บทที่ 730.7 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ทางฝั่งของหอบูชากระบี่ เผยเฉียนได้ไปเจอกับสุยโย่วเปียนที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่

ตอนนี้ชุยเหวยเดินทางไปถึงอาณาเขตของขุนเขาใต้แล้ว เจี่ยงชวี่และจางเจียเจินก็ย้ายไปที่ภูเขาลั่วพั่วนานแล้ว ดังนั้นที่นี่จึงเงียบสงบอย่างมาก

สุยโย่วเปียนที่ได้พบหน้าเผยเฉียนก็ให้รู้สึกประหลาดใจเป็นเท่าทวี

นางไม่อาจเอาหญิงสาวที่สีหน้าสุขุมเยือกเย็นตรงหน้าไปจินตนาการเข้ากับแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านที่ฉลาดเจ้าเล่ห์ ขี้เหนียวในปีนั้นได้เลย

และยิ่งไม่อาจเอาแม่นางน้อยที่ถูกคนนอกดึงเส้นเอ็นเล็กน้อยก็เจ็บปวดจนน้ำมูกน้ำตานองหน้ามาคิดเชื่อมโยงเข้ากับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวตรงหน้านี้ได้

แม้จะบอกว่าเคยได้ยินเรื่องเล็กๆ ในการฝึกวรยุทธของเผยเฉียนจากหน่วนซู่และหมี่ลี่มาบ้างแล้ว ยกตัวอย่างเช่นชอบกระโดดหน้าผาอะไรนั่น แต่สุยโย่วเปียนก็ยังไม่กล้าเชื่ออยู่ดี

เผยเฉียนกุมหมัดคารวะ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าพี่หญิงสุย

สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

เผยเฉียนพูดเข้าประเด็นทันที “ข้าจำได้ว่าอาจารย์พ่อเคยให้ท่านยืมกระบี่เล่มหนึ่งใช่ไหม?”

ดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำฤดูใบไม้ร่วงของสุยโย่วเปียนหรี่ลง เอ่ยว่า “หมายความว่าอย่างไร?”

เผยเฉียนยิ้มบางๆ “ถึงอย่างไรพี่หญิงสุยก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีกระบี่แห่งชะตาชีวิต ไม่สู้เอากระบี่ชือซินมาให้ข้ายืมดีกว่า”

เผยเฉียนตบดาบแคบยันต์มงคลที่อยู่ตรงเอว “ห้อยดาบและกระบี่สลับกัน ตอนนี้มีดาบแล้ว ขาดแค่กระบี่เล่มเดียว ไม่นานข้าก็เอามาคืนพี่หญิงสุยแล้ว อย่างมากสุดก็แค่สามปี”

สุยโย่วเปียนส่ายหน้า “ไปหาเอาที่อื่นเถิด ชือซินเล่มนั้นข้าไม่ให้ยืม ให้อาจารย์พ่อของเจ้ามาเอากลับไปเอง”

เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “ใช่ว่าจะเอาไปแล้วไม่คืนสักหน่อย”

สุยโย่วเปียนเลือกที่จะเงียบงันเป็นคำตอบ

เผยเฉียนถามว่า “พี่หญิงสุย รู้หรือไม่ว่าทำไมคนสี่คนในม้วนภาพ ข้าถึงสนิทกับทั้งพ่อครัวเฒ่า เหล่าเว่ยแล้วก็เสี่ยวป๋าย มีเพียงกับท่านที่ความสัมพันธ์ธรรมดาที่สุด?”

สุยโย่วเปียนเริ่มขมวดคิ้ว

เผยเฉียนถามเองตอบเอง “เพราะอาจารย์พ่อของข้าไม่ใช่อาจารย์คนนั้นในใจของท่าน ท่านเองก็อย่าหวังให้วันใดวันหนึ่งอาจารย์พ่อของข้ากลายไปเป็นคนผู้นั้น”

สุยโย่วเปียนเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้าคิดจะถามกระบี่กับหอบูชากระบี่งั้นหรือ?”

