“เจ้าฆ่าข้าสิ ทำไม ไม่กล้าหรือ?” ความเย้ยหยันปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของจ้าวตงหลิว

วินาทีนี้ในที่สุดหลัวซิวก็เข้าใจ เมื่อสักครู่นี้จ้าวตงหลิวจงใจยั่วยุให้ตัวเองลงมือสังหาร เช่นนี้ก็จะสามารถกระตุ้นพลังอมตะที่อยู่ในร่าง ให้สังหารเขาได้

“เจ้าหนุ่ม ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย” ความโกรธเคืองได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลัวซิวเล็กน้อย ผลัวะ ๆ ๆ เสียงตบหน้าได้ดังขึ้นมาติดต่อกันอีกหลายครั้ง ตบจนใบหน้าหล่อเหลาของกลายเป็นเหมือนดั่งหัวหมู

“เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”

“เก่งจริงเจ้าก็ฆ่าข้าสิ เจ้าคนสารเลว!”

จ้าวตงหลิวโวยวาย คำพูดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด แม้ว่าจะลงมือ แต่ก็ไม่ได้คิดสังหาร เพียงแค่อัดจนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนักเท่านั้น

ความจริงแล้วหลัวซิวเองก็กำลังหยั่งเชิงอยู่เช่นกัน พบว่าพลังอมตะที่อยู่ในร่างกายของเขาจะถูกกระตุ้นก็ต่อเมื่อเขามีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น

หลัวซิวลงมืออย่างมีขอบเขต ทำให้จ้าวตงหลิวเจ็บปวดแทบตาย จากนั้นก็ไม่ยโสโอหังอีก แต่ได้เอ่ยปากขอร้องอ้อนวอนแทน

“ปล่อยข้าไปเถอะ เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรข้าล้วนรับปาก……”

จ้าวตงหลิวแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมากที่ได้หาเรื่องดาวร้ายผู้นี้ ถึงขาดที่ว่าได้เกิดเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาในใจ

“ฤทธิ์อมตะชี่รบที่เจ้าแสดงออกมานั้นไม่เลว หากเจ้ายินดีมอบมันออกมาเอง ข้าสามารถพิจารณาปล่อยเจ้าไปได้” หลัวซิวยิ้มกล่าว

“เจ้าฝันไปเถอะ!” จ้าวตงหลิวกัดฟันกล่าว

เขามั่นใจแล้วว่าหลัวซิวจะต้องไม่สังหารตนเองอย่างแน่นอน แม้ว่าจะถูกตีอย่างทรมาน แต่ขอเพียงไม่ตาย รอจนตนถูกส่งออกไป ก็จะมีอาจารย์ของตระกูลจ้าวมาคุ้มครองเอง พอถึงตอนนั้นจะต้องทำให้เจ้าคนนี้รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน

“ดูแล้วเจ้ายังคงไม่ยอมเชื่อฟังสินะ”

หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับเดาความคิดที่อยู่ภายในใจของอีกฝ่ายได้

เห็นเพียงเขายื่นมือออกไปคว้า หิ้วจ้าวตงหลิวเอาไว้ในมืออย่างกับลูกไก่ตัวหนึ่ง ก้าวเท้าเดิน และออกไปจากห้องแห่งนี้

หลังจากที่เดินออกไป ประตูห้องก็ได้ปิดลง ม่านแสงค่ายต้องห้ามที่เปิดออกก็ได้ผสานกลับคืนดังเดิม

จากนั้น หลัวซิวก็ได้เดินไปยังห้อง ม่านแสงเปิดเป็นประตู ประตูใหญ่ได้เปิดออก

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ก็ได้ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของจ้าวตงหลิวเช่นกัน ทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาในทันที ที่ตนสามารถเข้าไปในห้องแห่งนี้ได้นั้น มีสาเหตุมาจากหลัวซิวนี่เอง!

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังรอที่จะถูกส่งออกไป แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่า หากข้าทิ้งเจ้าเอาไว้ในห้องแห่งนี้ จากความสามารถของเจ้าไม่มีทางที่จะออกมาได้ และถ้าหากอยู่ในห้อง ก็จะไม่มีทางที่จะถูกส่งออกไป”

หลัวซิวยิ้มกล่าว รอยยิ้มของเขาเมื่ออยู่ในสายตาของจ้าวตงหลิว เป็นเหมือนดั่งรอยยิ้มของอสูรร้าย

จ้าวตงหลิวเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่หลัวซิวพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่เขาได้เห็นกับตาว่าค่ายต้องห้ามที่อยู่ในสำนักทองเหลืองโบราณแห่งนี้จะไม่ทำร้ายคนผู้นี้ เขามีความรู้สึกแม้กระทั่งว่า สำนักทองเหลืองโบราณที่แม้แต่อาจารย์มกุฎเทพยังหวาดหวั่นไม่กล้าเข้าใกล้ สำหรับคนผู้นี้แล้ว กลับเป็นเหมือนดั่งบ้านของเขาอย่างไรอย่านั้น……

คราวนี้จ้าวตงหลิวกลัวแล้วจริง ๆ เขามั่นใจว่าคนผู้นี้ไม่กล้าสังหารเขา นั่นเป็นเพราะมีพลังอมตะของอาจารย์มกุฎเทพอยู่ในตัวหยั่งรู้

แต่ถ้าหากถูกทิ้งเอาไว้ในสำนักทองเหลืองโบราณโดยที่ไม่สามารถออกไปได้อีกตลอดไป การมีชีวิตเช่นนี้สามารถบีบให้คนเป็นบ้าได้อย่างแน่นอน

สุดท้ายแล้ว จ้าวตงหลิวก็เลือกที่จะอ่อนข้อ ใช้ตัวสำนึกนำเอาฤทธิ์อมตะชี่รบใส่เข้าไปในม้วนหยก

ความจริงแล้วความคิดของจ้าวตงหลิวคือขอเพียงตัวเองสามารถออกไปได้ พอถึงตอนนั้นขอให้อาจารย์มกุฏเทพของตระกูลช่วยลงมือ ต่อให้คนผู้นี้ได้รับฤทธิ์อมตะชี่รบไป คนตายคนหนึ่งก็ไม่สามารถเผยแพร่การสืบทอดของตระกูลจ้าวออกไปได้

การสืบทอด เป็นรากฐานของตระกูลและสำนัก จะถ่ายทอดสู่ภายนอกง่าย ๆ ได้อย่างไร?

พลังอมตะนี้ของตระกูลจ้าว มีชื่อว่าชี่รบสี่พักตร์ สัตว์เทพทั้งสี่ที่สอดคล้องกับชี่รบ คือมังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง เต่าดำ