โก่วเทียนฉีคือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในเมืองอารักษ์มรรคเมื่อไม่นานมานี้ ย่อมเคยได้ยินเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับหลินสวินมาก่อนเป็นธรรมดา

เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะปรากฏตัวในช่วงสำคัญเช่นนี้!

นี่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนอย่างอดไม่ได้ นานพอควรเขาจึงสูดหายใจลึกกล่าวเย็นชา “หลินสวิน ที่แท้ก็เป็นเจ้า เห็นแก่ที่เจ้าสร้างเมืองอารักษ์มรรคได้สำเร็จ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจว่าที่นี่คือสมรภูมิเก้าดินแดน ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีความแค้นเก่าฝังลึกหรือไม่ วันนี้พวกเราก็ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน แน่นอนว่าต้องร่วมกันต่อต้านศึกภายนอก เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

ทุกคนที่รายล้อมต่างไม่วายรังเกียจอยู่ในใจ เจ้าเฒ่านี่เปลี่ยนสีหน้าเร็วจริงๆ!

หลินสวินพยักหน้า “ความแค้นเก่าฝังลึกก่อนหน้านี้ ข้าย่อมไม่เอาความตอนนี้แน่”

วาจานี้ทำให้โก่วเทียนฉีลอบโล่งอก แต่ประโยคต่อมาของหลินสวินกลับทำให้เขาพลันหน้าถอดสี

“เพียงแต่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณไม่เก็บขยะไว้”

ประโยคแผ่วเบาประโยคเดียวทำให้หน้าของโก่วเทียนฉีอึดอัดจนแดงก่ำ ควบคุมความโกรธภายในใจอย่างเต็มที่กล่าว “คุยไม่ถูกคอครึ่งคำก็มากเกิน ขอลา!”

พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจะจากไป

กลับเห็นหลินสวินกล่าวราบเรียบ “หากเจ้ากล้าจากไป นับจากวันนี้ขอเพียงเป็นพวกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ล้วนไม่อาจเหยียบเข้ามาในเมืองนี้อีก”

โก่วเทียนฉีพลันร่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นราวกับถูกฟ้าผ่า

หากเป็นก่อนหน้านี้ ยามเผชิญหน้ากับการข่มขู่เช่นนี้เขาคงไม่ยี่หระ แต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าไม่ให้ความสำคัญ

อย่างน้อยในเมืองอารักษ์มรรคนี้หลินสวินก็มีอำนาจเด็ดขาด แค่ประโยคเดียวก็พอจะตัดสินชะตาของพวกเขาเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแล้ว!

“หลินสวิน นี่เจ้ากำลังใช้อำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัวไม่ใช่หรือ”

โก่วเทียนฉีหน้าเขียว กล่าวเน้นทีละคำ

เพี๊ยะ!

หลินสวินเงื้อมือฟาดผ่านอากาศ ตบโก่วเทียนฉีจนจมูกปากกบเลือด กระเด็นออกไปอย่างหนักหน่วง ใบหน้าชราบวมเป่ง

ทุกคนที่อยู่ใกล้ต่างเงียบกริบเหมือนจักจั่นเดือนหนาว

กลับเห็นหลินสวินก้าวไปข้างหน้า ก้มมองโก่วเทียนฉีแล้วกล่าวเฉยชา “เมืองนี้ข้าเป็นคนสร้าง กฎเกณฑ์ทุกอย่างแน่นอนว่าข้าเป็นใหญ่ ใช้อำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัวแล้วอย่างไร เจ้าจะกัดข้ารึ”

โก่วเทียนฉีโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ขบฟันแน่นกรอดกล่าวข่มขู่ “เจ้าอาละวาดเหิมเกริมเช่นนี้ ไม่กลัวทำให้ผู้ร่วมวิถีทั้งหมดของดินแดนรกร้างโบราณหวั่นใจหรือ”

“ถุ้ย! เจ้าหมาแก่นี่หน้าด้านถึงที่สุดจริงๆ หากไม่มีคุณชายหลินไหนเลยจะมีเมืองนี้ ให้พวกเจ้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเข้าเมืองก็เมตตาพอแล้ว พวกเจ้ากลับไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ช่างไม่มีคราบความเป็นคนจริงๆ!”

ไม่รอหลินสวินเอ่ยปาก ก็มีคนทนไม่ไหวตวาดด่าดังลั่นก่อนแล้ว

“ใช่ ไอ้แก่นี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว ถ้าข้าเป็นคุณชายหลินต้องฆ่าเขาเป็นคนแรกแน่!”

