ตอนที่เผยเฉียนเดินขึ้นเขา ในมือกำมีดตัดกระดาษไม้ไผ่เหลืองเล่มหนึ่งเอาไว้ ใช้นิ้วโป้งดันด้ามมีดไม้ไผ่เบาๆ ผลักมีดออกจากฝักแล้วผลักกลับคืนเบาๆ
แม้ว่าจะเป็นมีดไม้ไผ่ที่ทำมาจากไม้ไผ่บรรพบุรุษของภูเขาชิงเสินที่มีลักษณะเหมือนมีดตัดกระดาษซึ่งเป็นของประดับห้องหนังสือ ทว่าหากเอามาใช้รับมือกับศัตรู เนื่องจากไผ่เขียวคือไม้ไผ่บรรพบุรุษที่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ จึงถือเป็นสมบัติอาคมที่สามารถสยบกำราบภูตผีปีศาจได้เป็นอย่างดี
วันนี้เฉินยวนจีเพิ่งจะเดินนิ่งลงมาจากภูเขา เผยเฉียนจึงหยุดเดินอีกครั้ง ยืนหันข้างเพื่อเปิดทางให้ฝ่ายแรก ขณะเดียวกันเผยเฉียนก็เก็บมีดไม้ไผ่ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อด้วย
บนขั้นบันไดตรงยอดเขา จูเหลี่ยนกับหมี่อวี้นั่งอยู่ตรงนั้น ต่างคนต่างดื่มเหล้า จูเหลี่ยนมองเห็นภาพนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ต่อให้นางได้ไปท่องยุทธภพของปีนั้นอีกครั้ง แม้จะเป็นเส้นทางที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่คาดว่าใต้หล้านี้คงไม่มีแม่นางน้อยถ่านดำที่แปะยันต์บนหน้าผาก พร่ำท่องคำว่า ‘ก้าวเดินอย่างองอาจ ภูตผีปีศาจหวั่นกลัว’ อีกต่อไปแล้ว”
ในความทรงจำเดิมของหมี่อวี้ เผยเฉียนยังคงเป็นแม่นางน้อยที่พบเจอกันในกำแพงเมืองปราณกระบี่ปีนั้น เป็นเด็กแก่นแก้วเฉลียวฉลาด ไม่เคยหวาดกลัวเรื่องใด พอหมี่อวี้ได้กลับมาพบกับเผยเฉียนบนภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง เขาก็ค่อนข้างจะตกตะลึงอยู่บ้างจริงๆ ความรู้สึกที่ค่อนข้างจะกะทันหันนี้ของหมี่อวี้ อันที่จริงไม่ต่างจากที่สุยโย่วเปียนรู้สึกเท่าใดนัก
หลังจากหมี่อวี้ขึ้นมาบนภูเขา ความเข้าใจทั้งหมดที่มีต่อเผยเฉียน อันที่จริงล้วนมาจากการคุยเล่นในเวลาปกติกับเฉินหน่วนซู่และโจวหมี่ลี่ แน่นอนว่าหมี่ลี่น้อยที่เดินลาดตระเวนภูเขากับหมี่อวี้ทุกวันได้พูดคุยกับเขามากกว่า เช้าตรู่ของทุกวันหมี่อวี้ไม่ต้องออกจากบ้าน นอกประตูก็จะมีแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลตรงเวลา แล้วก็ไม่เคยเอ่ยเร่งรัด เพียงแค่รออยู่ตรงนั้น หมี่อวี้เคยโน้มน้าวหมี่ลี่น้อยว่าไม่ต้องมารอที่หน้าประตู แต่แม่นางน้อยกลับบอกว่ารอคนเป็นเรื่องที่มีความสุขมากเลยนะ จากนั้นหากได้พบหน้ากับคนที่รอคอยอยู่ก็จะยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่
คำพูดง่ายๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจนี้ของหมี่ลี่น้อยเกือบทำให้เซียนกระบี่ที่ตอนอยู่บ้านเกิดนอนดื่มเหล้าบนเมฆเรืองรองอย่างสบายอารมณ์มาหลายร้อยปีหลั่งน้ำตาได้ทันที
พอเฉินยวนจีเดินนิ่งไปถึงประตูภูเขาก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หยุดพักชั่วคราว นางนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายเฉาฉิงหล่าง เอ่ยเสียงเบาว่า “เผยเฉียนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เฉาฉิงหล่างไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าตอนนี้เผยเฉียนต้องหันหน้ามองมาทางตีนเขาอยู่แน่นอน หากตัวเองพูดอะไรมากแม้แต่คำเดียวก็จะต้องถูกจดลงบัญชี
