ทางฝั่งของป๋ายอิ๋งยังคงให้ข้ารับใช้ถือกระบี่ทำหน้าที่รับกระบี่แทน โชคดีที่กระบี่ยาวในมือของหลงเจี้ยนคืออาวุธเซียนที่แท้จริงชิ้นหนึ่ง อีกทั้งยังเกิดจากหล่อหลอมจิตวิญญาณของกวนจ้าวจึงมีความลี้ลับมหัศจรรย์พิเศษ ป๋ายอิ๋งไม่จำเป็นต้องลงมือออกหน้าเอง เรื่องของการต่อยตี แต่ไหนแต่ไรมาป๋ายอิ๋งก็ไม่ได้โดดเด่นอยู่แล้ว อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เคารพผู้แข็งแกร่งก็ถูกมองเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพลังพิฆาตอันดับรั้งท้ายของสิบสี่บัลลังก์ ป๋ายอิ๋งถึงขั้นที่แทบจะไม่มีบันทึกถึงการจับคู่เข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจขอบเขตบินทะยานมาก่อน เป็นการบังคับกองทัพใหญ่กระดูกขาวทั้งหลายให้บดขยี้ผ่านดินแดนเสียมากกว่า บางครั้งเจอกับคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก อย่างมากสุดก็ให้หลงเจี้ยนออกกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในบรรดาโครงกระดูกทั้งหลาย ป๋ายอิ๋งยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งอีกไม่น้อย
เจ้าอารามดอกบัวที่ไม่ได้อยู่ในสถานที่ประกอบพิธีกรรม แต่ไปอยู่ในโลกมนุษย์ หย่างจื่อที่ห่างไกลจากอาณาเขตของลำคลองเหยาเย่ หวงหลวนปีศาจใหญ่ที่เจอกับปีศาจบนบัลลังก์ตนอื่น ล้วนถูกมองเป็นพวก ‘พลังการต่อสู้ไม่ได้เรื่อง’
หยวนโส่วใช้กระบองฟาดแสงกระบี่เส้นที่สองอีกครั้ง ทันใดนั้นชายชุดก็พลันปลิวสะบัด ชายแขนเสื้อสองข้างมีพายุลมกรดพัดพองโป่ง ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ร่างของหยวนโส่วโยกเอน หรี่ตาเอ่ย “ป๋ายเหย่ มีปัญญาก็ปล่อยแสงกระบี่มาอีกเจ็ดแปดเส้นเลยสิ ท่านปู่อยากจะเห็นนักว่าแสงกระบี่ของเจ้ามีมากกว่า…เฮ้ย! เอาจริงหรือนี่…”
ให้เจ้าสมปรารถนา
พูดมากกระบี่ก็มาก
แสงกระบี่แต่ละเส้นพากันตรงเข้าฟันผ่าหยวนโส่ว
ให้การดูแลปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านนี้มากเป็นพิเศษ
หยวนโส่วพลันแผดเสียงหัวเราะดังลั่นไม่หยุด นับตั้งแต่ใช้กระบองฟาดแสงกระบี่ ไปจนถึงกระแทกให้แสงกระบี่เบี่ยงออกไป แล้วก็ไปถึงการใช้กระบองงัดแสงกระบี่ อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน แสงกระบี่ทุกเส้นที่แหวกอากาศพุ่งมาถึงล้วนกรีดผ่าฟ้าดิน ประหนึ่งมีดตัดกระดาษที่กรีดกระดาษเซวียนจื่อสีขาวหิมะแผ่นหนึ่งได้ง่ายๆ
