แม้เป็นสือพั่วไห่กับฮว่าหงเซียว เห็นภาพที่อริยะทั้งหมดออกโจมตีเช่นนี้ ในใจก็กดดันและสั่นสะท้านขึ้นมา

ในฐานะบุคคลแห่งยุคระดับแปดยอดนภาคราม พวกเขาย่อมไม่ขาดความเชื่อมั่นในรากฐานพลัง สักวันต้องสามารถไร้คู่ต่อสู้ในระดับนี้ได้

แต่เปลี่ยนเป็นคนใดคนหนึ่งในพวกเขาไปรับการโจมตีของมกุฎอริยะมากมายขนาดนี้ ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเลยสักนิด!

“สามารถตายภายใต้การล้อมโจมตีเช่นนี้ เจ้าหลินสวินตายก็ไม่เสียดายแล้ว”

สือพั่วไห่พูดเบาๆ

นี่ไม่ใช่การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่เป็นความรู้สึกจากใจจริง

ศึกนี้แม้หลินสวินจะตาย แต่หลังจากข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้นี้เผยแพร่ออกไป ก็จะทำให้ชื่อเสียงของเขาได้รับการจับตามองจากทั่วหล้า!

“ดินแดนรกร้างโบราณสามารถมีตัวประหลาดเช่นนี้โผล่ออกมา ถือว่าเหลือเชื่อมากจริงๆ”

ฮว่าหงเซียวเองก็พูดขึ้น เขาเย่อหยิ่งอย่างที่สุด แต่ตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่า หากมี ‘เก้ายอดนภาคราม’ หนึ่งในนั้นต้องมีที่ยืนของหลินสวิน อีกทั้งอันดับไม่รั้งท้ายแน่

ตอนนี้ทุกสายตาในที่นั้นต่างจับจ้องที่หลินสวินคนเดียว

บรรยากาศกดดันกว่าก่อนหน้านี้ มกุฎอริยะเกือบหนึ่งร้อยคนลงมือเล่นงานคนผู้เดียวพร้อมกัน เรื่องราวเช่นนี้กระทั่งในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนที่ผ่านๆ มายังเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน!

พลังต่างกันมากเกินไปแล้ว สถานการณ์ก็น่าตะลึงเกินไป

แต่หลินสวินที่กำลังเข่นฆ่า เมื่อเห็นภาพเช่นนี้กลับเหมือนคาดเดาไว้นานแล้ว ไม่รอถูกปิดล้อมก็ทะยานขึ้นกลางอากาศทันใด เงาร่างยืนอยู่ในตำแหน่งสูงใต้ผืนฟ้า

เงาร่างของเขาองอาจ สันโดษไร้มลทินราวกับเซียน อานุภาพกลับประหนึ่งเทพมารที่ทะลวงฟ้าปกคลุมแผ่นดิน บุคลิกสองอย่างที่แตกต่างผสมผสานกัน ทำให้เกิดท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ผงาดกร้าวที่เป็นเอกลักษณ์และเผด็จการไร้ที่ติอย่างหนึ่ง

“คนมากก็จะเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้หรือ เสียแรงเปล่า!”

เสียงเรียบเฉยเย็นชาก้องกังวาน หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ เสียงวู้มหนึ่งดังขึ้น สมบัติอริยะเปี่ยมสีสันมากกว่าร้อยชิ้นพวยพุ่งออกมา

สมบัติอริยะทุกชิ้นล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ถูกหลินสวินรวบรวมมา ขวาน ตะขอ ง่าม ดาบ หน้าไม้ กระบี่ ทวน ตราประทับ กระถาง ระฆัง เจดีย์สมบัติ… สมบัติอริยะหลากชนิดรวมแล้วมากถึงหนึ่งร้อยแปดชิ้น ล้วนแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีข้อยกเว้น

เพียงแต่สมบัติอริยะเหล่านี้ถูกหลินสวินหลอมขึ้นใหม่นานแล้ว สลักลายมรรคแน่นขนัดไว้ด้านบน

ตอนนี้สมบัติอริยะหนึ่งร้อยแปดชิ้นพวยพุ่งออกมาพร้อมกัน ชั่วพริบตาก็กระจายไปสี่ด้าน ปกคลุมแปดทิศ แผ่ลายมรรคเบียดแน่นงดงามออกมา สร้างเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่แห่งหนึ่งกลางอากาศ!