“ไอ้แก่ รีบไสหัวไปเถอะ เมืองอารักษ์มรรคไม่ต้อนรับพวกเจ้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!”

พื้นที่ใกล้เคียงพลันมีเสียงด่าดังขึ้นทันที มีท่าทีดั่งว่าฝูงชนจะปลุกระดมกันด่าว่ากล่าวหา

เพียงพริบตาโก่วเทียนฉีก็อึ้งงันไปทั้งอย่างนั้น ทั้งคับแค้นอับอาย ทั้งตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าจะเอาใบหน้าชราไปไว้ที่ไหน

ในดินแดนรกร้างโบราณ เขาเป็นถึงอริยะแท้ที่น่าเกรงขาม เดินไปที่ไหนล้วนได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้คน แต่ตอนนี้กลับถูกผู้คนร้องด่ารุมตีเหมือนหนูข้ามถนน!

“เจ้าหมาแก่ ระวังตัวให้ดี”

หลินสวินคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่าย ยกเท้าจากไป

หวั่นอินรีบตามไป ในใจรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูกกล่าว “คุณชายหลิน ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากที่ยึดมั่นคุณธรรมให้ความช่วยเหลือ”

หลินสวินโบกมือกล่าว “หากเปลี่ยนเป็นเซ่าเฮ่าก็ย่อมไม่อาจทนเห็นเขาโอหังเช่นกัน”

“เฮ้อ นายน้อยตระกูลข้าเมตตามากเกินไป เมืองอารักษ์มรรคยามนี้มีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณอยู่รวมกันแสนกว่าคนแล้ว พอป่าใหญ่ขึ้นนกอะไรก็ล้วนมี หลายวันมานี้มีพวกที่เหมือนเจ้าหมาแก่นั่นไม่รู้เท่าไร ไม่เพียงแต่ชุบมือเปิบ ยังไม่ยอมออกแรงอีก”

หวั่นอินทอดถอนใจ “ถึงขั้นมีผู้แข็งแกร่งของขุมอำนาจไม่น้อยลอบสมคบกัน ปฏิเสธการเคลื่อนพลและคำสั่งทุกอย่างแล้ว”

“ท่านก็รู้ พวกเราเป็นค่ายทัพหนึ่ง แต่หากทุกคนทำตามใจตัวเอง ไม่เชื่อฟังการจัดระบบและเคลื่อนพล รู้จักแต่ชุบมือเปิบ เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการแตกสามัคคี”

ในดวงตาดำของหลินสวินฉายแววเยียบเย็นกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”

ไม่นานหลินสวินก็มาเจอเซ่าเฮ่าและรั่วอู่ในคฤหาสน์โอ่โถงหลังหนึ่ง

ทั้งสองคนเหมือนกำลังคุยอะไรกันอยู่ หลังจากเห็นหลินสวินก็นัยน์ตาเป็นประกายพร้อมกัน กล่าวว่า “ในที่สุดคนเคาะกรับตัดสินก็มาแล้ว”

หลินสวินชะงัก ก็เห็นรั่วอู่ยิ้มกล่าว “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ในเมืองมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่น้อย ยังดีที่ทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม”

เซ่าเฮ่าก็ยิ้มกล่าว “ตอนนี้ขาดแค่เจ้ามาตัดสินใจแล้ว”

หลินสวินสงสัยยิ่งกว่าเดิม “ตัดสินใจอะไร”

“ช่วงนี้ในเมืองมีพวกนอกลู่นอกทางปรากฏตัวไม่น้อย อย่างเช่นเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เป็นต้น ข้ากับแม่นางรั่วอู่จับตามองพวกเขาไว้แล้ว ขอแค่เจ้าออกคำสั่ง คนพวกนี้ก็จะถูกจัดเตรียมไปประจำการยังสถานที่ซึ่งอันตรายที่สุด”

เซ่าเฮ่ากล่าวเสียงละมุนละม่อม แต่ความเยียบเย็นในคำพูดกลับมีไอสังหารแผ่ซ่าน

“ที่แท้พวกเจ้าก็วางแผนไว้หมดแล้ว กำลังตกปลากันมาตลอดอย่างนั้นหรือ”

หลินสวินเข้าใจได้รางๆ

รั่วอู่กล่าวยิ้มน้อยๆ “ศึกภายในต้องสงบก่อนค่อยรับมือศึกภายนอก ปัญหาภายในไม่กำจัด ภายหน้าดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับศัตรูแปดดินแดนเล่า”

หลินสวินใคร่ครวญ “ถ้าพวกนอกลู่นอกทางนั่นปฏิเสธที่จะส่งคนไปล่ะ”