สองมือของหยวนโส่วถือกระบี่ เปิดเผยนิสัยดุร้ายออกมาจนสิ้น ดวงตาทั้งคู่เป็นสีแดงฉาน ลูกตาดำสองข้างมีประกายแสงสีทองจุดหนึ่งเปล่งวูบวาบไม่หยุด แม้จะใช้กระบองฟาดกระบี่ แต่กระนั้นหยวนโส่วก็ยังจับจ้องป๋ายเหย่ที่ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียวตาเขม็ง จุดที่สายตามองเห็นคือพื้นที่ในรัศมีพันลี้ มีเรือนกายของป๋ายเหย่ที่ถือกระบี่อยู่หลายคน ‘ป๋ายเหย่’ คนหนึ่งในนั้นร่างค่อนข้างเห็นได้ชัด ถึงขั้นพอจะมองเห็นร่องรอยการออกกระบี่ได้อย่างเลือนราง นี่ก็คือหนึ่งในวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของหยวนโส่ว ลอบมองความลับสวรรค์ ทำนายพยากรณ์ได้ล่วงหน้า
เผ่าปีศาจขึ้นชื่อเรื่องร่างจริงที่แข็งแกร่งทนทาน หยวนโส่วถูกแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปั่นคว้านใบหน้าจนแหลกเละ ทว่าเพียงชั่วพริบตารูปโฉมก็กลับคืนมาดังเดิม ชุดคลุมอาคมบนร่างก็เป็นเช่นเดียวกัน ในฐานะปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปี ไม่สวมชุดคลุมอาคมระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนสักชิ้น ไหนเลยจะกล้าออกมาเดินอาดๆ อยู่ในใต้หล้า
อยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ลงมือไม่มาก คนที่ลงมืออย่างเต็มที่ก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ ส่วนใหญ่แล้วยังคงเคารพกฎของกระโจมเจี่ยจื่อ รับผิดชอบคอยตรวจตราการโจมตีเมืองของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเสียมากกว่า
ผู้เฒ่าชุดเทาตั้งใจจะให้พวกเขาเอาความคิดและจิตใจมาไว้ที่ใต้หล้าไพศาล
หลิวชาออกกระบี่ เพียงแค่เพราะอาเหลียงเท่านั้น
เว้นเสียจากว่าบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ลงมือสยบกำราบด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยการเข่นฆ่าของอาเหลียงที่ไม่กลัวการถูกรุมซ้อมมากที่สุด ก็ไม่รู้ว่ากระโจมทัพจะถูกอาเหลียงทำลายไปกี่แห่ง
ช่วงหลังการศึก เหย้าเจี่ยได้ลงมือกับเจ้านครของหนึ่งในห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง ก็เพราะละโมบในคุณความชอบ จงใจเล่นงานอริยะลัทธิเต๋าที่เป็นดั่งม้าตีนปลายผู้นั้นโดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าไปทำให้ฝ่ายหลังโมโหเข้า ถึงกับยอมให้ร่างดับมรรคาสลายโดยไม่เสียดาย แต่ก็ต้องเชิญให้ลู่จือออกกระบี่ให้จงได้ ลู่จือเองก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง อีกนิดเดียวก็จะสามารถฟันบัลลังก์แก่นทองที่เหย้าเจี่ยสร้างขึ้นมาอย่างประณีตตั้งใจให้แหลกเละได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ตอนที่อยู่ฝูเหยาทวีปเหย้าเจี่ยจึงทุบทำลายศาลขุนเขาสายน้ำกวาดเอาเศษซากร่างทองมาอย่างบ้าคลั่งกำเริบเสิบสาน เพื่อใช้ชดเชยรากฐานมหามรรคาของตน สาเหตุก็มาจากเรื่องนี้
หย่างจื่อใช้เสียงในใจเอ่ยกับป๋ายอิ๋ง “ป๋ายเหย่ยังไม่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลังอีกหรือ?”