ครืน…

ชั่วพริบตาฟ้าดินแถบนี้ก็ถูกหมอกไพศาลปกคลุม ตัดขาดจากโลกภายนอก วิวัฒน์เป็นกระบวนค่ายกลกักขังขนาดใหญ่ที่มหัศจรรย์และแปลกประหลาดอย่างที่สุด

กระบวนค่ายกลนี้นามว่า ‘ปกฟ้าคลุมตะวัน’!

“ในที่สุดใช้แล้ว…”

จ้าวจิ่งเซวียนราวกับยกภูเขาออกจากอก

ช่วงก่อนหลังจากหลินสวินกลับเมืองอารักษ์มรรคก็ไม่เคยออกไปไหนอีก ถูกศัตรูแปดดินแดนมองว่าเป็นเต่าหดหัว

แต่มีเพียงนางที่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นหลินสวินบ้าคลั่งเพียงใด แทบจะหลอมสมบัติอริยะ สลักกระบวนค่ายกลอย่างหามรุ่งหามค่ำ

ทรัพย์หลังศึกที่ถูกหลินสวินรวบรวมมาตลอดหนึ่งปีมานี้ ล้วนถูกหลอมขึ้นใหม่แทบทั้งหมด กลายเป็นฐานค่ายของกระบวนค่ายกลใหญ่!

นี่เป็นถึงสมบัติอริยะ ทุกชิ้นล้วนมีค่าควรเมือง แต่ใครจะบ้าคลั่งเหมือนหลินสวินที่ตัดใจหลอมสมบัติพวกนั้นทั้งหมด

ไม่มี!

และความพยายามทั้งหมดนี้ ก็เพื่อศึกนี้!

“ไม่…”

“สมควรตาย นี่มันค่ายกลอะไรกัน”

“เหตุใดจึงไม่สามารถหนีไปได้”

ในสนามรบเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง เหล่ามกุฎอริยะที่เดิมอานุภาพพุ่งทะยาน ล้วนถูกคลื่นหมอกปกคลุมร่างกายโดยไม่ทันตั้งตัว

พวกเขาดิ้นรนสุดชีวิตตามจิตใต้สำนึก ไหนเลยจะรู้ว่ากลับเหมือนตกลงบ่อโคลน ไม่ว่าพวกเขาจะต่อต้านสุดแรงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์

ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่พริบตา ฟ้าดินผืนนั้นก็ถูกหมอกไพศาลท่วมท้น อย่าว่าแต่มกุฎอริยะเหล่านั้นเลย แม้แต่เสียงและกลิ่นอายของพวกเขาล้วนถูกตัดขาด หายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ทอดสายตามองจากไกลๆ ฟ้าดินเวิ้งว้างเหยียดยาวจากฟ้าจรดดิน เมื่อเทียบกับเสียงเข่นฆ่าดุเดือดก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับเงียบเชียบแปลกประหลาดอย่างที่สุด แม้แต่ระลอกคลื่นเสี้ยวเดียวก็ยังไม่มี

ที่น่ากลัวที่สุดคือ ก่อนหน้านี้บุคคลระดับอริยะแท้ที่ชมการต่อสู้อยู่ห่างไปบางส่วนหลบไม่ทัน ถูกม้วนเข้าไปในกระบวนค่ายกลใหญ่ที่หมอกปกคลุมนั่น

มีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่เห็นเช่นนี้แล้วยิ้ม เป็นฝ่ายก้าวเดินเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง ไม่นานเงาร่างเพรียวยาวก็หายไป

“เจ้าหมอนั่นใช้พลังกระบวนค่ายกลอีกแล้ว!”