เมื่อก่อนอาจารย์ลู่เคยบอกว่าเด็กหลายคนเติบโตในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ทว่าหลายคนต่อให้ผ่านมาทั้งชีวิตแล้วสุดท้ายก็ยังเป็นได้แค่เด็กที่ผมขาวเท่านั้น ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างมิอาจเข้าใจได้เลย
บนขั้นบันไดยอดเขา หมี่อวี้ดื่มเหล้าหนึ่งอึก พลันเอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับหมี่ลี่และหน่วนซู่ อันที่จริงข้าไม่ถือว่าชื่นชอบเผยเฉียนสักเท่าไร แต่แน่นอนว่าไม่ได้รังเกียจนาง”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “เป็นเรื่องที่ปกติมาก เผยเฉียนฉลาดเกินไป หลายๆ ครั้งความฉลาดที่มากเกินพอดี เดิมทีก็เป็นกระบี่ยาวที่ไร้ฝักไร้ด้ามเล่มหนึ่ง ออกกระบี่ทำร้ายคนอื่น คนถือกระบี่เองก็บาดเจ็บด้วย”
หมี่อวี้เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “พูดจาน่าไม่อายสักประโยค ภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเผยเฉียน เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าสบายใจได้หลายส่วนอย่างน่าประหลาด”
บนภูเขาลั่วพั่ว กฎเกณฑ์ไม่มาก ทว่าแต่ละข้อล้วนเป็นกฎใหญ่ วางตัวอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม หมี่อวี้เกียจคร้านรักสบายมาจนเคยชินแล้ว เรื่องเดียวที่พอจะทำได้ก็คือส่งกระบี่ออกไป แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าวันหน้าหากเผยเฉียนลงจากเขาแล้วไม่ใช้เหตุผลกับคนอื่นก่อน เขาก็แค่ต้องตามไปแล้วถามกระบี่กับคนผู้นั้นก็พอกลับกลายเป็นว่าทำให้สาแก่ใจได้หลายส่วน ไม่อย่างนั้นวันหน้ารอให้ใต้เท้าอิ่นกวานกลับมาถึงบ้าน ก็จะดูเหมือนว่าเขาหมี่อวี้กินเปล่าอยู่เปล่ารอความตายไปวันๆ บนภูเขาลั่วพั่วนานหลายปี นั่นจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรคำพูดของเซียนกระบี่ใต้เท้าอิ่นกวานก็มีเซียนกระบี่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรับได้
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกยุทธ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่บัณฑิต คนหนึ่งกระบี่บินตัดหัว อีกคนหนึ่งตั้งท่าหมัดรับมือกับศัตรู ไม่มีอะไรที่ไม่กล้ายอมรับ สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายแสวงหาก็คืออิสระเสรียิ่งใหญ่ไร้พันธนาการ เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าเคยพูดกับคุณชายไปแล้วไม่น้อย…”
หมี่อวี้รู้สึกปวดหัวแปลบ ยกกาเหล้าขึ้นมา “พวกเจ้าคุยของพวกเจ้าไปเถอะ ไม่ว่าคุยกันแล้วได้ผลลัพธ์อะไรก็ไม่ต้องมาบอกให้ข้าฟังแม้แต่ประโยคเดียว ข้าปวดกบาล”
จูเหลี่ยนกล่าว “แม่หนูเฉินจี และยังมีเจ้าเด็กฉิงหล่างนั่น ถือเป็นกระแสน้ำใสสองขุมที่มีไม่มากของภูเขาลั่วพั่วเรา จุดยืนของคนทั้งสองก็ยิ่งเป็นจุดยืนของขนบธรรมเนียมภูเขาลั่วพั่วเรา”
หมี่อวี้กล่าวอย่างกังขา “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?”
จูเหลี่ยนเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
หมี่อวี้พลันเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา ปรบมือร้องว่ายอดเยี่ยม ก่อนจะจุ๊ปากพูดเบาๆ ว่า “มีเหตุผล มีเหตุผล”
เผยเฉียนไม่ได้ไปที่เรือนไม้ไผ่ แต่เดินตรงขึ้นเขาไป
ในมือถือมีดตัดกระดาษไม้ไผ่เหลืองที่บรรพบุรุษสกุลอวี้มอบให้ แล้วอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งนำมาส่งต่อให้ตน นี่ถือว่าช่วยเผยเฉียนไปได้มาก ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนที่กลับบ้านเกิดโดยต้องข้ามสามทวีปก็จะต้องเป็นร้านผ้าห่อบุญขนาดใหญ่ที่สมชื่ออย่างแท้จริงไปตลอดทาง ข้าวของหลายอย่างไม่แน่ว่าอาจได้แต่ฝากไว้กับอวี้เจวี้ยนฟูก่อน ถึงอย่างไรเรื่องที่ไม่นำทรัพย์สินติดตัวไปให้คนอื่นดูก็เป็นเรื่องที่อาจารย์และศิษย์สองคนรู้ใจกันมานานมากแล้ว พอมีวัตถุจื่อชื่อชิ้นนี้ เผยเฉียนก็ต้องทำการนับทรัพย์สมบัติทั้งหมดแล้วย้ายข้าวของเหมือนมดย้ายรัง ทุกวันนี้ด้านในบรรจุวัตถุบนภูเขาหกสิบเก้าชิ้นที่เผยเฉียนเก็บมาได้จากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบนซากปรักสนามรบเกราะทองทวีป
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูของธวัลทวีป เผยเฉียนหยิบเอาหอกเหล็กของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบออกมา มีระดับอาวุธกึ่งเซียน ก่อนหน้านี้เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋เสวียนเป็นผู้มอบให้ หอกแหลมถูกเผยเฉียนใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าสองหมัดต่อยปลายทั้งสองด้านหักจึงเปลี่ยนมาคล้าย ‘ดาบแคบแหลมคม’ เลยกลายมาเป็นอาวุธสามชิ้นในทันที เป็นดาบคู่กับกระบองเหล็ก บวกกับที่ได้รับการหล่อหลอมจากวิชาอสนีของศาลเหลยกง ระดับขั้นจึงถูกลดทอนไปบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มากเกินพอดี สุดท้ายจึงเท่ากับว่าเผยเฉียนมีอาวุธกึ่งเซียนครึ่งชิ้นเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง
ตอนนั้นทำเอาเพ่ยอาเซียงที่มองดูอยู่ปากอ้าตาค้าง แม่นางน้อยแซ่เผยผู้นี้สายตามีแต่เงินหรืออย่างไร? แต่เรื่องที่ผู้อาวุโสเพ่ยใช้ภูเขาเหลยกงมาช่วยหล่อหลอมวัตถุสามชิ้นให้ เผยเฉียนจึงคิดว่าจะมอบสมบัติอาคมให้เขาชิ้นหนึ่งเพื่อถือเป็นการชดเชยให้กับภูเขาเหลยกง เพ่ยอาเซียงไม่ถึงขั้นต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้ เขาจึงปฏิเสธเผยเฉียนอย่างละมุนละม่อม บอกแค่ว่าวันหน้าให้คนที่ฝึกวิชาหมัดฝึกวรยุทธของศาลเหลยกงกับภูเขาลั่วพั่วมาประลองวิชาหมัดกันมากๆ หน่อย แค่ขัดเกลาวิถีวรยุทธก็พอแล้ว หากมีโอกาสได้พบเจอกันยุทธภพ ไม่แน่ว่าต่างฝ่ายอาจจะช่วยดูแลกันและกันได้ ลูกศิษย์ของสองสายแค่บอกชื่อแซ่ของตัวเองมาก็พอ เท่านั้นก็กลายมาเป็นเพื่อนกันในยุทธภพได้แล้ว
ตอนนั้นเผยเฉียนสีหน้าสดใสเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ถามว่า ‘ผู้อาวุโสเพ่ย ทำแบบนั้นได้จริงๆ หรือ?’
เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว ‘มีอะไรไม่ได้เล่า ภูเขาลั่วพั่วดูแคลนศาลเหลยกงหรือ?’
เมื่อเผยเฉียนพอจะคลายปมในใจเรื่องป้ายศิลาข้อห้ามแผ่นนั้นได้บ้างแล้ว แล้วลองทบทวนการเดินทางไกลไปเยือนสี่ทวีปของตนในครั้งนี้อีกครั้ง เผยเฉียนก็ค้นพบว่าดูเหมือนตนทำเรื่องบางอย่างไปแล้ว หาใช่ว่าทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่องไม่
ก็เหมือนอย่างการช่วยให้ภูเขาลั่วพั่วและสายของศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูเปลี่ยนจากภูเขาสองลูกที่เดิมทีอยู่กันคนละเส้นทางได้กลายมาเป็นใกล้ชิดสนิทสนมกันหลายส่วน
อีกทั้งผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนเจ็ดท่านของเกราะทองทวีปที่ออกมาจากสนามรบพร้อมกับนางและอวี้เจวี้ยนฟู เซียนดินสามสิบเอ็ดคน และยังมีผู้ฝึกตนบนภูเขาจำนวนมากกว่านั้นที่เคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ต่างก็รู้ว่าผู้ฝึกยุทธเผยเฉียนที่มาจากแจกันสมบัติทวีป หญิงสาวคนหนึ่งที่เคยใช้คำว่าแข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาที่ภาคกลางของเกราะทองทวีป คือลูกศิษย์เปิดขุนเขาของใครบางคนและของภูเขาบางลูก เรื่องการปฏิบัติรับรองดูแลผู้อื่นล้วนใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ขาดมารยาทที่พึงมี ไม่ใช่คนที่ขาดการอบรมจากตระกูล อย่างน้อยที่สุดจุดที่สองหมัดของเผยเฉียนพุ่งไป แต่ไหนแต่ไรมาก็มีเพียงศัตรูที่แข็งแกร่งบนสนามรบเสมอ
ส่วนใครบางคนที่ว่านั้นคือใครกันแน่ ภูเขาบางลูกที่บอกนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ เผยเฉียนกลับปิดบังมาโดยตลอด ไม่ยินดีจะพูดถึงมากนัก แล้วก็ไม่กล้าพูดมาก กลัวว่าจะนำพาปัญหาที่ไม่จำเป็นมาสู่อาจารย์พ่อและภูเขาลั่วพั่ว พ่อครัวเฒ่าเคยกำชับเผยเฉียนว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน เรื่องไม่คาดฝันและปัญหามากมายที่ขอบเขตร่างทองเรียกหามา มีเพียงขอบเขตเดินทางไกลหรือแม้กระทั่งขอบเขตยอดเขาเท่านั้นถึงจะสลายไปได้กับมือตัวเอง
อันที่จริงนี่มีความคล้ายคลึงกับคำสอนของอาจารย์พ่อในปีนั้นที่บอกว่า ‘ท่องอยู่ในยุทธภพ ข้าลดขอบเขตก่อนสองสามขั้น ไม่ถือเป็นความเคารพ’
ไปถึงบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขา อยู่ห่างจากพ่อครัวเฒ่าและหมี่อวี้อีกหลายขั้นบันได เผยเฉียนก็หยุดยืนกุมหมัด หลักๆ เป็นเพราะผู้อาวุโสเซียนกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ ทุกวันนี้ยังไม่ได้จุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือนในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนก็ไม่ต้องจงใจพิถีพิถันในเรื่องมารยาทพิธีการยิบย่อยเช่นนี้ จากนั้นเผยเฉียนก็โยนมีดตัดกระดาษในมือไปให้จูเหลี่ยน รวมเสียงให้เป็นเส้นบอกวิธีการเปิดขุนเขาคลายตราผนึกแก่พ่อครัวเฒ่าอย่างละเอียด