ป๋ายอิ๋งยิ้มตอบ “พวกเราเองก็ยังหลบๆ ซ่อนๆ แค่ตั้งรับไม่โต้คืนเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หย่างจื่อถาม “ปราณวิญญาณของทวีปนี้ เจ้าต้องใช้เวลาถึงครึ่งก้านธูปถึงจะเก็บมาไว้ในกระเป๋าได้ทั้งหมดเชียวรึ? ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่? หากป๋ายเหย่ยอมเสียหน้าไม่คิดสนใจศักดิ์ศรี แบบนั้นจะเป็นปัญหามากแล้ว”
ป๋ายอิ๋งพยักหน้า “ยินดีอย่างถึงที่สุด”
ในความเป็นจริงแล้วหากป๋ายเหย่คิดจะแย่งชิงปราณวิญญาณกับตน นั่นจะเป็นปัญหายุ่งยากมากจริงๆ
แต่คนที่มีปัญหาก็คือป๋ายเหย่ หาใช่พวกเขาหกราชาไม่
การล้อมฆ่าครั้งนี้ ป๋ายอิ๋งเป็นคนต้นคิดวิธีวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา ใช้วิธีการที่โง่ที่สุดมารับมือกับขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง
หากป๋ายเหย่ใช้กระบี่ต้านรับศัตรูพลางเปิดประตูใหญ่ของถ้ำสวรรค์แห่งต่างๆ เพื่อดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินจำนวนมากมาด้วย สรุปแล้วจะเป็นปัญหาอย่างไรกันแน่ ตอนนั้นโจวมี่ไม่ได้อธิบาย เพียงแค่บอกเขาว่าตอนที่แย่งชิงปราณวิญญาณกับป๋ายเหย่ให้พยายามขัดขวางอีกฝ่ายไว้อย่างสุดความสามารถก็พอ หลีกเลี่ยงไม่ให้ป๋ายเหย่รู้ความจริง
ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวอยู่ในสถานการณ์นี้ สำหรับป๋ายเหย่แล้วก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า หากไม่อดทนข่มกลั้นเอาไว้ รอคอยให้ปราณวิญญาณถูกเผาผลาญจนสิ้นแล้วค่อยทุ่มสุดความสามารถรบจนตัวตาย ก็คืออดทนไม่ไหว หาปัญหาใส่ตัวเร็วก็ตายเร็ว
ดูจากตอนนี้หากป๋ายเหย่ไม่ได้เย่อหยิ่งทระนงตนมากเกินไป ก็คงจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่งแล้ว
แต่นี่ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ใหญ่อยู่ดี
หย่างจื่อสวมมงกุฎจักรพรรดิ สวมชุดคลุมมังกรสีหมึก ก้มหน้าลงมองภาพขุนเขาสายน้ำพันหมื่นลี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ มีเพียงสองสีคือสีขาวและสีดำเท่านั้น ไม่ค่อยเหมือนกับขุนเขาสายน้ำของจริงในโลกมนุษย์สักเท่าไรจริงๆ
หย่างจื่ออ้อมผ่านขุนเขาทั้งห้าและรากภูเขาทั้งหลายออกไป ลำคลองแม่น้ำหนองบึงทุกแห่งที่สายตาของนางมองผ่านพลันเดือดพล่าน จากนั้นปราณวิญญาณฟ้าดินก็ถูกชักนำเข้ามาในสายน้ำทั้งหลาย รวมตัวกันเป็นโชคชะตาน้ำ
อันดับแรกก็มีป๋ายอิ๋งควบคุมทะเลเมฆดึงดูดปราณวิญญาณของฟ้าดิน ขณะเดียวกันก็ใช้ปราณชั่วร้ายสร้างความวุ่นวายให้กับภาพบรรยากาศของฟ้าดิน ต่อมาก็มีหย่างจื่อควบคุมแม่น้ำลำคลอง สูดกลืนปราณวิญญาณมาดั่งปลาวาฬสูบน้ำ
เห็นได้ชัดว่าต้องการร่วมมือกันเปลี่ยนฝูเหยาทวีปให้กลายเป็นสถานที่ของยุคเสื่อมที่ผู้ฝึกลมปราณชิงชังรังเกียจเป็นที่สุด
เชี่ยอวิ้นฉวยโอกาสตอนที่แสงกระบี่ของป๋ายเหย่เอาแต่สนใจหยวนโส่วหาเวลาว่างให้กับตัวเอง เห็นการกระทำนั้นของหย่างจื่อ เชี่ยอวิ้นก็ประกบสองนิ้วเอามาค้ำยันน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรอยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ข้าก็จะช่วยด้วยแล้วกัน”
นับแต่วันนี้ไป สุราหมักตระกูลเซียนบนภูเขา หากจะพูดถึงสุราที่มีปราณวิญญาณซุกซ่อนไว้มากที่สุด ก็จะมีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เชี่ยอวิ้นที่ทุกวันนี้ใช้นามแฝงว่าจิ่วเย่ รู้สึกว่าขนาดตนก็ยังหักใจดื่มไม่ลงแล้ว
ไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช้นามแฝงว่าชิงฮวา เห็นเซียนกระบี่แต่ละท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ประหนึ่งกระเบื้องลายครามที่แตกสลาย (ชิงฮวาสือสุ้ย) กับตาตัวเอง
มาถึงใต้หล้าไพศาล ใช้นามแฝงว่าจิ่วเย่ นอกจากจะชอบเก็บสะสมเหล้าหมักตระกูลเซียนแต่ละชนิดแล้ว ยังเชี่ยวชาญการถลกดึงหนังหน้าของผู้ฝึกตนหญิง เอามาปะชุนซ่อมแซมใบหน้าของตัวเอง สำนักอวี่หลงที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัว อวี้จือก่างของใบถงทวีป พรรคเยวียนจวี้ที่ภูเขาบรรพบุรุษคือภูเขาคงโหว…
ออกเดินทางไกลไปทั่วไพศาล นับว่าไม่เสียเที่ยวที่ได้มาเยือน
ตอนนี้คนเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้อยู่ว่าง คาดว่าคงเป็นผู้เฒ่าขี่กระบี่ที่ใช้สองมือถือกระบองแล้ว
แสงกระบี่มากเกินไปจริงๆ เส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งมาถึงติดต่อกัน ทำให้ไม่กล้าอยู่เฉยเลยจริงๆ คำกล่าวที่บอกว่าเป็นแค่กระบี่ธรรมดาที่ปล่อยออกมาอย่างผ่อนคลายสบายๆ แต่นั่นก็เท่าเทียมกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเชียวนะ
มีแสงกระบี่ถูกกระบองของหยวนโส่วกวาดทิ้ง จึงหล่นลงไปยังขุนเขาบางแห่งเบื้องใต้ทะเลเมฆ ภูเขาปริแตกพื้นดินร้าว ถล่มยุบกลายเป็นพื้นราบ
มีแสงกระบี่ถูกหนึ่งกระบองฟาดให้หล่นลงไปในลำคลองสายใหญ่ ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ร้อยจั้ง ยังสร้างทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้นมาในฉับพลันอีกด้วย น้ำในลำคลองไหลเทเข้าไปด้านใน เป็นเหตุให้ผิวน้ำตอนล่างของลำคลองพลันลดฮวบลงไปจั้งกว่า
หยวนโส่วด่าอย่างเดือดดาล “ไม่จบไม่สิ้นสักทีรึ?!”
ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะตนถูกพุ่งเป้าเล่นงานเป็นพิเศษ ทำให้อัดอั้นถึงขีดสุด ทั้งไม่กล้าขยับเข้าใกล้ป๋ายเหย่ แล้วก็ไม่อาจปลีกตัวออกไปได้ ทำให้พวกราชาบนบัลลังก์คนอื่นเห็นเรื่องตลกขบขันเสียเปล่า คล้ายกำลังดูละครลิงอย่างไรอย่างนั้น
อีกครึ่งหนึ่งเพราะหยวนโส่วเสียดายชุดคลุมอาคมบนร่างที่เกิดความเสียหายจริงๆ หากยังสู้กันแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ระดับขั้นได้รับความเสียหายแล้ว แต่ระดับขั้นอาจลดหายไประดับหนึ่ง ชุดคลุมอาคมนี้หลอมมาจากรากภูเขาเส้นทางมังกรของพื้นที่ต่างๆ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างรวมแล้วสิบสองเส้น ทว่าป๋ายเหย่ผู้นั้นก็เรียกแสงกระบี่ออกมามากเกินไปแล้ว ทุกเส้นล้วนพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาทีโดยไม่มีข้อยกเว้น ต่อให้หยวนโส่วจะใช้กระบองยาวฟาดให้แตกหรือตีให้แสงกระบี่ถอยร่นไปได้ ปราณกระบี่ที่ปริแตกก็ยังคงถี่แน่นเกินไป เป็นเหตุให้ชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่เดิมทีสามารถประสานตัวได้เองโดยอัตโนมัติยิ่งนานยิ่งขาดวิ่น รูโหว่น้อยใหญ่มีมากมายนับไม่ถ้วน
เชี่ยอวิ้นใช้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ดึงดูดปราณวิญญาณฟ้าดินพลางยิ้มตาหยีพูดไปด้วยว่า “บรรพจารย์หยวนมีวิชากระบองที่ดีเยี่ยมนัก ผ่านศึกนี้ไป บารมีชื่อเสียงต้องขจรขจายไปไกลหลายใต้หล้าอย่างแน่นอน ตีแสงกระบี่สิบเจ็ดแสงของป๋ายเหย่ให้แหลกสลาย มีค่าคู่ควรให้พูดถึงยิ่งกว่าใช้กระบองฟาดศาลบรรพจารย์ของทวีปหนึ่งให้พังยับเสียอีก แสงกระบี่สิบแปดเส้นแล้ว!”