เซวี่ยชิงอีสีหน้ามืดทะมึน เขาคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้กลับมีกระบวนค่ายกลที่สามารถกักขังมกุฎอริยะเกือบร้อยคนไว้ได้ในชั่วพริบตา

อีกอย่างกระบวนผนึกขนาดใหญ่เช่นนี้ จะสร้างขึ้นในชั่วพริบตาได้อย่างไร

เขาดูไม่ออก

“ทำอย่างไรดี”

สือพั่วไห่ขมวดคิ้ว

“นี่คือค่ายกลกักขัง เหมือนสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา ไม่สามารถฝืนโจมตีได้ หากใครแตะต้องเพียงนิดก็จะถูกลากเข้าไป”

จู่ๆ ฮว่าหงเซียวที่เย็นชาพูดน้อยมาโดยตลอดก็พูดขึ้น “อยากทลายกระบวนค่ายกลนี้ จะต้องให้ปฐมาจารย์สลักลายมรรคลงมือ มองทะลวงความลึกลับของมันแล้วคลี่คลายซะ”

“พี่ฮว่ามีวิธีสลายหรือไม่”

เซวี่ยชิงอีพูด

“ข้าไม่ใช่นักสลักลายมรรค”

ฮว่าหงเซียวส่ายหน้า

“หากจู๋อิ้งคงอยู่จะต้องทำได้แน่ เผ่าจู๋หลงของเขาล้วนชำนาญวิถีสลักลายวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นบรรพบุรุษของเขายังเคยถือปรากฏระดับจักรพรรดิที่แจ้งมรรคสลักรอยสลักวิญญาณ”

สือพั่วไห่ขมวดคิ้วพูด “พี่เซวี่ย ครั้งนี้เจ้าไม่ได้เชิญจู๋อิ้งคงมาช่วยหรือ”

เซวี่ยชิงอีสีหน้าอึมครึม อารมณ์อัดอั้นอย่างที่สุด เอ่ยว่า “เจ้าหมอนั่นปิดด่านอยู่ ไม่มีเวลา”

มกุฎอริยะเกือบหนึ่งร้อยคนลงมือพร้อมกัน เป็นกำลังพลที่เหี้ยมหาญเพียงใด

แต่ยังไม่ทันประมือกันจริงจังก็ถูกกักขังในกระบวนค่ายกลใหญ่โดยตรง นี่เหมือนถูกคนทุบด้วยไม้หนักหน่วง ทำเอาเซวี่ยชิงอีโกรธจนแทบกระอักเลือด

“พวกเจ้าว่า ครั้งนี้คงไม่ซ้ำรอยทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนครั้งก่อนกระมัง”

สือพั่วไห่ถาม

เซวี่ยชิงอีพลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ครั้งก่อนมกุฎอริยะเจ็ดสิบคนและกำลังพลสองแสนหนึ่งหมื่นของทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนถูกทำลายทั้งหมด บทเรียนอันนองเลือดนี้สาหัสอย่างที่สุด

หากวันนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก ก็ย่อมเป็นการโจมตีปานทำลายล้าง!

“ไม่มีทาง!”

กลับเห็นฮว่าหงเซียวพูดอย่างเฉียบขาด “กระบวนค่ายกลที่เจ้าหมอนี่วาง ไม่มีต้นกำเนิดพลังค้ำจุน อาศัยเพียงพลังของฐานค่ายยืนหยัดอยู่ได้ไม่นานหรอก ขอแค่เหล่ามกุฎอริยะที่ถูกกักขังร่วมมือกันต้านทาน ไม่เกินหนึ่งเค่อกระบวนค่ายกลนี้จะต้องทลายแน่”

ได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเซวี่ยชิงอีและสือพั่วไห่จึงผ่อนคลายลงไม่น้อย

เพียงแต่พอคิดว่าจะต้องรออีกหนึ่งเค่อ พวกเขาก็อดกลัดกลุ้มใจไม่ได้ หนึ่งเค่อเชียวนะ เพียงพอจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป

‘คิดเป็นพันเป็นหมื่นตลบก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ยังมีวิธีเช่นนี้ หากรู้เช่นนี้แต่แรก ก็ควรระดมพลผู้แข็งแกร่งที่ชำนาญด้านรอยสลักวิญญาณมาด้วยจำนวนหนึ่ง’

เซวี่ยชิงอีลอบกัดฟัน

……

ในกระบวนค่ายกลใหญ่กลับเป็นอีกทิวทัศน์หนึ่ง

ที่นี่เหมือนโลกที่อบอวลด้วยหมอก มกุฎอริยะเกือบร้อยคนและอริยะแท้ส่วนหนึ่งถูกกังขังอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน มองไม่เห็นกันและกัน สัมผัสและหกรับรู้ถูกขัดขวาง

อยู่ด้านใน ก็เหมือนฟางข้าวที่หลงทางอยู่ในมหาสมทุร

นี่ทำให้พวกเขาหวาดผวา ตึงเครียดไปทั้งตัว แต่ละคนระมัดระวังจนถึงที่สุด

พวกเขาลองโจมตี พยายามเปิดทางในฟ้าดินที่หมอกไพศาลนี้ แต่กลับไม่มีประโยชน์

และตอนนี้หลินสวินก้าวเดินอยู่ภายใน รายละเอียดทุกอย่างในกระบวนค่ายกลใหญ่ปรากฏในใจทั้งหมด

กระบวนค่ายกลนี้แตกต่างจากกระบวนค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์ที่วางไว้ยังเมืองอารักษ์มรรคอย่างสิ้นเชิง โดยสร้างจากสมบัติอริยะหนึ่งร้อยแปดชิ้น

ต้นกำเนิดพลังของกระบวนค่ายกลนี้ก็มาจากสมบัติอริยะเหล่านี้ เมื่อพลังของสมบัติอริยะเหล่านี้ถูกใช้หมด กระบวนค่ายกลก็จะสลายไปเอง

พูดง่ายๆ ก็คือ กระบวนค่ายกลนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่สิ่งที่สูญเสียไปกลับเป็นสมบัติอริยะร้อยกว่าชิ้น!

ต่อให้เป็นหลินสวินก็ต้องสั่งสมทรัพย์หลังศึกมาปีกว่าจึงสามารถใช้วิธีเช่นนี้ สร้างกระบวนค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้ออกมาได้

สิ่งที่จ่ายออกไปมากมายอย่างยิ่ง!

แต่ผลลัพธ์ก็น่าตกใจมาก อย่างน้อยตอนนี้ในโลกกระบวนค่ายกลนี้ ศัตรูได้กลายเป็นเหยื่อที่ถูกขังรอเวลาถูกฆ่าแล้ว!

ฟุ่บ!

เงาร่างของหลินสวินพริบไหว เริ่มโจมตีโดยไม่มีความลังเลใด

ในพื้นที่แห่งหนึ่งของกระบวนค่ายกล มกุฎอริยะสามคนอยู่ด้วยกัน ทันใดนั้นคมประกายสายหนึ่งที่ดุจดั่งลำแสงก็พุ่งออกมาจากหมอก

“หลบเร็ว!”

พวกเขาที่เดิมก็ตึงเครียดและระมัดระวังไปทั้งตัวพลันตอบสนองในทันที

แต่ความไวของลำแสงนั่นเหนือกว่าที่พวกเขาคาดโดยสมบูรณ์ เพียงพริบไปวก็ทำลายเกราะป้องกันของคนหนึ่งในนั้น อานุภาพแหลมคมที่ราวกับสามารถทำลายสรรพสิ่งได้อย่างง่ายดายผ่าแหวกหน้าอกของเขา

ซ่า…

ฝนเลือดแดงสดสาดกระเซ็น มกุฎอริยะคนนี้ถูกฆ่า

และตอนนี้อีกสองคนถึงเพิ่งรู้ว่าประกายคมนั่นเป็นดาบหักที่แวววาวระยิบระยับ ลวงตาอย่างที่สุดเล่มหนึ่ง กลิ่นอายที่คมประกายของมันเผยออกมาทำเอาพวกเขาสั่นไปทั้งตัว

“หนี!”

