมือนว่าตัวป๋ายเหย่เองต่างหากที่ถึงจะเป็นเซียน

ดวงจันทร์กระจ่างแต่ละดวงลอยอยู่กลางอากาศประหนึ่งดั่งตะเกียงหกดวงที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากความว่างเปล่า เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน สูงต่ำไม่แน่นอน ทว่ามาลอยอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหกตนพอดี

ดวงจันทร์และแสงจันทร์พลันรวมกันเป็นเส้นเดียว

แสงกระบี่พุ่งดิ่งลงมา

หยวนโส่วขมวดคิ้วน้อยๆ เวทคาถาเช่นนี้ ลูกเล่นช่างน่ากลัวนัก ไม่เสียแรงที่เป็นขอบเขตสิบสี่ ภาพจินตนาการในใจของผู้ฝึกตนแทบจะใกล้เคียงกับความจริงของมหามรรคาแล้ว

โชคดีที่ป๋ายเหย่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่

ร่างของหยวนโส่วพลันสูงขึ้นร้อยจั้ง เงื้อกระบองฟาดลงบนแสงกระบี่เส้นนั้น ปราณวิญญาณของฟ้าดินที่อยู่รอบด้านกระเพื่อมสั่นไม่หยุด ไม่รู้ว่าเป็นแสงจันทร์หรือแสงกระบี่กันแน่ที่แตกสลายเหมือนกระบี่บินเล็กบางหนาแน่นนับพันนับหมื่นเล่ม ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าของหยวนโส่วที่ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก็ยิ่งถูกกระแทกชนจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์

เทพเกราะทองผู้นั้นยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ รับกระบี่นั้นไว้ตรงๆ ปล่อยให้แสงกระบี่ลอดทะลุศีรษะ ชุดเกราะสีทองบนร่างสั่นสะเทือนไม่หยุด รอยปริแตกยิ่งเพิ่มมากขึ้น

หย่างจื่อใช้หางยักษ์ร่างงูกวาดแสงกระบี่ทิ้งไป พริบตาเดียวเลือดก็ไหลจากผิวเนื้อที่เหวอะหวะ ร่างจริงถูกกรีดจนเกิดเป็นรอยแผลขนาดมหึมา เพียงแต่ว่าหยางจื่อกลับไม่รู้สึกรู้สา บาดแผลที่น่าอกสั่นขวัญผวานี้ถึงกับประสานตัวเข้าหากันด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

หยวนโส่วเหยียบอยู่บน ‘ฉวินเจิน’ กระบี่ยาวที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ใช้กระบองยาวชี้ไปยังป๋ายเหย่ที่อยู่ในจุดสูง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ป๋ายเหย่ เป็นแค่ลูกไม้สีสันฉูดฉาดพวกนี้น่ะหรือ? สู้มาดยามออกกระบี่สามครั้งสังหารเหย้าเจี่ยก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หรือจะบอกว่าหลังจากปล่อยสามกระบี่ก็บาดเจ็บเสียแล้ว?! ไยยังต้องมาหยั่งเชิงความตื้นลึกของตบะพวกเราหกคนด้วยเล่า ถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี ไม่สู้เอาอย่างต่งซานเกิงผู้นั้น ให้มันรวดเร็วฉับไวหน่อย มาแลกชีวิตกับข้าเลยสิ”

ถึงอย่างไรป๋ายเหย่ก็ต้องลองแลกชีวิตกับใครคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว หยวนโซ่วใช่ว่าจะไม่ถือสาเสียเลยหากกระบี่ป๋ายเหย่ฟันลงมาบนร่าง แต่หากป๋ายเหย่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง สามกระบี่ก็ดี ห้ากระบี่ก็ช่าง สรุปแล้วเขาคิดจะฟันใคร สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เอาเป็นว่าเดาก็เดาไม่ถูกแล้วกัน พอนิสัยอำมหิตของหยวนโส่วกำเริบขึ้นมา คำพูดนี้จึงมีความจริงใจอยู่หลายส่วน อยากจะเห็นนักว่าก่อนที่ป๋ายเหย่ผู้นี้จะจนตรอก เขาจะเลือกสละอย่างไร