หยวนโส่วสองมือถือกระบอง ฝ่ามือเปรอะโชกไปด้วยเลือด อันดับแรกใช้กระบองงัดแสงกระบี่ขึ้น จากนั้นวาดกระบองกวาดไปแนวขวาง ตัดแสงกระบี่ให้ขาดท่อน แบ่งแสงกระบี่ออกเป็นสองส่วน นี่ก็คือความน่ากลัวของกระบี่ป๋ายเหย่ ขอแค่ไม่แหลกเละมากพอ แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็จะสามารถโรมรันตามติดหยวนโส่วได้ตลอด หลบก็หลบไม่พ้น หยวนโซ่วคำรามอย่างเดือดดาล ใบหน้าของผู้เฒ่าแปรเปลี่ยนเป็นรูปโฉมของวานรหลายส่วน ขี่กระบี่หดย่อพื้นที่ขยับหลบออกไปหลายร้อยลี้ แล้วฟาดฟันแสงกระบี่สองเส้นนั้นให้แตกกระจาย
ก่อนหน้านี้เพราะหยวนโส่ว ‘แอบอู้’ แรงฟาดกระบองลดน้อยลงไปหลายส่วน เป็นเหตุให้แสงกระบี่ที่สะสมได้สามเส้นพุ่งเข้ามาประชิดตัวในเวลาเดียวกัน ลำคอจึงถูกกรีดออกเป็นรอยเลือดเหวอะเส้นหนึ่ง อีกนิดเดียวหัวก็ต้องย้ายบ้านแล้ว แม้ว่าต่อให้จะถูกแสงกระบี่ตัดหัวขาดก็ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ไม่ถือว่ารากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหายมากมายอะไรด้วยซ้ำ เพราะถึงอย่างไรหากจะพูดกันถึงความแข็งแกร่งของร่างจริง ในบรรดาสิบสี่บัลลังก์ หยวนโส่วก็ยึดอันดับต้นๆ ไว้ได้อย่างมั่นคง ดังนั้นอย่างมากก็แค่ย้ายภูเขารอบหนึ่ง เอาหัวย้ายกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ถึงขั้นที่ว่าฟันหลุดไปแล้ว แล้วถูกแสงกระบี่ปั่นคว้านจนเละ หยวนโส่วก็ยังสามารถมีหัวอีกหัวงอกขึ้นมาใหม่ได้ทันที ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้อาการบาดเจ็บก็กลายเป็นของแท้แน่นอนแล้ว ไม่ใช่ว่าแค่กินสตรีอุ้มผีผาของหย่างจื่อไปไม่กี่สิบคนแล้วจะสามารถชดเชยได้
การใช้กระบองฟาดแสงกระบี่ของหยวนโส่วไม่มีลวดลายอะไร เป็นวิธีการที่จืดชืดน่าเบื่อหน่าย หนีไม่พ้นเปิดกว้างปิดกว้าง ตรงไปตรงมา
ดังนั้นจึงมองเห็นแสงกระบี่สิบแปดเส้นของป๋ายเหย่ได้ไม่ชัดเจน แต่หากมีผู้ฝึกลมปราณมาชมศึกอยู่ด้านข้าง เกรงว่าคงตกใจจนจิตแห่งมรรคาแตกกระเจิงคาที่ไปแล้ว
ทุกครั้งที่แสงกระบี่ของป๋ายเหย่สาดยิงออกไป รวมไปถึงลมพายุที่มาจากการออกกระบองของหยวนโส่ว ต่างฝ่ายต่างซ่อนแฝงปณิธานแห่งมรรคาไว้ส่วนหนึ่ง ผู้ฝึกตนคิดจะใช้การชมศึกมาขัดเกลาจิตแห่งมรรคา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับทั้งสองฝ่าย
เชี่ยอวิ้นผู้นั้นเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี ก่อนที่หยวนโส่วจะเปิดปากด่าอย่างเดือดดาล เขาก็ช่วยหยวนโส่วด่าตัวเองก่อนแล้วด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากระเทยอุบาทว์จงหุบหากให้ท่านปู่เดี๋ยวนี้”