สีหน้าทั้งสองเปลี่ยนไปยกใหญ่ เคลื่อนย้ายไปทางหมอกหนา

ทว่าหนทางข้างหน้าเงาร่างของหลินสวินปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด สิ่งที่ไวกว่าเงาร่างของหลินสวินก็คือกระบี่ยอดสังหารที่แดงสดราวกับเลือดนั่น

ฉัวะ!

คมกระบี่กวาดไปตามแนวขวาง ปราณกระบี่สีแดงซึ่งดุร้ายหาที่เปรียบไม่ได้ท่วมท้นและม้วนกลืนทั้งสองคน

เพียงพริบตาร่างของคนทั้งคู่ก็หายไป ร่างร่วงหล่นมรรคสลาย!

“สามคน”

หลินสวินไม่มองด้วยซ้ำ หมุนตัวจากไป

กระบวนค่ายกลนี้คงอยู่ได้ไม่นาน เขาต้องรีบรบรีบจบ!

ตูม!

ไม่นานในอีกพื้นที่หนึ่ง มกุฎอริยะห้าคนประสบการพุ่งโจมตีของหลินสวิน เพียงสิบลมหายใจก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว

สองคนตายภายใต้ดาบหัก อีกสองคนตายด้วยกระบี่ยอดสังหาร และอีกคนถูกธนูวิญญาณไร้แก่นสารสังหารระหว่างหนี

เมื่อเทียบกับการเข่นฆ่ายามถูกมกุฎอริยะสามสิบคนล้อมโจมตี หลินสวินในตอนนี้คือคู่ต่อสู้ที่สังหารศัตรูอย่างง่ายดาย ไม่อาจขวางกั้นตลอดทาง

เหตุผลง่ายมาก ในกระบวนค่ายกลใหญ่นี้ หลินสวินได้เปรียบเป็นฝ่ายกระทำ สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุม

อย่าว่าแต่หนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อห้า หนึ่งต่อสิบ สำหรับหลินสวินก็ยังไม่มีภัยคุกคาม!

เพียงชั่วครู่ก็มีมกุฎอริยะยี่สิบกว่าคนทยอยถูกหลินสวินกำจัด ปรากฏท่าทีที่สังหารอริยะราวกับเชือดไก่อย่างไรอย่างนั้น

บางคราวจะเจอกับระดับอริยะแท้บางส่วน นั่นยิ่งเละเทะ สำหรับหลินสวินแล้วง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการหั่นผัก

ถึงขั้นที่ในระหว่างเข่นฆ่า หลินสวินยังมีเวลากลืนกินโอสถเทพกับลูกกลอนวิญญาณ เพื่อชดเชยพลังที่เสียไปเป็นระยะๆ ผ่อนคลายอย่างยิ่ง

พูดสั้นๆ ได้ว่า ในกระบวนค่ายกลนี้หลินสวินก็คือผู้คุมอำนาจหนึ่งเดียว มีอำนาจเด็ดขาด!

ข้อบกพร่องเดียวอาจจะเป็นเรื่องที่กระบวนค่ายกลนี้ยืนหยัดได้ไม่นาน ไม่เช่นนั้นหลินสวินถึงขั้นมั่นใจว่ามีมกุฎอริยะมาเท่าไหร่ฆ่าได้เท่านั้น

ในเวลาเดียวกันบนทะเลผาดำ สีหน้าพวกเซวี่ยชิงอีค่อยๆ อึมครึมลงเรื่อยๆ แล้ว

เพราะบนท้องฟ้านั่นมีเสียงครวญอริยะร่วงหล่นดังก้องเป็นระยะๆ ทำให้พวกเขารู้ว่าความสูญเสียในกระบวนค่ายกลใหญ่นั่นรุนแรงเพียงใด และน่าตกใจเพียงใด!

——