เย่เฉินคล้องผ้ากันเปื้อนและไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
โดยที่ไม่ได้คิดว่า คนที่โทรมานั้นจะเป็นยัยพริกขี้หนูฉินเอ้าเสวี่ยนจากตระกูลฉิน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ปกติแล้วยัยพริกขี้หนูก็ไม่ค่อยจะโทรมาหานะ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรเข้าให้ล่ะเนี่ย?”
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงรีบรับโทรศัพท์ทันที พร้อมกับเอ่ยปากถามว่า “เอ้าเสวี่ยน โทรหาฉันมีเรื่องอะไร?”
ฉินเอ้าเสวี่ยนพูดอย่างเขินอายว่า “อาจารย์เย่ ไม่รู้ว่าท่านยังจำได้อยู่ไหมคราวก่อนที่ฉันบอกว่าฉันไปลงสมัครการแข่งขันซานดาวิทยาลัยนานาชาติน่ะ?”
เย่เฉินยิ้มพร้อมกับพูดว่า “จำได้แน่นอน รับปากเธอไปแล้วนี่ ว่าจะไปเชียร์เธอใช่ไหมล่ะ?จริงสิ ว่าแต่วันไหนเธอยังไม่บอกฉันเลยนะ”
ฉินเอ้าเสวี่ยนยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “ที่จริงอาจารย์เย่ก็ยังจำได้นี่นา เอ้าเสวี่ยนมีความสุขมากเลย!”
หลังจากนั้น ฉินเอ้าเสวี่ยนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เขินอายมากว่า “อาจารย์เย่ ตอนช่วงสายของวันนี้ ฉันจะเล่นรอบสุดท้ายของรอบคัดเลือก ไม่รู้ว่าท่านพอจะมีเวลามาดูไหม…”
เย่เฉินถามอย่างสงสัย “เล่นรอบคัดเลือกงั้นเหรอ? ระบบการแข่งขันของเธอจัดยังไงกัน?”
ฉินเอ้าเสวี่ยนพูด “เนื่องจากเป็นการแข่งขันระดับวิทยาลัยระดับนานาชาติ จึงมีคนเข้าร่วมมากขึ้นน่ะค่ะ แล้วผู้เข้าแข่งขันก็มีหลายสิบคนเลยที่ระดับน้ำหนักเดียวกับฉัน ดังนั้นเราจึงต้องเล่นรอบคัดเลือกสองสามรอบก่อนค่ะ จากนั้นแปดอันดับแรกก็จะถูกเลือกไป แล้วจากนั้นก็ค่อยเล่นรอบน็อคเอาท์ค่ะ”
เย่เฉินถามด้วยความประหลาดใจ “นี่เล่นจนมาถึงรอบสุดท้ายแล้วงั้นเหรอ?เล่นกันทั้งหมดกี่เกมกันน่ะ?ทำไมไม่เคยได้ยินเธอพูดมาก่อนเลย?”
ฉินเอ้าเสวี่ยนรีบพูด “รอบน็อคเอาท์มีสี่เกมค่ะ ช่วงสายของวันนี้คือเกมสุดท้ายแล้ว ถ้าวันนี้ชนะ ฉันก็จะได้เข้ารอบเป็นแปดทีมสุดท้ายน่ะค่ะ!ที่ไม่ได้บอกกับท่านก่อน เพราะกลัวว่าท่านจะไม่มีเวลามา อีกอย่างพ่อก็บอกกับฉันแล้วด้วยว่าเวลาของท่านมีค่ามาก ไม่อยากให้ไปรบกวน”
เย่เฉินยิ้มและพูดว่า “เด็กผู้หญิงอย่างเธอจะมาเกรงใจอะไรฉันล่ะ?”
หลังจากพูดจบ เย่เฉินก็ยิ้มอย่างเต็มใจและพูดว่า “เอาล่ะ ให้เวลาและที่อยู่มา ฉันจะไปให้กำลังใจเธอช่วงสายๆ!”
“จริงเหรอคะ?!”เมื่อฉินเอ้าเสวี่ยนได้ยินเช่นนี้ ก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก “มันดีมากเลยค่ะอาจารย์เย่!การแข่งขันของฉันตอนประมาณสิบโมงเช้าค่ะ ที่สนามยิมเนเซียมของจินหลิง!ที่สนามมีคนหลายกลุ่มแข่งกันเยอะมากเลย ฉันกลัวว่าท่านจะหาไม่เจอ ถ้าท่านถึงแล้วให้บอกฉัน เดี๋ยวฉันจะให้พ่อไปรับค่ะ!”
เย่เฉินยิ้มและพูดว่า “ไม่มีปัญหาเลย งั้นก็ตามนี้ ช่วงสายๆฉันจะไปให้ตรงเวลาเลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่เฉินก็มีคำถามผุดขึ้นมา จึงถามฉินเอ้าเสวี่ยนอย่างสงสัยว่า “จริงสิเอ้าเสวี่ยนเธอแข่งขันที่กี่กิโลกรัมเหรอ?”
ฉินเอ้าเสวี่ยนรีบพูดว่า “อาจารย์เย่ เอ้าเสวี่ยนลงแข่งของห้าสิบสองกิโลกรัมไปค่ะ”
เย่เฉินได้ยินดังนั้นก็พูดติดตลกว่า “ห้าสิบสองกิโลกรัม มันก็คือหนึ่งร้อยสี่กรัมงั้นสินะ?”
“ใช่แล้ว!”
เย่เฉินหยอกล้อเธออย่างจงใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เคยได้ยินว่าผู้หญิงจะเกินร้อยเลยนะ? สงสัยเธอต้องลดน้ำหนักซะแล้ว”
ฉินเอ้าเสวี่ยนรีบพูดไปว่า “ไม่ใช่สักหน่อย อาจารย์เย่!ระดับการแข่งขันกิโลกรัมของซานดาน่ะ ไม่ได้แบ่งตามน้ำหนักจริงๆหรอกนะคะ อย่างเช่น ตราบใดที่น้ำหนักน้อยกว่าสี่สิบแปดกิโลกรัม ก็จะได้ไปอยู่ในระดับที่สี่สิบแปดกิโลกรัม แต่ถ้าน้ำหนักอยู่ระหว่างสี่สิบแปดถึงห้าสิบสองกิโลกรัมล่ะก็ ก็จะต้องไปอยู่ที่ระดับห้าสิบสองกิโลกรัม ฉัน49.5กิโลกรัม นั่นเท่ากับว่า 99กรัม ยังไม่เกินร้อยสักหน่อยเพียงแต่ว่าโดนไปจัดอยู่ในระดับที่ห้าสิบสองเท่านั้นเอง!ถ้าท่านไม่เชื่อล่ะก็ รอดูเลย เดี๋ยวฉันจะชั่งให้ดูเอง!”
เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันแค่ล้อเล่นกับเธอเอง อย่าโกรธเลย”
ฉินเอ้าเสวี่ยนกล่าวอย่างขยันขันแข็งว่า “ฉันไม่ได้โกรธนะ ฉันแค่กลัวว่าท่านจะมองว่าฉันเป็นคนอ้วน!ฉันสูงหนึ่งเมตรเจ็ดสิบ น้ำหนักบังคับให้อยู่ในเกณฑ์หนึ่งร้อยก็ถือว่าเก่งมากแล้วนะ!เพื่อนฉันบอกว่าฉันหุ่นสมส่วนทั้งนั้น!”
เย่เฉินยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะเอาล่ะเอาล่ะ ยัยพริกขี้หนูฉินเอ้าเสวี่ยนมีหุ่นที่สมส่วน ฉันจะจำเอาไว้”