หยวนโส่วถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ มิน่าเล่าถึงสั่งสอนศิษย์น้องอย่างเฝ่ยหรานที่ชื่อเสียงทัดเทียมกับอิ่นกวานหนุ่มและเซียนกระบี่โซ่วเฉินออกมาได้ ในฐานะผู้นำของร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ ว่ากันว่าเชี่ยอวิ้นรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ด้วย
ปีศาจใหญ่หนิวเตาเปิดปากพูดเสียงทุ้มหนัก “ใครจะเอาก่อน? อย่าถ่วงเวลาอีกเลย มีความหมายอะไร”
อันที่จริงนับตั้งแต่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหกปรากฏตัวพร้อมกัน กระทั่งถึงตอนที่ป๋ายเหย่ชักกระบี่ออกจากฝักทำลายปราการแก้วใส ไปจนถึงใช้แสงกระบี่สิบแปดเส้นฟันเข้าใส่หยวนโส่ว ต่างก็ไม่พอให้คนธรรมดาจิบเหล้าบนโต๊ะสุราสองสามอึกด้วยซ้ำ
ยักษ์ร่างกำยำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งสีทอง ปีศาจใหญ่อู่เยว่ที่มีสามเศียรหกกรลุกขึ้นยืนแล้ว แขนทั้งหกก็ถือศาสตราวุธเทพชิ้นหนึ่งไว้ในเวลาเดียวกัน ยิ้มเอ่ยว่า “ได้เห็นการจำแลงบทกวีเป็นปราณกระบี่ของอาจารย์ป๋ายแล้ว ข้าก็จะใช้เทพมาเยือนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง บวกกับขอบเขตบินทะยานมาน้อมรับประกายเฉียบคมของกระบี่เซียนไท่ป๋ายของอาจารย์ป๋ายก็แล้วกัน”
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยาน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ขอบเขตสิบ ‘เทพมาเยือน’
พออู่เยว่ลุกขึ้นยืนก็ไม่เพียงแต่ถืออาวุธไว้ในมือ เบาะรองนั่งที่เดิมทีเกิดจากตำราสีทองหลายเล่มนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นมาก็พลันกลายเป็นยันต์สีทองสิบเอ็ดแผ่นแยกกันไปแปะอยู่บนข้อเท้าของเท้าทั้งสองข้าง หว่างคิ้วของสามหัวและแขนทั้งหก
ป๋ายอิ๋งคีบไข่มุกกระดูกขาวที่ส่องประกายแสงวิบวับเม็ดหนึ่งเอาไว้ระหว่างสองนิ้ว ใช้มันมาชั่งน้ำหนักของปราณวิญญาณที่เหลืออยู่ในฟ้าดินของทวีปอย่างแม่นยำ ยิ้มเอ่ยกับยักษ์ร่างกำยำว่า “ต้องระวังให้มากหน่อย ที่ป๋ายเหย่ถือไว้ในมือ ถึงอย่างไรก็เป็นกระบี่เซียนที่มาจากอารามเสวียนตูใหญ่ อันที่จริงเจ้าอู่เยว่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูปค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
อู่เยว่ส่ายหน้า ไม่ฟังคำแนะนำของป๋ายอิ๋ง ร่างกายพลันเปลี่ยนมามีความสูงเท่ามนุษย์ธรรมดา มือทั้งหกแบ่งเป็นถือดาบคู่ ดาบตรงเล่มหนึ่ง ดาบฟันม้าเล่มหนึ่ง กระบี่คู่สั้นยาว ค้อนหนึ่งเล่มและขวานหนึ่งเล่ม
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ผิดหวังที่สุดของใต้หล้าไพศาลในอดีต ต้อนรับขับสู้บัณฑิตที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในใต้หล้าไพศาล มารยาทพิธีการไม่อาจไม่เรียกว่ายิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ระดมหกราชามาล้อมฆ่าป๋ายเหย่ในรวดเดียว ยังสร้างตราผนึกในนอกสามชั้นติดๆ กันให้กับฝูเหยาทวีปอีกด้วย