เผยเฉียนเอ่ย “มีอะไรไม่ได้เล่า? แค่ประลองฝีมือกันเท่านั้น ไม่ได้จะมีคนตายเสียหน่อย”

จูเหลี่ยนที่ถอนหายใจเฮือกๆ มาปรากฏตัวอยู่ด้านนอกประตูไม้หยาบๆ เขาไม่ได้เข้ามา เพียงแค่เอ่ยว่า “เผยเฉียน อย่าบีบบังคับคนอื่นเช่นนี้ ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ต่อให้ในใจมีความไม่พอใจก็ไม่ควรปล่อยหมัดก่อนจะใช้เหตุผล”

เผยเฉียนไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง “เจ้าคืออาจารย์พ่อของข้าหรือ?”

จูเหลี่ยนบื้อใบ้พูดไม่ออก

ลำบากใจ ลำบากใจจริงๆ

อันที่จริงจูเหลี่ยนรู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้

วิธีการที่เป็นกลยุทธขั้นต่ำที่สุดก็คือออกหมัดขัดขวางเผยเฉียน

กลยุทธขั้นกลางก็คือตนรับหายนะแทนสุยโย่วเปียน โดนตีไม่เอาคืนโดนด่าไม่โต้เถียง จากนั้นไม่แน่ว่าอาจจะถูกทั้งเผยเฉียนและสุยโย่วเปียนซ้อมอีกคนละรอบ

ส่วนกลยุทธชั้นสูง ก็มีอยู่เหมือนกัน

หญิงสาวสวมชุดยาวสีขาวหิมะคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันตัวกลับมากุมหมัดคารวะ

ฉางมิ่งจุ๊ปากพูด “พอวิชาหมัดสูง หลักการเหตุผลก็ใหญ่ตามไปด้วย ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่ว”

เผยเฉียนหรี่ตาลง

ใบหน้าฉางมิ่งยังคงผ่อนคลายสบายอารมณ์ หลุดหัวเราะพรืด “อาจารย์พ่อของเจ้าให้ข้านำความมาบอกแก่เจ้าว่า ไม่ว่าอะไรก็เหลือเก็บค้างไว้ได้ มีเพียงอย่าได้สะสมมะเหงก จะฟังไม่ฟังก็เรื่องของเจ้า ถึงอย่างไรข้าแค่มีหน้าที่นำคำมาบอกต่อเท่านั้น”

เผยเฉียนกึ่งเชื่อกึ่งกังขา

ดูเหมือนฉางมิ่งจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อีก “อาจารย์พ่อของเจ้าเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า อย่าให้เจ้าตัวสูงเร็วเกินไปนัก”

เผยเฉียนรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาทันที ยกมือเกาหัวตามจิตใต้สำนึก

นางนั่งลงบนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กใต้ชายคา มองไปทางพ่อครัวเฒ่า ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

จูเหลี่ยนโบกมือพร้อมหัวเราะร่า บอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ

ถึงอย่างไรสุยโย่วเปียนผู้นี้ ต่อให้เขาอยากจะจัดการก็ทำได้ไม่ง่ายนัก เขาเองก็เห็นอีกฝ่ายขวางหูขวางตามานานแล้วเหมือนกัน

ฉางมิ่งเอ่ย “เรื่องบนหอบูชากระบี่วันนี้ ข้าจะช่วยจดลงบัญชีของเจ้าขุนเขาไว้แทนเจ้าก่อนแล้วกัน”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เช่นกันๆ”

จูเหลี่ยนกับฉางมิ่งพากันจากไป

สุยโย่วเปียนถาม “เผยเฉียน เจ้าและข้ายังไม่ต้องพูดถึงบุญคุณความแค้น แต่สภาพจิตใจของเจ้านี่มันยังไงกัน?”