จิตใจของจูเหลี่ยนจมจ่อมอยู่ภายในครู่หนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “สมบัติหนักบนภูเขาเจ็ดสิบกว่าชิ้น วันหน้าประลองบุ๋นกับหลี่ไหวอีกรอบจะไม่เอาชนะได้อย่างมั่นคงเลยหรือ”
เผยเฉียนส่ายหน้าเบาๆ
การเล่นสนุกอย่างไร้เดียงสาในยามเยาว์เช่นนี้ วันหน้าไม่มีทางมีอีกแล้ว คงเป็นเพราะว่าการเติบโตก็คือการที่เรื่องน่าสนใจทั้งหลายยามเป็นเด็กได้มาเรียงแถวกันแล้วกลายเป็นว่าไม่น่าสนใจขนาดนั้นอีกแล้ว
เผยเฉียนไม่รวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยกับพ่อครัวเฒ่าเป็นการส่วนตัวอีก แต่เปิดปากพูดโดยตรงว่า “นอกจากตัวของมีดตัดกระดาษเองแล้ว ก็ยังมีดาบคู่และกระบองเหล็กอีกสามชิ้น ข้าล้วนจะเก็บเอาไว้ ของที่เหลือชิ้นอื่นให้เป็นของส่วนกลาง รบกวนให้อาจารย์เหวยผู้นั้นช่วยตรวจสอบระดับขั้นและประเมินราคาด้วย อะไรที่ควรขายก็ขาย อะไรที่ควรเก็บเก็บ เอาตามที่เห็นสมควร”
จูเหลี่ยนถาม “หากข้าจำไม่ผิด ของขวัญของหน่วนซู่และหมี่ลี่ เจ้าล้วนยังไม่ได้มอบให้พวกนาง”
เผยเฉียนยิ้มตอบ “เตรียมไว้นานแล้ว สองคนนั้นไม่มีปัญหาหรอก”
จูเหลี่ยนผงกศีรษะ “ได้ งั้นก็เอาตามนี้ อีกสองสามวันพื้นที่มงคลรากบัวจะมีเรื่องใหญ่ อีกเดี๋ยวจะได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนลงจากภูเขาเดินทางไกล อีกไม่นานอาจารย์จ้งก็จะกลับมาบนภูเขา ถึงเวลานั้นพวกเราไปยังพื้นที่มงคลด้วยกัน นอกจากเว่ยซานจวินและเจ้าเกาะหลิว และยังมีฟ่านเอ้อและซุนเจียซู่ของนครมังกรเฒ่าที่จะมาร่วมงานแล้ว ทุกคนไปร่วมกันเป็นพยานในการเลื่อนระดับขั้นของพื้นที่มงคลกับตาตัวเองด้วยกัน”
เผยเฉียนตอบรับ “ไม่มีปัญหา”
ในขณะที่เผยเฉียนกำลังจะหมุนตัวกลับไป จูเหลี่ยนพลันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หมี่บอกว่าไม่ค่อยชอบเจ้า”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที เพียงแค่เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสหมี่ชื่นชอบพี่หญิงหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยจากใจจริง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
หมี่อวี้ทำสีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนคนที่ดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกง จะเช็ดก็ไม่ใช่ ไม่เช็ดก็ไม่เหมาะ
เผยเฉียนกุมหมัดบอกลากับทั้งสองแล้วขอตัวจากไป
ตอนที่เผยเฉียนเปลี่ยนเส้นทางจากกึ่งกลางภูเขาไปยังเรือนไม้ไผ่ หมี่อวี้ก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “น้องจู เจ้าทำแบบนี้ไม่มีคุณธรรมแล้วนะ”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “พูดกันอย่างตรงไปตรงมาจึงจะดี เจ้าคิดว่าเผยเฉียนไม่รู้เรื่องนี้หรือ? เจ้าคิดว่าเผยเฉียนสนใจหรือว่าพี่อวี้ถูกชะตานางหรือไม่?”