เนตรดาราของรั่วอู่ฉายแววเยียบเย็นทันที “ฆ่าหนึ่งเพื่อเตือนร้อย! ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนรกร้างโบราณ ใครขัดคำสั่งไม่ส่งกำลังคน ก็ถือว่าเป็นศัตรูกับค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของพวกเรา ฆ่าทิ้งซะก็จบ”

ในใจหลินสวินผ่อนคลายลงไม่น้อยทันที ตลอดทางมานี้เขาเองก็ใคร่ครวญว่าควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ไม่คิดเลยว่ารั่วอู่และเซ่าเฮ่าจะวางมาตรการทั้งหมดไว้แล้ว

เขายิ้มกล่าว “เรื่องแค่นี้พวกเจ้าจัดการก็ได้แล้ว ทำไมต้องรอข้ามาตัดสินใจด้วย”

รั่วอู่กลอกตาใส่ “ตอนนี้ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณยอมรับคำสั่งของเจ้าแค่คนเดียว เจ้าเป็นถึงบุคคลระดับผู้นำที่พวกเขาทุกคนต่างยอมรับ หากพวกข้าตัดสินใจคงไม่อาจทำให้ผู้คนเชื่อมั่นได้ทั้งหมด”

หลินสวินยิ้มขื่น “ผู้นำรึ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่เลย”

แต่สุดท้ายหลินสวินก็ตกปากรับคำอย่างยินดี

วันนั้นคลื่นลมหนึ่งเปิดฉากขึ้นในเมืองอารักษ์มรรค ภายใต้การชี้นำของเซ่าเฮ่าและรั่วอู่

สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของหลินสวินคือ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬถึงกับเปลี่ยนท่าทีก่อนหน้านี้ มาร่วมมือด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องการส่งกำลังคนใดๆ ก็ล้วนตกปากรับคำโดยไม่ลังเล

เห็นชัดว่าหลังจากที่โก่วเทียนฉีนั่นถูกหลินสวินสั่งสอนไปยกหนึ่ง ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดแปลกเลยเปลี่ยนท่าที

แน่นอนว่าย่อมมีผู้แข็งแกร่งบางส่วนที่ยังปฏิเสธไม่ยอมส่งคนเหมือนเดิม ส่วนใหญ่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากสำนักโบราณบางส่วน อวดตัวว่าสูงส่งเหนือคนอื่น ไม่เห็นคำสั่งของหลินสวินอยู่ในสายตา

เพียงแต่พลบค่ำวันนั้น หลังจากเซ่าเฮ่าออกพิฆาตพวกที่แน่ใจแล้วว่าเป็น ‘ตัวปัญหา’ สิบกว่าคนด้วยตัวเอง เสียงนอกลู่นอกทางพวกนั้นก็หายไปทันที

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเชือดไก่ให้ลิงดู ฟาดภูเขาขู่พยัคฆ์

จากนั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ประพฤติตัวนอกลู่นอกทางมาตลอดในช่วงนี้ ก็ถูกเตรียมให้ไปปฏิบัติภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงบางส่วน อย่างการสอดแนม สืบข่าว ลาดตระเวนโลกรกร้างโบราณเป็นต้น…

ต่อให้พวกเขาไม่พอใจแค่ไหน ก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี

ขอแค่ไม่โง่ก็ย่อมมองออก ว่าในเมืองอารักษ์มรรคนี้มีหลินสวิน เซ่าเฮ่า รั่วอู่สามคนนั่งบัญชา ใครเป็นศัตรูกับพวกเขาก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว!

บรรยากาศในเมืองอารักษ์มรรคพลันเปลี่ยนไปในชั่วขณะเดียว ไม่ถึงขั้นเคร่งครัดกฎเกณฑ์ แต่หากเป็นการส่งกำลังคนและคำสั่งของเซ่าเฮ่ากับรั่วอู่ ก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านและโต้แย้งอีก

ส่วนหลินสวินนั้นไม่มีอารมณ์มาใส่ใจเรื่องจุกจิกพวกนี้อย่างสิ้นเชิง

วันนั้นเขาทะยานออกไปจากค่าย

ช่วงเวลาก่อนแดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือนยังเหลืออีกประมาณห้าเดือน หลินสวินคิดฉวยโอกาสนี้ไปเสาะหาร่องรอยของจ้าวจิ่งเซวียน!