จะเสียดายชีวิต จงใจถ่วงเวลาออกไป รอให้ฝูลู่อวี๋เสวียนมาช่วยเหลือ? หรือว่ามีความคิดที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น ฝากความหวังไว้กับปรมาจารย์มหาปราชญ์ หวังว่าเขาจะปลีกตัวออกมาจากการช่วงชิงบนมหามรรคาของสองใต้หล้า มาช่วยเหลือเขาป๋ายเหย่? หากเป็นอย่างนี้ก็ดีน่ะสิ บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่จะต้องทำให้สนามรบของนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีป หรือไม่ก็อาณาเขตทางทิศเหนือที่ยังเหลืออยู่ของเกราะทองทวีปแหลกสลายไปในชั่วพริบตาอย่างแน่นอน

ป๋ายเหย่คร้านจะเอ่ยอะไรกับหยวนโส่วแม้แต่ครึ่งคำ

ใช้นิ้วปาดไปบนตัวกระบี่อย่างไม่ใส่ใจ เพียงชั่วพริบตาก็มีตัวอักษรสีทองจำนวนนับหมื่นพากันผุดลอยขึ้นมาแล้วเบียดเสียดกันแน่นอยู่ในพื้นที่แคบๆ นั้น

ป๋ายเหย่ยิ้มเอ่ย “ไป”

แสงกระบี่เส้นหนึ่งเปล่งวูบแล้วหายไป ประหนึ่งผู้ฝึกกระบี่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ส่งกระบี่ ‘ธรรมดา’ ที่เทียบเท่ากับกระบี่ของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานไปให้หยวนโส่วก่อน

ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อีกห้าตนที่เหลือก็ต้องรับกระบี่หนึ่งไว้เช่นกัน ใครก็อย่าได้อยู่ว่าง ก่อนจะเจอข้าป๋ายเหย่ มีแผนการมากมายก็ช่างเถิด เวลานี้ยังจะดีดลูกคิดกันอีก ไม่เหนื่อยบ้างหรือไร

“มาได้ดี ท่านปู่อย่างข้าจะใช้กระบองตีกระบี่บินนี้ให้แหลก!”

หยวนโส่วแผดเสียงหัวเราะดังก้อง เปลี่ยนมาเป็นสองมือถือไม้กระบอง เบี่ยงตัวฟาดกระบองลงบนแสงกระบี่ที่วาดวงโค้งพุ่งมาถึง พลังอำนาจของกระบองนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เมื่ออยู่ภายใต้กระบี่ยาว ‘ฉวินเจิน’ รัศมีร้อยลี้รอบด้านก็ไม่มีก้อนเมฆเหลืออยู่แม้แต่ก้อนเดียวแล้ว

หนิวเตาปีศาจใหญ่ที่บนร่างสวมชุดเกราะสีทองประกายแสงไหลริน ก่อนหน้านี้ต่อให้เผชิญหน้ากับป๋ายเหย่ก็ยังกล้าวางท่าว่าจะยืดคอให้อีกฝ่ายตัด ทว่าเวลานี้กลับขมวดคิ้วน้อยๆ ป๋ายเหย่พบจุดบกพร่องบนมหามรรคาของตนเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? เขาจึงไม่ปล่อยให้แสงกระบี่ทำลายเกราะอีกต่อไป แต่เผยกายธรรมร่างใหญ่โตมโหฬารออกมา จากนั้นยื่นมือไปคว้าจับแสงกระบี่เส้นนั้นไว้ พอกุมไว้ในมือ แสงสีทองก็ไหลรอดออกมาจากร่องนิ้วประดุจน้ำตกหลายสายที่ห้อยแขวนอยู่กลางอากาศ

ขณะเดียวกันหนิวเตาก็ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่ง ย้ายขุนเขาพลิกมหาสมุทรอยู่ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ถึงกับเปลี่ยนถ้ำสถิตหลายสิบแห่งในการวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตไปโดยตรง ปราณวิญญาณในร่างซัดกรากประหนึ่งน้ำท่วมบ่าที่เปลี่ยนช่องทาง สุดท้ายจึงเปลี่ยนไป ‘ปักหลัก’ อยู่ที่ทะเลสาบหนองบึง

เชี่ยอวิ้นปีศาจใหญ่ที่มีโฉมหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มประดับใบหน้า ใช้สองนิ้วทำมุทรากระบี่แล้วชี้ไปเบาๆ “เจ้าก็ไป”

ก่อนหน้านี้ใช้ปราณกระบี่ปะทะปราณกระบี่ ตอนนี้ใช้แสงกระบี่ปะทะแสงกระบี่ ห่างออกไปหลายสิบลี้ แสงกระบี่สองเส้นประหนึ่งกระบี่บินที่พุ่งชนกัน