ด้านนอกสุดคือการไหลเวียนของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำหนึ่งทวีป ปกคลุมทั้งฝูเหยาทวีปไว้ภายใน ตัดขาดความเป็นไปได้ที่ปราณวิญญาณของฝูเหยาทวีปจะเชื่อมโยงกับของใต้หล้าไพศาลออกอย่างสิ้นเชิง นี่คล้ายคลึงกับค่ายกลใหญ่ซานซานซื่อเซี่ยงของใบถงทวีปในอดีต ค่ายกลใหญ่ยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้
เป็นเหตุให้สนามรบที่เดิมทีจำนวนคนก็ต่างกันอย่างชัดเจนแห่งนี้ ฟ้าอำนวยดินอวยพรล้วนเอนเอียงเข้าหาปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่ตลอดเวลา
อาณาเขตของหนึ่งทวีปที่กว้างใหญ่ มีเพียงสนามรบของเจ็ดคนนี้เท่านั้น
ปราการแก้วใสบนม่านฟ้าที่ป๋ายเหย่ชักกระบี่ออกจากฝักทำลายลงก่อนหน้านี้ เป็นโจวมี่ที่ดึงเอาแม่น้ำแห่งกาลเวลาส่วนหนึ่งมาทำเป็นฟ้าดินแห่งที่สอง
ระหว่างทั้งสองนี้ยังมีค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำที่เป็นอาคมฟ้าปรากฎการณ์ดินอีกชั้นหนึ่ง คือห้าขุนเขาและแม่น้ำนับร้อยสายของแต่ละแคว้นบนพื้นดินของฝูเหยาทวีปที่ถูกนำมาหล่อหลอม ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องล่างทะเลเมฆคล้ายม้วนภาพภูเขาสายน้ำลายเส้นขาวดำ ถูกโจวมีกระชากเอา ‘กายธรรมขุนเขาสายน้ำ’ ออกมาไว้เหนืออากาศของฝูเหยาทวีปอย่างพร้อมเพรียงกัน ขุนเขาจัดวางเหมือนดวงดาวดารดาษบนฟ้า แม่น้ำลำธารแผ่สลับเหมือนตาข่ายกว้าง ใช้สิ่งนี้มาตัดขาด ‘ฟ้าดิน’ ของใบถงทวีปพอดี แบ่งหนึ่งเป็นสอง ราวกับว่าวิชาอภินิหารตัดขาดฟ้าดินซึ่งเป็นหนึ่งในคุณูปการใหญ่หลวงที่สุดของหลี่เซิ่งในอดีตได้กลับมาปรากฎบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
ล้อมฆ่าป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่ โจวมี่ยอมทุ่มอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทนจริงๆ
ป๋ายเหย่เห็นอู่เยว่ลุกขึ้นยืนก็เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
เพียงชั่วพริบตานั้นสองฝั่งข้างกายป๋ายเหย่ก็พลันมี ‘บัลลังก์ราชา’ หกคนหล่นโครมลงมาบนพื้น กระจายตัวออกไปเป็นลำดับ ซ้ายขวาอย่างละสาม
เพียงแต่ว่าในมือของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทุกคนต่างก็ถือกระบี่ยาวไว้ในมือ
พวกเจ้าใช้ฟ้าดินสามแห่งมากักตัวข้าป๋ายเหย่ ไยป๋ายเหย่จะไม่ใช้ฟ้าดินในใจมากักตัวศัตรูบ้างเล่า
ในอดีตฮึกเหิมมีชีวิตชีวา ออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนเซียนพร้อมสหายรัก จุดที่สายตามองเห็นคือขุนเขาตระหง่านสายน้ำกว้างใหญ่ มีสรรพสิ่งใด เรื่องใด บุคคลใดที่ไม่เคยเป็นฟ้าดินในสายตาของข้า
——