ตอนที่ 1637: ความหวังที่จะทะลวงไปขั้นเก้า

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1637: ความหวังที่จะทะลวงไปขั้นเก้า

เฉียงซ่งรับแผนที่และกางมันออกช้า ๆ แผนที่ดังกล่าวถูกทำสัญลักษณ์ของสัตว์อสูรระดับซ่อนอยู่พร้อมกับแสดงให้เห็นลักษณะภูมิศาสตร์ทั้งหมดอย่างชัดเจน รวมถึงดินแดนทั้งหมดที่เผ่าพันธุ์ทั้งสี่อาศัยอยู่ ตามที่คิดเอาไว้มีวงกลมสีแดงอยู่สองสามแห่งบนแผนที่และวงกลมทุกวงก็วงไว้ส่วนเล็ก ๆ ของดินแดนทั้งสี่เผ่าพันธุ์

เฉียงซ่งขมวดคิ้วทันทีเมื่อเขามองเห็นวงกลมสีแดงเล็ก ๆ การแสดงออกของเขาค่อนข้างน่าเกลียด จากนั้นเขาก็ส่งมันให้กับผู้อาวุโสและผู้พิทักษ์รอบ ๆ ตัวของเขาเพื่อให้พวกเขาดูเช่นกัน ทุกคนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นแผนที่

การมีส่วนร่วมของโลกเราเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตินั้นเป็นรองแค่ราชันเจี้ยนเฉิน หากไม่นับเขา ด้วยการมีส่วนร่วมของเรา ด้วยการเสียสละคนของเรานับหมื่นคน เจ้าก็ไม่เหลืออะไรและจะจบลงด้วยความตายแม้ว่าจะมีราชันเจี้ยนเฉินก็ตาม เราช่วยโลกของเจ้าและทิ้งชีวิตไว้ในโลกของเจ้า ด้วยการบริจาคเช่นนี้ เจ้าไม่เต็มใจที่จะให้ดินแดนนิด ๆ หน่อย ๆ แก่เรางั้นหรือ? เจ้าจะไม่ให้อะไรเลย ? เฉียงซ่งพูดอย่างหงุดหงิด เขาเข้าใจว่าภายในทวีปเทียนหยวนนั้นไม่กลัวโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งของพวกเขาอีกต่อไป ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้วิธีเดียวที่จะได้ดินแดนนอกจากสงครามคือการเจรจา พวกเขาต้องระงับอารมณ์ระหว่างการเจรจาสักครั้งหลังจากที่พวกเขายินยอมที่จะเปลี่ยนแปลงข้อตกลง

ผลที่ตามมาคือเฉียงซ่งและผู้อาวุโสตลอดจนผู้พิทักษ์ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการเจรจาครั้งนี้ พวกเขาจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ที่ได้เปรียบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อโลกของตัวเอง พวกเขารักษาความสงบเพราะสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตครั้งสำคัญให้กับโลกของเขา

ฮุสตันตอบเฉียงซ่งอย่างอ่อนโยน เขาพูดว่า แน่นอนว่าโลกของเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องในการหลีกเลี่ยงวิกฤติ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าคิดผิด วิกฤติของโลกไม่ได้ส่งผลต่อโลกของเราเท่านั้น โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งก็เช่นกัน โลกของเราทำหน้าที่เป็นแนวหน้า ดังนั้นเมื่อมันผ่านโลกของเราไปได้ โลกของเจ้าก็ไม่รอดเช่นกัน โลกทั้งสองของเรานั้นมีชะตากรรมเดียวกัน ถ้ามีสักคนรอด อีกคนก็รอด ถ้ามีคนล้ม อีกคนก็ล้ม ด้วยเหตุนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่คิดว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษช่วยโลกของเรา เพราะเจ้ากำลังช่วยโลกของตัวเองเช่นกัน ฮุสตันกล่าวอย่างสงบ

ผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสต่างก็หน้าเสียไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขา คำอธิบายของฮุสตันดูเหมือนจะทำให้เขาต้องเผชิญกับวิกฤติของโลก

ก่อนที่คนจากต่างโลกจะพูดอะไร ฮุสตันก็กล่าวต่อไปว่า ในความเป็นจริงไม่สำคัญว่าโลกของเจ้าจะมีส่วนร่วมในการกำจัดวิกฤติของโลก เราไม่จำเป็นต้องให้ที่ดินใด ๆ แก่เจ้าเลย เพราะเจี้ยนเฉินเป็นผู้นำในการหยุดวิกฤติ หากไม่ใช่เพราะสมบัติของเขา เจ้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมในการถูกกลืนกินแม้ว่าจะมีสายเลือดพิเศษก็ตาม เหตุผลที่เราเห็นด้วยที่จะให้ดินแดนแก่เจ้าคือเพื่อเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของผู้ที่เอาชีวิตเข้าแลก ทำให้พวกเขาพักผ่อนอย่างสงบหลังจากที่ตายไป

..

ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทั้งคู่ต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองและไม่มีใครยอมแพ้ใคร

โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกกลัวกันและกันซึ่งเป็นสาเหตุให้ต่างฝ่ายต่างควบคุมตัวเองอย่างจริงจัง แม้จะมีการพูดคุยอย่างเข้มข้น พวกเขาก็ไม่ได้จบลงด้วยการท้าตีท้าต่อยกับอีกฝ่าย

ทวีปเทียนหยวนนั้นเกรงกลัวจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจากต่างโลกจำนวนมากและยังรวมถึงเฉียงซ่งที่อยู่ในขั้นแลกเปลี่ยนอีกด้วย

ผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งนั้นกลัวซ่างกวนมู่เอ๋อ แม้ว่านางจะไม่ปรากฏตัวและเกาะสามเซียนอยู่ห่างจากเมืองอัคนีมาก แต่ความแข็งแกร่งของนางก็สามารถมาที่นี่ได้ด้วยเพียงก้าวเท้าเพียงก้าวเดียว

ไม่นานวันแรกของการเจรจาก็ใกล้จบ ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ทางด้านทวีปเทียนหยวนนั้นยึดติดกับดินแดนที่พวกเขาให้และไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเล็กน้อยโดยไม่มากกว่าข้อเสนอแรกที่ให้ ในขณะเดียวกันผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งนั้นต้องการดินแดนมากพอที่จะทำให้พวกเขาพอใจเป็นอย่างน้อย ในที่สุดทั้งสองฝ่ายจึงไม่อาจตกลงกันได้

ทุ่งน้ำแข็งในภาคเหนือไม่ได้เป็นของทวีปเทียนหยวนและอยู่ห่างไกลจากเกาะสามเซียน ขณะนี้มีโถงศักดิ์สิทธิ์สีทองอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ และผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสทั้งหมดจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งก็อยู่รวมกันที่นี่

โลกนี้ทำเกินไปแล้ว เรามีส่วนร่วมอย่างมากในการหยุดวิกฤติ แต่พวกเขาก็อธิบายว่ามันไม่เกี่ยวกัน แม้แต่ดินแดนของพวกเขาก็ยังให้แค่พื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น มันยังน้อยเกินกว่าที่จะให้คนของเราที่มีเยอะอาศัยอยู่ได้ ผู้พิทักษ์กล่าวอย่างดุเดือด

ทุกคนในโถงเงียบ ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดดูย่ำแย่อย่างมากหลังจากที่การเจรจาวันแรก พวกเขาทุกคนเข้าใจความคิดของทวีปเทียนหยวนที่มีต่อเรื่องดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าเป็นการยากที่พวกเขาจะได้ที่ดินเป็นจำนวนมาก

มันน่าเสียดายที่จิตวิญญาณราชันย์ไม่ได้อยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราลังเลในระหว่างการเจรจาและกลัวที่จะทำให้โลกนี้ขุ่นเคือง แม้ว่าเราจะไม่สนใจซ่างกวนมู่เอ๋อผู้ที่แอบดูพวกเราอย่างลับ ๆ แต่เจี้ยนเฉินนั้นก็น่ากลัวยิ่งกว่าเราคิด เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจิตวิญญาณราชันย์ ดังนั้นถ้าเขาทะลวงผ่าน… ผู้อาวุโสกล่าวอย่างน่ากลัว ใบหน้าของเขาค่อนข้างซีดเมื่อพูดมาถึงประโยคสุดท้าย

เฉียงซ่งถอนหายใจเบา ๆ นั่นเป็นเรื่องจริง เจี้ยนเฉินกำลังเก็บตัวบ่มเพาะ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะมาเมื่อใด หากเขาทะลวงผ่านและตัดสินที่จะเปิดฉากการต่อสู้กับพวกเรา ไม่มีใครในพวกเราที่จะรอดชีวิตไปได้ งั้นเราก็เลื่อนการเจรจาไปก่อน รอจนกว่าจิตวิญญาณราชันย์จะกลับมา

จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมทั้งสี่เผ่าพันธุ์นั้นยังคงอยู่ในเมืองอัคนีหลังจากวันแรกของการเจรจา พวกเขารวมตัวกันอีกครั้งยกเว้นเสี่ยวจิน, เสี่ยวหลิงและสี่พี่น้องที่ไม่สนใจเรื่องการแบ่งที่ดิน พวกเขากลับไปทันทีที่การเจรจาจบลง

โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งมีความต้องการเยอะมาก ดินแดนที่พวกเขาต้องการนั้นมากเกินไป เราจะยกที่ดินเหล่านี้ให้พวกเขาง่าย ๆ ได้อย่างไร ? นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกเรา กุ่ยไห่ยี่เต๋าพูดอย่างไม่พอใจ