ตั้งแต่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดออกจนถึงตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวของจ้าวจิ่งเซวียนเลย นี่จะไม่ให้หลินสวินเป็นห่วงได้อย่างไร

ผ่านไปหลายวัน

โลกอสูรดาว บนทุ่งรกร้างแห่งหนึ่ง

ผู้แข็งแกร่งของโลกอสูรดาวกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บวัตถุดิบเทพชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ไม้ม่วงหยินเก้าใบ’ อยู่

ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา สวมชุดสีขาวพระจันทร์ร่างสูงโปร่ง บุคลิกสันโดษปลีกวิเวกเหมือนเทพเซียน

เป็นหลินสวินนี่เอง

“เจ้าเป็นใคร!?”

มีคนตวาดลั่น เผยให้เห็นความหวาดกลัว

“พวกเจ้าเคยเจอคนผู้นี้ไหม”

ปลายนิ้วหลินสวินกรีดวาด ม่านแสงสายหนึ่งปรากฏเป็นเงาร่างงามสง่าของจ้าวจิ่งเซวียน

“ไม่ว่าพวกเราเคยเจอหรือไม่ เรื่องอะไรต้องบอกเจ้าด้วย”

มีคนโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ

หลินสวินเห็นดังนี้ก็ไม่พูดมากอีก เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณอสูรดาวกลุ่มนี้ ไม่มีใครไม่ตายคาที่ในชั่วพริบตา

ฟุ่บ!

จากนั้นเสี่ยวอิ๋นก็พุ่งเข้าไปตรวจสอบในจิตวิญญาณที่เหลือของศพพวกนี้ทีละศพ

ผ่านไปครู่ใหญ่เสี่ยวอิ๋นก็ส่ายหัว “ไม่มีขอรับ”

หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่งแล้วหันหลังจากไป

ผ่านไปครึ่งเดือน

โลกจิ่วหลี

“เจ้าเคยเจอคนผู้นี้ไหม”

ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณจิ่วหลีกลุ่มหนึ่งถูกขวางไว้ หลินสวินยังคงไม่พูดมาก ร่างภาพเหมือนของจ้าวจิ่งเซวียนจากม่านแสงเหมือนเดิมแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา

“ไม่เคย”

คนพวกนี้ถูกกลิ่นอายของหลินสวินทำให้หวั่นหวาดตื่นตระหนก

แต่สุดท้ายยามหลินสวินจากไป พวกเขาก็ถูกสังหารหมดไม่รอดสักคน

หนึ่งเดือน

สองเดือน

ร่องรอยของหลินสวินเริ่มจากโลกอสูรดาว ข้ามเขตต่อเนื่องผ่านโลกจิ่วหลี โลกเพลิงสวรรค์ โลกยอดหยิน…

ด้วยพลังปราณและพลังต่อสู้ของเขาตอนนี้ ทุกหนแห่งที่ก้าวผ่านไม่เคยเผยร่องรอย ผู้แข็งแกร่งที่ถูกเขาซักถามล้วนถูกกำจัดไปทีละคน ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้

ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ต้นจนจบขุมอำนาจของศัตรูต่างดินแดนพวกนี้จึงไม่สังเกตเห็น ว่าหลินสวินที่พวกเขาแค้นจนกัดฟันกรอดและหวาดกลัวเหลือคณา เคยก้าวผ่านอาณาเขตของพวกเขาอย่างเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง!

แต่ตลอดทางมาถึงตอนนี้ หลินสวินกลับไม่ได้อะไรเลย

นี่ทำให้ความกังวลในใจของหลินสวินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่กล้าคิดว่าหากจ้าวจิ่งเซวียนเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เช่นนั้นควรจะทำอย่างไร…

‘จิ่งเซวียน… ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่’

วันนี้บนยอดเขาสูงชันในโลกต้าหลัว หลินสวินก้าวเดินอยู่ระหว่างช่องแคบโกรกธารเพียงลำพัง หัวคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าผิดหวัง

“ใครกัน”

“มีคนหาที่นี่พบด้วยหรือ”

“รีบขวางเขาไว้เร็วเข้า อย่าให้ใครรบกวนการเคลื่อนไหวของนายน้อยเด็ดขาด!”

ทันใดนั้นเสียงตะโกนหนึ่งพลันดังขึ้น ทำให้หลินสวินตื่นจากห้วงคิด

เมื่อเงยหน้ามองออกไป ที่แท้ก็มาถึงหน้าทะเลสาบสีเขียวมรกตแห่งหนึ่งกลางหุบเขาโดยไม่รู้ตัว

ทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตา มีดอกบัวสีฉูดฉาดเหมือนเพลิงลุกโชนเบ่งบานอยู่มากมาย บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบมีบานประตูว่างเปล่าของแดนลับแห่งหนึ่งปรากฏ

ยามนี้กำลังมีเงาร่างมากมายปิดล้อมรอบทะเลสาบผืนนั้น!

…………..