หมี่อวี้เอ่ยอย่างปล่อยวาง “เป็นข้าที่คิดมากไปเอง”
จูเหลี่ยนเอ่ยปลอบใจ “นับแต่โบราณมาคนที่มีความรู้สึกมากย่อมมีทุกข์มาก รสชาตินี้คนที่ไร้ความรู้สึกมิอาจเข้าใจได้”
ยามดึกสงัด ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ เผยเฉียนนั่งอยู่ริมหน้าผาเพียงลำพัง สองเท้าห้อยออกไปนอกหน้าผา
ดูเหมือนว่าหมี่ลี่น้อยจะนอนไม่หลับก็เลยไม่นอนมันเสียเลย นางหยิบคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมา ไปยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของเรือนพักเผยเฉียนนานแล้ว งีบหลับไปด้วยพลางรอให้ฟ้าสว่างไปด้วย
หูกระดิกเล็กน้อย โจวหมี่ลี่รีบลืมตาทันใด เห็นบนพื้นมีเงินเกล็ดหิมะอยู่เหรียญหนึ่ง หมี่ลี่น้อยโคลงศีรษะ พอแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดก็รีบกวาดตามองรอบด้าน ขมวดคิ้วเล็กบางๆ สองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันยกมือป้องหูเก็บมันขึ้นมา กระโดดผลุงหนึ่งที หมุนตัวโยนเงินเกล็ดหิมะเข้าไปในลานบ้านของเผยเฉียนเบาๆ ปรบมือตามหลังเสียงแผ่ว ทำงานใหญ่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว รอกระทั่งโจวหมี่ลี่หมุนตัวกลับมากลับพบว่าบนพื้นมีเงินเกล็ดหิมะเพิ่มมาอีกหนึ่งเหรียญ คราวนี้แม่นางน้อยนอนคว่ำลงบนพื้น กระดกก้นหมุนตัวรอบเหรียญเงินไปหนึ่งรอบ กว่าจะแน่ใจว่าเกินครึ่งเงินเทพเซียนเหรียญนี้น่าจะเป็นพี่น้องที่พลัดพรากจากเหรียญก่อนหน้านี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมี่ลี่ที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นใช้สองมือเท้าคาง จ้องเงินเทพเซียนเหรียญนั้นเขม็ง เรื่องนี้ประหลาดเกินไปแล้ว พอเผยเฉียนกลับมาก็มีเงินหล่นลงมาจากฟ้า นางต้องใคร่ครวญให้ดีๆ ส่วนคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่านั้นได้ร่วมแรงกับแม่นางน้อยทำรังเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อเงินเทพเซียนเหรียญนี้แล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เงินเทพเซียนมีขาหนีไป เมื่อก่อนเผยเฉียนเคยพูดจาน่าเชื่อถือว่าก้อนเงินในใต้หล้ามีขาวิ่งไปทั่วได้จริงๆ
——