การเจราเกี่ยวกับดินแดนไม่อาจสรุปได้ในหนึ่งหรือสองวัน ในความคิดของข้า เราควรจะปล่อยเรื่องนี้ไป เมื่อเจี้ยนเฉินออกมาจากการบ่มเพาะ เราจะขอความคิดเห็นของเขา ท้ายที่สุดหากไม่ใช่เพราะเจี้ยนเฉินที่ความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับจิตวิญญาณราชันย์ เราก็ไม่มีแม้แต่สิทธิในการเจรจา เทพเจ้าแห่งท้องทะเลกล่าว

เอาล่ะ เราต้องเลื่อนเรื่องนี้ไปก่อน เราจะรอหลานชายของข้าออกมา ท้ายที่สุดเขามีอำนาจมากที่สุดในหมู่ของพวกเรา หยางลี่หัวเราะน้อย ๆ เมื่อใดก็ตามที่เขาพูดถึงหลานชายของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะภาคภูมิใจ

หยางลี่ เจ้าไม่ต้องบอกหรอกว่าเจี้ยนเฉินเป็นหลายชายของเจ้า อย่าขี้อวดเกินไปนัก กุ่ยไห่ยี่เต๋าสบถติดตลก เขาอิจฉาหยางลี่ไม่ได้ที่มีทายาทที่น่าประทับใจ

เมฆสีแดงเลือดขนาดใหญ่ยังคงอยู่ในอวกาศโดยไม่เคลื่อนที่ไปไหน เจี้ยนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในเพื่อรวบรวมพลังจากก้อนเมฆทุกทิศทาง ทำให้สภาพรอบ ๆ เจี้ยนเฉินนั้นกลายเป็นหมอกสีแดงเลือดที่เข้มพอที่จะสีดำ มันเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางรูขุมขนและลมหายใจ

หลังจากเข้าไปในร่างกายของเจี้ยนเฉิน หมอกสีแดงก็เปลี่ยนกลายเป็นพลังบรรพกาลอย่างรวดเร็ว เจี้ยนเฉินเห็นว่ามันเร็วกว่าการหลอมพลังก่อนหน้านี้อย่างมาก

เม็ดพลังบรรพกาลของเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้เล็กเหมือนกับเมื่อก่อน เขาทะลวงจากขั้น 4 ไปขั้น 8 ขณะที่ดูดซับพลังของเมฆอย่างรวดเร็ว มันค่อย ๆ เติบโตอย่างช้า ๆ แม้ว่ามันจะเติบโตอย่างช้า ๆ แต่ความก้าวหน้าของเขานั้นก็แทบจะทะลวงไปขั้นที่ 9 ของร่างบรรพกาลได้

ข้าอาจมีหวังที่จะทะลวงไปขั้นเก้าของร่างบรรพกาลที่นี่ เมื่อข้าทะลวงมาขั้นที่ 8 การบ่มเพาะของข้าก็เข้าถึงขั้นรับมอบเป็นขั้นแลกเปลี่ยนช่วงต้น ถ้าร่างบรรพกาลของข้าทะลวงไปถึงขั้นที่ 9 ข้าสงสัยว่าการบ่มเพาะของข้าจะไปถึงขั้นไหน มันจะเป็นขั้นแลกเปลี่ยนช่วงปลายหรือทะลวงไปถึงขอบเขตเทพ

ร่างบรรพกาลขั้นที่ 8 นั้นมีพลังต่อสู้เทียบเท่ากับขอบเขตเทพให้กับเขา แต่นั้นเป็นพลังการต่อสู้ ขั้นพลังของเขายังคงอยู่แค่ขั้นแลกเปลี่ยนช่วงต้น อย่างไรก็ตาม หากระดับการบ่มเพาะของเขาทะลวงไปถึงขอบเขตเทพ พลังการต่อสู้ของเขาจะไปถึงระดับใด ?

ถ้าเช่นนั้นข้าจะปล่อยให้การเจรจาเกี่ยวกับดินแดนของสองโลกไว้ก่อน ข้าจะมุ่นมั่นกับการบ่มเพาะเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งที่นี่ เมื่อข้าดูดซับแก่นแท้ของเมฆหมดหรือเมื่อร่างบรรพกาลของข้าไปถึงขั้นที่ 9 ข้าจะออกจากการบ่มเพาะ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างกลัวซึ่งกันและกันและด้วยการที่ซ่างกวนมู่เอ๋อยังมองพวกเขาอยู่ ข้าก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เจี้ยนเฉินคิดแม้ว่าเขาจะบ่มเพาะที่นี่ เขาก็ยังคงให้ความสนใจกับทวีปเทียนหยวนตลอดเวลา เขาเพียงแต่แผ่พลังวิญญาณของเขาและเขาก็ห่อหุ้มโลกทั้งใบ เขารู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการเจรจา จิตวิญญาณของเขายังขยายไปถึงโถงศักดิสิทธิ์ทองคำที่อยู่ในทุ่งน้ำแข็งาและเขาก็ได้ยินคำพูดของเฉียงซ่งและคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน