ผ่านไปครึ่งเดือน

หลินสวินตื่นจากสมาธิ แววตากระจ่างใสสงบ

ยามนี้เขาคุ้นเคยและควบคุมพลังของระดับมกุฎอริยะได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และรู้ชัดแล้วว่าการเสาะหาอริยมรรคในแต่ละก้าวยากลำบากเพียงใด

เพียรบำเพ็ญฝึกหนักคือพื้นฐาน แต่ยังต้องหยั่งรู้และฝึกประสบการณ์มากมาย ถ้าอาศัยแค่การปิดด่านต้องได้หยุดอยู่กับที่แน่

นอกจากนี้การฝึกมรรคาทั้งสามสายอย่างหลอมปราณ หลอมจิต หลอมกาย ยังต้องใช้เวลาและสมาธิอย่างมากในการหยั่งรู้พลังมหามรรค รวมทั้งเคี่ยวกรำพลังยุทธ์

ตอนนี้พลังปราณของหลินสวินอยู่ในระดับอริยะแท้ พูดได้แค่ว่ามรรควิถียังเสถียรอยู่ในขั้นต้นสมบูรณ์ ยังห่างจากระดับอริยะแท้ขั้นกลางอยู่มาก

ทว่า ‘ภูเขามรรคต้นกำเนิด’ ของเขานั้นมั่นคงและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาแทบไม่มีใครทัดเทียมได้ในระดับนี้

แน่นอนว่านี่เป็นแค่พลังปราณ

ความสูงต่ำของพลังต่อสู้ในระดับอริยะยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังมหามรรค พลังยุทธ์ รวมถึงสมบัติที่ตนครอบครองด้วยอย่างมาก

ยามนี้หลินสวินได้สัมผัสธรณีประตูแห่งการสร้างวิชาอริยะของตน หยั่งถึงนัยเร้นลับของ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์’ แล้ว

คำว่าไร้คู่ต่อกรในระดับมกุฎอริยะแท้ คงเป็นจริงในไม่ช้า!

‘เจ้าเฒ่า สมบัติของข้าหลอมไปถึงไหนแล้ว’

หลินสวินขับเคลื่อนความคิด กิ่งไม้เขียวขจีกิ่งหนึ่งปรากฏออกมา จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็สาดประกาย เปลี่ยนเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่กิ่งใบแน่นหนา ลำต้นแข็งแกร่งเปี่ยมพลังต้นหนึ่ง

เป็นต้นบรรพชนหลอมจิตต้นนั้นที่ถูกหลินสวินนำออกมาจากแดนลับวังใต้ดิน

“เหลือแค่ขั้นสุดท้าย”

ต้นบรรพชนหลอมจิตกล่าวรวดเร็ว ขณะกล่าวมันสะบัดกิ่งใบดังฟุ่บ ดาบหักที่ขาวกระจ่างดุจหิมะพุ่งออกมา

“แม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าสมบัตินี่จะน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นศาสตราจิตอื่น ด้วยพลังของข้าคงสามารถหลอมพวกมันได้ถึงขั้นสมบูรณ์ขีดสุด แต่สมบัตินี่กลับเหมือนหลุมลึกไร้สิ้นสุด ครึ่งปีมานี้ยังผลาญพลังต้นกำเนิดของข้าไปไม่รู้เท่าไร”

พูดถึงตอนท้ายสุดต้นบรรพชนหลอมจิตก็ทำท่าเจ็บปวด บ่นพล่ามเยอะแยะ

“เจ้าหนุ่ม ตอนนี้พลังแรกกำเนิดของข้าบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องใช้สมบัติจากธรรมชาติบางส่วนมาซ่อมเสริม ดินปราณแรกกำเนิดเอย ดินวิญญาณห้าสีเอย ทรายดาราขุ่นใสเอย… ล้วนได้ทั้งนั้น”

“ภายหน้าต้องตอบแทนเจ้าแน่”

หลินสวินพูดลอยๆ พอเป็นพิธีแล้วนำดาบหักมาตรวจดู

ครึ่งปีก่อนตอนที่ตัดสินใจสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นมาใหม่ หลินสวินได้ฝากดาบหักให้ต้นบรรพชนหลอมจิตต้นนี้ฟูมฟักหล่อหลอม

ตอนนั้นที่โรมรันกับทัพใหญ่เจ็ดดินแดน สาเหตุที่หลินสวินใช้กระบี่ยอดสังหาร ก็ด้วยตอนนั้นดาบหักยังอยู่ในการบำรุงฟูมฟัก

“ไม่เลวๆ”

ไม่นานหลินสวินก็เผยแววประหลาดใจกล่าวชื่นชม

ผ่านการหล่อหลอมมาครึ่งปี เห็นได้ชัดว่าดาบหักเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก ประกายคมของมันซุ่มซ่อน แสงประกายสะสมอยู่ภายใน ดูแล้วไม่เหมือนภาพมายาหรืองามแปลกตาดังแต่ก่อน กลับเป็นว่ามีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่เร้นลับอย่างหนึ่ง

“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ของวิเศษย่อมเร้นลับ’ ความเป็นมาของสมบัตินี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”

ต้นบรรพชนหลอมจิตสอดปากอยู่ข้างๆ “ตอนนั้นข้าเคยติดตามมหาจักรพรรดิแยกฟ้าท่องเหนือล่องใต้ตระเวนไปทั่ว เจอสมบัติไร้เทียมทานมาไม่รู้เท่าไร แต่ยังไม่เคยเจอดาบที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน น่าเสียดายที่มันบกพร่อง ยากจินตนาการนักว่ายามที่มันสมบูรณ์อานุภาพจะแข็งแกร่งแค่ไหน”

“แต่ก็เคราะห์ดีที่ดาบนี้บกพร่อง จึงทำให้เจ้ากำราบมันและหลอมเป็นสมบัติบริสุทธิ์ของตนได้ มิฉะนั้นด้วยพลังระดับมกุฎอริยะของเจ้าแล้ว คงไม่อาจนำมันมาสร้างประโยชน์ให้ตัวเจ้าได้แน่!”

หลินสวินเหลือบมองต้นไม้เก่าแก่ ‘พูดมาก’ ต้นนี้เล็กน้อย ในใจอดตื่นตะลึงไม่ได้

ต้องรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นดาบหักหรือหนอนกินเทพเสี่ยวอิ๋น หรือแม้แต่น้ำเต้าหลอมวิญญาณที่ผนึกด้วยโลหิตม่วงหยดหนึ่ง รวมถึงเขาราหู ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขาได้มาจาก ‘แดนวิญญาณโบราณ’ ทั้งสิ้น

และแดนวิญญาณโบราณ…

จนถึงวันนี้หลินสวินก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าโลกแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่

ด้วยตอนนั้นเขาทะลวงด่านในห้องโถงมรรคาสวรรค์ ถูกเคลื่อนย้ายไปใน ‘แดนวิญญาณโบราณ’ นั่น!

“เจ้าดู บนดาบนี้ประทับลายมรรคลึกลับสามอย่าง รวมกันเป็น ‘ปฐม’ ‘ยอด’ ‘สังหาร’ สามคำ”

ต้นบรรพชนหลอมจิตกล่าวรวดเร็ว “แต่เห็นชัดว่ามันไม่สมบูรณ์ น่าจะยังมีคำสุดท้ายที่ไม่ได้ปรากฏออกมา และนอกเสียจากว่าเจ้าจะเสาะหาส่วนที่ขาดหายไปของดาบหักนี้พบ มิฉะนั้นตัวอักษรสุดท้ายนี้คงไม่มีทางปรากฏขึ้นแน่”

หลินสวินก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาเองสังเกตเห็นปัญหานี้นานแล้ว

เขาเอ่ยถาม “เจ้าว่าด้วยพลังของข้าจะฟื้นฟูดาบหักได้หรือไม่”

“ไม่มีทาง”

ต้นบรรพชนหลอมจิตกล่าวโดยไม่ลังเล “สมบัติหายากที่เห็นได้น้อยครั้งเช่นนี้เกี่ยวข้องกับพลังมรดก ไม่อาจใช้วัตถุดิบอื่นมาแทนได้อย่างสิ้นเชิง”

“แต่ถ้าเจ้าใช้พลังอริยมรรคของตนมาบำรุงรักษา สมบัตินี้ก็พอจะเปลี่ยนเป็นศาสตราอริยะบริสุทธิ์ให้เจ้าใช้งานได้”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ เก็บดาบหักลงไป ฟูมฟักไว้ใน ‘ถ้ำผสาน’ ภายในร่าง

เมื่อสัมผัสเล็กน้อย กลิ่นอายทั้งหมดที่ดาบหักมีตอนนี้ก็ผุดขึ้นในใจ ทำให้หลินสวินอดรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่ได้

เขามีลางสังหรณ์เด่นชัดอย่างหนึ่งว่าขาดแค่จุดเปลี่ยนเดียว ดาบหักก็จะเปลี่ยนเป็นศาสตราอริยะบริสุทธิ์ของตนได้!

“ว่าไปแล้ว ข้ายังไม่รู้เลยว่าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร”

หลินสวินเงยหน้ามองต้นบรรพชนหลอมจิต

เวลานี้ต้นบรรพชนหลอมจิตมีความรู้สึกว่าน้ำตาจะนองหน้า เจ้าหนูอย่างเจ้านี่จะไม่ใส่ใจข้าเกินไปแล้วกระมัง

มันใช้เสียงเคร่งขรึมกล่าวจริงจัง “จำไว้ ข้ามีชื่อว่า ‘เสินซวี’ เป็นชื่อที่มหาจักรพรรดิแยกฟ้าตั้งให้ด้วยตัวเอง!”

“เสินซวี?”

หลินสวินชะงัก มุมปากกระตุกกล่าวชื่นชม “ชื่อนี้ต้องเด่นดังแน่ ร้ายกาจ”

เสินซวีกล่าวภาคภูมิ “แน่นอน นี่เป็นถึงชื่อที่จักรพรรดิตั้งให้!”

หลินสวินยิ้มกล่าว “ต่อไปเจ้าติดตามข้า ต้องไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่ หากไม่ผิดจากที่คาด ภายหน้าข้าจะไปแหล่งสถานคุนหลุนสักรอบ ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีทั้งไม้มหาอุดม แกนดินเร้นปราณ น้ำแท้ต้นกำเนิด…”

เมื่อหลินสวินเอ่ยชื่อสมบัติจากธรรมชาติออกมาทีละชื่อ น้ำลายของเสินซวีก็เกือบไหลออกมา รีบร้อนกล่าว “น้องชาย เจ้าต้องพาข้าไปด้วยนะ!”

“แน่นอน!”

หลินสวินรับคำอย่างยินดี

ต้นบรรพชนหลอมจิตที่ชื่อว่าเสินซวีนี่ เห็นชัดว่าความเป็นมาไม่ธรรมดา เดิมก็เป็นต้นไม้เทพที่ยากจะได้เห็นต้นหนึ่ง ถ้าเก็บไว้ข้างกายได้ก็ไม่เลว

ไม่ทันไรหลินสวินก็ผลักประตูออกมา

ในเมืองอารักษ์มรรคตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน ท้องถนนกว้างขวาง การคมนาคมเชื่อมต่อทั่วถึง สิ่งปลูกสร้างมากมายผุดขึ้นเรียงรายเป็นระเบียบ

บนท้องถนนผู้คนสัญจรคลาคล่ำ ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ ไม่ว่าชายหญิงเด็กแก่ ไม่ว่าระดับปราณสูงหรือต่ำ บนหน้าทุกคนล้วนเจือรอยยิ้มผ่อนคลายที่มาจากใจ

ถึงขั้นหลายแห่งยังปรากฏโรงน้ำชาและหอสุราแล้ว!

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง หลินสวินคงแคลงใจว่านี่ไม่ได้อยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดน หากแต่อยู่ในตัวเมืองที่สงบสุขและคึกคักแห่งหนึ่ง

แต่เมื่อคิดดูแล้วหลินสวินก็เข้าใจ เหล่าผู้ฝึกปราณในเมืองคนที่อ่อนแอที่สุดล้วนมีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ แค่สร้างสิ่งปลูกสร้างในเมืองแห่งหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่เปลืองแรงอะไรเป็นธรรมดา

“พี่หลิน!”

“คุณชายหลิน!”

“ผู้อาวุโสหลิน”

ตลอดทางขอแค่เป็นสถานที่ที่หลินสวินปรากฏตัว ก็ต้องได้รับคำทักทายที่เจือเสียงเคารพ เลื่อมใสและเร่าร้อนมากมาย

คนที่เคร่งครัดบางส่วนถึงขั้นเรียกหลินสวินว่า ‘ผู้อาวุโส’!

ดังคำกล่าวที่ว่าผู้บรรลุย่อมเป็นครูได้ หลินสวินในตอนนี้ก้าวสู่ระดับมกุฎอริยะแล้ว แค่กล่าวถึงพลังปราณก็ถูกเรียกด้วยความยกย่องว่าผู้อาวุโสได้แล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าด้วยพลังของเขาคนเดียวสามารถสร้างเมืองอารักษ์มรรคได้สำเร็จราวปาฏิหาริย์ มอบสถานที่ปลอดภัยกั้นลมฝนแห่งหนึ่งให้กับผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณได้ นี่จะไม่ให้คนเคารพได้อย่างไร

ไม่นานหลินสวินก็ได้เบาะแสของพวกเซ่าเฮ่าและรั่วอู่ ขณะกำลังจะจากไปก็ได้ยินเสียงทะเลาะหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล

“ฮึ มีสิทธิ์อะไรมาให้พวกเราเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนม ไปสืบข่าวศัตรูยังโลกภายนอก”

บนท้องถนนที่ห่างออกไป ชายชราชุดดำคนหนึ่งสีหน้าเย็นชา “คิดจะให้ผู้แข็งแกร่งของเผ่าข้าไปหาที่ตายรึ ไม่มีทาง วันนี้ข้าจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่า พวกข้าไม่มีทางรับปากเรื่องนี้แน่!”

ใกล้ๆ ล้อมรอบด้วยผู้แข็งแกร่งมากมาย ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากแต่ละขุมอำนาจของดินแดนรกร้างโบราณ ทั้งหมดกำลังดูเรื่องสนุก

ชายชราชุดดำนั่นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอริยะแท้คนหนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ชื่อว่าโก่วเทียนฉี

“โก่วเทียนฉี ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ และทุกคนต่างรู้ว่าสิ่งที่พวกเจ้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬชำนาญที่สุดก็คือสืบข่าวศัตรู นายน้อยตระกูลข้าเตรียมการเช่นนี้ก็ไม่ผิด”

ตรงหน้าโก่วเทียนฉี หญิงสาวหน้าตาพริ้งเพราโดดเด่น บุคลิกนุ่มนวลคนหนึ่งกล่าวราบเรียบ

หวั่นอิน!

หลินสวินมองปราดเดียวก็จำได้ ผู้หญิงคนนี้คือสาวใช้คนหนึ่งที่ติดตามข้างกายเซ่าเฮ่า ตอนนั้นที่แดนมกุฎ นางอยู่ข้างกายเซ่าเฮ่าอย่างถวายชีวิตพร้อมกับพวกเหยาหลี อวี๋ซีและไป๋เฉียน

“อย่าพูดมาก!”

โก่วเทียนฉีสีหน้าขรึมทันที ยิ้มเย็นกล่าว “คิดรนหาที่ตายรึ ได้ ให้เซ่าเฮ่าไปหาที่ตายด้วยตัวเองสิ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของข้าไม่เอาด้วยแน่!”

“เจ้า…”

หวั่นอินอดโกรธไม่ได้

โก่วเทียนฉีกล่าวยิ้มเล็กน้อย “นางหนูน้อย จำไว้ พวกเราเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก็เป็นส่วนหนึ่งของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ เรื่องในค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณนี้ไม่ใช่เขาเซ่าเฮ่าที่เป็นใหญ่!”

“โก่วเทียนฉี!”

หวั่นอินแววตาเยียบเย็น

โก่วเทียนฉีมุ่นคิ้วกล่าว “นางหนูน้อย หากอยู่ที่ดินแดนรกร้างโบราณแล้วเจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับข้าคงได้ตายไปนานแล้ว ต่อให้เซ่าเฮ่ามาเขาก็ไม่กล้าใช้อิทธิพลรังแกคนอื่น!”

ในฝูงชนที่ดูเรื่องสนุกโดยรอบ คนไม่น้อยต่างส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา ส่วนใหญ่เป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ที่คบค้ากับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ

หวั่นอินสูดหายใจลึก สีหน้ากลับสู่ความสงบ “เจ้าระวังตัวให้ดี!”

“หึๆ”

โก่วเทียนฉีสีหน้าหยามเหยียด ไม่เห็นการข่มขู่นี้อยู่ในสายตา เขาเซ่าเฮ่าแข็งแกร่งก็ส่วนแข็งแกร่ง แต่มีหรือจะกล้าฆ่าคนในเมือง

ไม่กลัวก่อให้เกิดการต่อต้านจากผู้แข็งแกร่งทุกคนในค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณหรือไร

“เจ้าหมาแก่ เจ้าหัวเราะชอบใจเหลือเกินนะ”

ทันใดนั้นข้างหูโก่วเทียนฉีมีเสียงเฉยชาหนึ่งดังขึ้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มสวมชุดสีขาวพระจันทร์คนหนึ่ง สองมือไพล่หลังเดินมาจากจุดที่ห่างออกไป

ผู้คนโดยรอบต่างชะงัก แต่เมื่อรู้ฐานะของชายหนุ่มคนนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เงียบกริบดั่งจักจั่นเดือนหนาว ทิ้งระยะห่างออกจากตัวโก่วเทียนฉี

เมื่อได้ยินคำเรียกที่เปี่ยมความหยามเหยียดอย่าง ‘เจ้าหมาแก่’ ตอนแรกโก่วเทียนฉีก็เดือดดาล ไอสังหารในดวงตาส่องประกาย ใบหน้าชรามืดทะมึน

แต่เมื่อรู้ฐานะของคนพูด เขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัวทันที สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ท่าทางเหมือนถูกทำให้ตื่นตระหนก

บรรยากาศในพื้นที่ใกล้เคียง ยามนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมา

…………………….