หากวันนี้เผยเฉียนมาเยี่ยมเยือนหอบูชากระบี่แล้วลงไปชักดิ้นชักงอเอาแต่ใจก็ดี หรือจะคิดบัญชีแบบเจ้าเล่ห์เจ้ากลเหมือนตอนที่เป็นเจ้าถ่านดำน้อยอย่างในอดีตก็ช่าง อันที่จริงต่อให้จะต้องเอากระบี่ให้อีกฝ่ายยืม สุยโย่วเปียนก็ยินดี เพราะกระบี่ชือซินเล่มนั้นก็เหมือนอย่างที่เผยเฉียนกล่าว เป็นเฉินผิงอันที่ให้นางยืม และในฐานะลูกศิษย์เปิดขุนเขา อย่าว่าแต่เผยเฉียนจะยืมไปสามปีเลย ต่อให้นางเอากลับไปเลยก็ยังถือว่ามีเหตุผล

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก เอ่ยว่า “รู้ดีแต่ก็ยังถาม”

ในกระท่อมหลังนี้มีเก้าอี้ไม้ไผ่แค่ตัวเดียว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสุยโย่วเปียนที่อยู่ในหอบูชากระบี่ไม่ต้อนรับคนนอกมารบกวน

ดังนั้นพอเผยเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ สุยโย่วเปียนจึงได้แต่ยืนเท่านั้น

แต่ว่าในที่สุดเผยเฉียนในเวลานี้ก็มีท่าทีอย่างที่คุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้ว

สุยโย่วเปียนพลันหัวเราะ

นึกไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะงีบหลับเสียได้

แต่ครู่หนึ่งต่อมาสุยโย่วเปียนก็ถอนหายใจอยู่ในใจ ช่างสมกับคำว่า ‘กายหลับจิตไม่หลับ’ ฝึกหมัดใกล้เคียงมรรคาจริงๆ

ทุกวันนี้สรุปแล้วเผยเฉียนเป็นขอบเขตเดินทางไกลหรือว่าขอบเขตยอดเขากันแน่?

ปณิธานหมัดทั้งร่างของเผยเฉียนราวกับว่ายังคงหลับอยู่ ทว่าตัวนางกลับลืมตาเปิดปากเอ่ยว่า “วันที่ห้าเดือนห้าของทะเลสาบซูเจี่ยนคือวันที่ไม่เหมือนปกติทั่วไป ทุกวันนี้พี่หญิงสุยคือผู้ฝึกกระบี่ของสำนักเจินจิ้ง ก็น่าจะรู้เรื่องนี้กระมัง?”

สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ “หากข้าจำไม่ผิด เฉินผิงอันเกิดวันที่ห้าเดือนห้า”

“ท่านเรียกว่า ‘อาจารย์พ่อของเจ้าเผยเฉียน’ ได้ แต่ห้ามเรียกชื่ออาจารย์พ่อของข้าออกมาตรงๆ”

เผยเฉียนเอ่ยเตือนก่อนคำหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบเกาลัดคั่วถุงหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ และยังมีขนมจากต่างถิ่นอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าขนมห้าพิษ รูปตะขาบ คางคก แมงป่องด้านบนล้วนพิมพ์มาจากพิมพ์ไม้

นางยื่นส่งให้สุยโย่วเปียน สุยโย่วเปียนส่ายหน้า

เผยเฉียนกินเกาลัดคั่วไปครึ่งถุง กินขนมห้าพิษหมดชิ้นก็เก็บเกาลัดคั่วไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ปัดมือ เอ่ยว่า “มีตัวอักษรบางอย่างที่พุ่งชนสะเปะสะปะไปมาอยู่ในสมองของข้า ไม่ว่าจะไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป ขอแค่ไม่ได้ฝึกหมัดก็จะหงุดหงิด เดิมทีนึกว่ากลับมาบ้านแล้วจะดีขึ้น คิดไม่ถึงว่ายิ่งนานก็ยิ่งหงุดหงิด แม้แต่ฝึกหมัดก็ยังฝึกไม่ได้ กลัวว่าพี่หญิงหน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยจะเป็นห่วงข้า ก็เลยได้แต่มาผ่อนคลายจิตใจที่หอบูชากระบี่แห่งนี้”

สุยโย่วเปียนยิ้มเอ่ย “ข้ารังแกง่ายหรือ? เป็นคนนอกที่สุดของภูเขาลั่วพั่ว?”

เผยเฉียนเอ่ย “พี่หญิงสุยเป็นคนบ้านเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นพี่หญิงสุยจะพูดอย่างไรก็ได้”

สุยโย่วเปียนถาม “เนื้อหาของตัวอักษรพวกนั้นคืออะไร ถึงได้ทำให้ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งจิตใจไม่สงบได้”

เผยเฉียนกล่าว “เป็นป้ายศิลาข้อห้ามป้ายหนึ่งที่ได้พบเจอในชนบทของเกราะทองทวีป เป็นวัตถุทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด”

ไม่ยินดีจะพูดให้มากกว่านี้

เผยเฉียนเอ่ยขอตัวลา กุมหมัดก้มหน้า

สุยโย่วเปียนถอนหายใจ “ไม่ต้องทำเช่นนี้ ตัวเจ้าเองต่างหากที่ต้องระวัง”

กลับไปถึงริมหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว วันนี้เผยเฉียนนั่งหันข้างมองไปยังทะเลเมฆนอกหน้าผา

หมี่ลี่น้อยฟุบตัวนอนอยู่บนโต๊ะหิน มองเผยเฉียนอย่างเหม่อลอย

เฉินหน่วนซู่กำลังทำงานเย็บผัก ช่วยปะชุนรองเท้าให้กับหมี่ลี่น้อย บนโต๊ะวางถาดไม้ใบเล็กไว้เต็ม ในถาดบรรจุข้าวของชิ้นน้อยชิ้นใหญ่

คนจิ๋วควันธูปคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาขานชื่อบนภูเขาลั่วพั่ว พอเห็นแผ่นหลังที่ไม่คุ้นตานั้นไกลๆ ก็อดไม่ไหววิ่งพลางเอ่ยอย่างเดือดดาลไปด้วย “เทพเซียนจากฝ่ายใด?! ถึงได้บังอาจนั่งเคียงบ่ากับใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของพวกเรา…ทำเอาข้าโมโหแทบตายแล้ว มีความสามารถอันใด…”

เผยเฉียนหันหน้ามา เลิกคิ้วน้อยๆ “หืม?”

คนจิ๋วควันธูปไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระโจนหมอบกราบลงบนพื้น ร้องเรียกเสียงดัง “ข้าน้อยคือผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาตรอกฉีหลงชั่วคราว คารวะใต้เท้าเจ้าประมุข หลายปีมานี้มานะพากเพียรมาขานชื่อ ลมฝนมิอาจขัดขวางข้าได้ คุณความเหนื่อยยากมีไม่น้อย…”

ไม่เห็นว่าเผยเฉียนเคลื่อนไหวอย่างไร เจ้าตัวน้อยก็ถูกกระชากมาบนโต๊ะหินแล้ว คนจิ๋วควันธูปที่เป็นผู้สูงศักดิ์ของศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดหลงโจว เวลานี้เหมือนสุนัขรับใช้ยิ่งกว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงเสียอีก นอนหมอบก้นกระดกอยู่บนโต๊ะ น้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย “เจ้าประมุขเผย ข้าน้อยคอยเฝ้ามองดวงจันทร์ดวงดาวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในที่สุดก็รอคอยจนท่านกลับมาแล้ว รังแตนทั้งหลายที่ภูเขาฉีตุน ทุกวันนี้ขยายใหญ่มากแล้ว ควรต้องถูกจัดการได้แล้ว ทุกเรื่องล้วนเตรียมการเรียบร้อย ขาดแต่เวทกระบี่ตระกูลเซียนของเจ้าประมุขเผยเท่านั้น…”

เฉินหน่วนซู่เอียงศีรษะน้อยๆ ใช้ปากกัดด้ายให้ขาด มองท่าทางของคนจิ๋วตัวน้อยแล้วก็หัวเราะอย่างอดไม่ไหว

หมี่ลี่น้อยกระแอมหนึ่งที เตือนคนจิ๋วควันธูปว่าแค่พอสมควรก็พอแล้ว

เผยเฉียนมองหมี่ลี่น้อย หมี่ลี่น้อยหัวเราะหึหึ กะพริบตาปริบๆ

เผยเฉียนมองคนจิ๋วควันธูปแล้วเอ่ยว่า “นับแต่นี้ไปเจ้าก็คือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาตรอกฉีหลงที่ได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบน้อยเรือนไม้ไผ่ของพวกเราอย่างเป็นทางการแล้ว ห้ามลำพองตนห้ามกำเริบเสิบสาน ขยันหมั่นเพียรให้มาก”

เผยเฉียนเอ่ยกับโจวหมี่ลี่ “รีบไปเชิญทำเนียบเล็กเล่มนั้นมา จำไว้ว่าเอากระดาษกับพู่กันมาด้วย”

โจวหมี่ลี่กระโดดลุกขึ้นยืนทันที “รับคำสั่ง!”

คนจิ๋วควันธูปหัวเราะปากกว้างจนหุบปากไม่ลง ในที่สุดนายท่านใหญ่อย่างข้าก็เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานแล้ว อีกทั้งเมื่อหลายปีก่อนฟังจากความหมายของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาภูเขาลั่วพั่วพวกเรา ไม่แน่ว่าในอนาคตเผยเฉียนอาจจะยังแต่งตั้งตำแหน่งหัวหน้าผู้พิทักษ์แห่งตรอกฉีหลงด้วยก็ได้

ท่ามกลางม่านราตรีของวันนี้ เผยเฉียนเดินลงจากภูเขาไปเพียงลำพัง ระหว่างนั้นก็ได้เจอกับเฉินยวนจีที่ฝึกหมัดเดินขึ้นเขา

เผยเฉียนยืนหันข้าง รอให้เฉินยวนจีเดินนิ่งขึ้นเขาไปแล้วถึงได้ลงจากภูเขาต่ออีกครั้ง

เฉาฉิงหล่างยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมาให้เผยเฉียน

คนทั้งสองนั่งลงแล้วก็เงียบงันกันไปนาน ก่อนที่เฉาฉิงหล่างจะเอ่ยว่า “ราวกับว่าผ่านไปนานเหลือเกิน”

เผยเฉียนพยักหน้าเบาๆ

เฉาฉิงหล่างเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร อีกทั้งเผยเฉียนก็ไม่พูดไม่จา จึงได้แต่เงียบเสียงกันไปอีกครั้ง

เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักศิลาข้อห้ามหรือไม่?”

เฉาฉิงหล่างเอ่ย “เมื่อก่อนนอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลก็มีอยู่ไม่น้อย ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นแล้ว”

ตามหลักแล้วเผยเฉียนความจำดีขนาดนั้น ไม่ควรจะถามเช่นนี้

เผยเฉียนเอ่ย “ระหว่างที่ข้าออกเดินทางไกลได้เจอป้ายศิลาแผ่นหนึ่งในชนบท”

เฉาฉิงหล่างสงสัยแต่กลับไม่ถาม เพียงแค่รอคอยประโยคถัดไปของเผยเฉียนเงียบๆ

เผยเฉียนเอ่ยเนิบช้า “ด้านบนเขียนแค่ประโยคเดียว ห้ามกดน้ำฆ่าทารกหญิงและทารกชายที่เกิดวันที่ห้าเดือนห้า”

สองมือของเผยเฉียนกำเป็นหมัดแน่น สายตาทอดมองไปไกล เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ศิษย์พี่เล็กเคยให้ข้าได้เห็นโคมม้าวิ่งม้วนภาพแห่งกาลเวลา แต่จนถึงทุกวันนี้ข้าก็ยังไม่อาจเอาอาจารย์พ่อตอนเด็กมาทับซ้อนกับอาจารย์พ่อที่ข้ารู้จักได้ ข้ายิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดฟ้าดินแห่งนี้ถึงต้องทำให้อาจารย์พ่อของข้าเผยเฉียนมิอาจกลับบ้านมาได้เสียที แต่ละคนล้วนอยากตายขนาดนี้เชียวหรือ?! แล้วเหตุใดข้าถึงได้เรียนวิชาหมัดช้าขนาดนี้ ช้าเกินไปแล้ว!”

เฉาฉิงหล่างทอดสายตามองไปไกลเป็นเพื่อนเผยเฉียน เอ่ยเบาๆ ว่า “เผยเฉียน อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดแล้วอาจารย์พ่อก็จะกลับคืนมายังบ้านเกิด ยิ่งอย่าได้รู้สึกว่าขอแค่อาจารย์พ่อด่าเจ้าสองสามคำ ต่อให้ขับไล่เจ้าออกจากสำนัก ขอเพียงอาจารย์พ่อได้กลับมาบ้าน เจ้าก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ลูกศิษย์กราบไหว้อาจารย์ นักเรียนมาขอศึกษาต่อ ไม่ว่าอาจารย์พ่อหรืออาจารย์จะอยู่ข้างกายหรือไม่ พวกเราต้องมีทั้งเรื่องที่ตั้งใจทำ แล้วก็มีทั้งเรื่องที่ทำไม่ได้”

เผยเฉียนถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน

เฉาฉิงหล่างไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงเอ่ยว่า “เผยเฉียน อาจารย์คาดหวังมาโดยตลอดว่าเจ้าจะไม่รีบร้อนเติบใหญ่ แต่ไม่ใช่อาจารย์ไม่หวังให้เจ้าเติบโต บนภูเขาลั่วพั่ว อาจารย์ใช้ความคิดจิตใจกับเจ้ามากที่สุด ในความเห็นข้า ไม่ว่าใครก็ล้วนทำให้อาจารย์ผิดหวังได้ มีเพียงเผยเฉียนที่ทำไม่ได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดปีนั้นข้าถึงไม่เคยรู้สึกเคียดแค้นเจ้า? ไม่ใช่ว่าข้าใจกว้างหรือมีความอดทนอะไรมากมายจริงๆ ปีนั้นอาจารย์กางร่มพาข้าไปโรงเรียน พอเดินออกมาจากตรอก อาจารย์ก็ยื่นร่มกระดาษน้ำมันให้ข้า บอกให้ข้ารอสักครู่ อันที่จริงอาจารย์แอบย้อนกลับไปรอบหนึ่ง แอบกลับไปดูเจ้า พออาจารย์กลับมา ท่าทางของอาจารย์ในตอนนั้น ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ยังคงจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นพออาจารย์รับร่มกระดาษน้ำมันกลับคืนไปแล้วก็ก้มหน้าลง คล้ายอยากจะพูดหลักการเหตุผลอะไรกับข้า แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำเดียว อาจารย์ในเวลานั้นเสียใจอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ แต่จนถึงทุกวันนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าตอนนั้นอาจารย์อยากพูดอะไรกันแน่ แล้วทำไมถึงต้องเสียใจขนาดนั้น”

หลังจากนั้นลูกศิษย์ของอาจารย์พ่อ นักเรียนของอาจารย์ ไม่รู้ว่าเหตุใด พอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่แล้วจึงมีแต่ความเงียบงัน

เผยเฉียนลุกขึ้นยืนก่อน

เฉาฉิงหล่างทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เผยเฉียนถาม “หากข้าเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางของผู้ฝึกยุทธก่อนอาจารย์พ่อ จะทำอย่างไร?”

เฉาฉิงหล่างคิดแล้วก็ตอบว่า “ถึงเวลานั้นข้าจะขอให้อาจารย์ช่วยป้อนหมัดแก่เจ้า”

——