จูเหลี่ยนยิ้ม “การค้านี้ไม่ต้องรบกวนสำนักกระบี่ไท่ฮุยและทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ติดค้างน้ำใจผู้อื่น ไม่คุ้มค่า เดี๋ยวพวกเราค่อยให้พี่หมี่ไปเยือนจวนไช่เฉวี่ยสักรอบ ให้ไปเป็นผู้ถวายงานที่แขวนชื่ออยู่ที่นั่น พอถึงเวลาหากสำนักฉงหลินกล้าขายชุดคลุมอาคม เซียนกระบี่หมี่ก็จะไปถามกระบี่ที่ภูเขาตี่ลี่ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ พี่หมี่ก็ขี่กระบี่ไปหาคนดื่มเหล้าด้วย จะไปหาเจ้าสำนักหลิวหรือเจ้าสำนักลี่ก็ล้วนไม่มีปัญหา ถือเสียว่าไปหลบภัยในตัว”
หมี่อวี้ยิ้มตาหยี “ดีมากๆ”
จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องใช้น้ำใจจากอวี๋หมี่ที่แขวนชื่ออยู่ในจวนไช่เฉวี่ย ยังต้องระวังไม่ให้เดือดร้อนไปถึงจวนไช่เฉวี่ยด้วย”
หมี่อวี้ยิ้มเอ่ย “ ‘อวี๋หมี่’ สะสมน้ำใจเอาไว้จะมีประโยชน์อะไร เป็นเรื่องที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ส่วนพี่สาวน้องสาวเทพธิดาทั้งหลายในจวนไช่เฉวี่ย ข้าหรือจะหักใจปล่อยให้พวกนางถูกทำร้ายได้ลงคอ ก่อนและหลังออกกระบี่จะต้องคิดพิจารณาให้ดีอย่างแน่นอน”
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองชุดคลุมอาคมนครจินชุ่ยและกระบี่ยาว ‘ซี่เหมย’ (คิ้วเรียวบาง) ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วถามเสียงเบา “สหายฉางมิ่ง อาจารย์เหวย นอกจากกำไรสามส่วนที่สมเหตุสมผลแล้ว ให้เป็นฝ่ายลดกำไรจากจวนไช่เฉวี่ยเหลือสองส่วน ข้ายังคิดจะใช้นามของภูเขาลั่วพั่วเอากระบี่เล่มนี้มอบให้กับสวีซิ่งจิ่วผู้ฝึกลมปราณของนครเหนือเมฆ ให้เป็นวัตถุปกป้องมรรคาของเขา พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อันที่จริงนครเหนือเมฆตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป แม้จะถือว่าได้ส่วนที่ชดเชยมาตามหลังแล้ว แต่ก็ยังค่อนไปทางมีใจแต่ไร้กำลัง เพราะนครเหนือเมฆไม่ว่าจะเป็นรากฐานของสำนักหรือขอบเขตของผู้ฝึกตนล้วนด้อยกว่าตระกูลเซียนขนาดใหญ่อย่างสำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูกและสวนน้ำค้างวสันต์ ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเทียบกับจวนไช่เฉวี่ยที่มีความสัมพันธ์ด้านเงินทองกับภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกล้ำเท่า ทว่านครเหนือเมฆแห่งนั้น นับตั้งแต่เจ้านครอย่างเสิ่นเจิ้นเจ๋อไปจนถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคน คู่รักอย่างสวีซิ่งจิ่วและจ้าวชิงหว่าน ล้วนเป็นกัลยาณมิตรสำหรับภูเขาลั่วพั่ว หากมีกำลังสิบส่วนก็จะออกกำลังทรัพย์ กำลังคนและทรัพยากรเต็มสิบส่วน แต่กลับไม่เคยตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วน แม้แต่เว่ยป้อยังบอกว่าพันธมิตรบนภูเขาเช่นนี้ มีทองพันชั่งมาซื้อก็ไม่ยอมขาย
บวกกับอวี๋เวิงเซียนเซิงที่พอเดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีป อันดับแรกก็ทิ้งลูกศิษย์ผู้สืบทอดไว้ที่จวนไช่เฉวี่ย จากนั้นจึงพาจ้าวซู่เซี่ยลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อไปเยือนนครเหนือเมฆด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรจวนไช่เฉวี่ยก็มีกลิ่นอายของสตรีเข้มข้นเกินไป ทั้งบนและล่างภูเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนหญิง อาจารย์ผู้เฒ่าจึงต้องหลบเลี่ยงบ้าง
ขนบธรรมเนียม ‘ถามสุราต่อยอดเขาเพียนหราน’ นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว จากนั้นก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนแรกคือคนนอกของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ซึ่งก็คือสวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆ ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่เลื่อนขั้นใหม่ของตำหนักจินอู หลิ่วจื้อชิงที่ตามหลังมาติดๆ หลังจากนั้นมาก็ยังมีผู้ฝึกยุทธหลี่เอ้อที่ระหว่างเดินทางลงใต้ไปยังชายหาดโครงกระดูกได้ตั้งใจพาผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งและเซียนกระบี่คนหนึ่งไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย ผู้ฝึกยุทธก็คือหวังฟู่ซู่ผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่ในอดีตเคยฝึกวรยุทธจนธาตุไฟแตกซ่าน เพราะว่าตอนที่ผู้เฒ่าอยู่ในอาณาเขตของยอดเขาสิงโตได้เอ่ยความในใจของตัวเองออกไปสองสามคำจึงถูกผู้เยาว์อย่างหลี่เอ้อซ้อมไปรอบหนึ่ง ยังดีที่สามารถได้ดื่มเหล้าที่ ‘ถามหมัดถามกระบี่แก่สำนักกระบี่ไท่ฮุยยังไม่สู้ถามสุราต่อยอดเขาเพียนหราน’ พร้อมกับเซียนกระบี่ที่เดินทางไปร่วมกันบนยอดเขาเพียนหรานสำนักกระบี่ไท่ฮุย
ถูกคนปากมากสองคนอย่างหวังฟู่ซู่และเซียนกระบี่ช่วยผลักดันคลื่นลม ไปๆ มาๆ การถามสุราแก่ยอดเขาเพียนหรานก็กลายมาเป็น ‘ลมชั่วปราณร้าย’ ขุมหนึ่งของอุตรกุรุทวีปในทุกวันนี้ เป็นเหตุให้เรื่องแรกที่ลี่ไฉ่ทำหลังจากกลับมาถึงอุตรกุรุทวีปไม่ใช่หวนกลับไปยังทะเลสาบกระบี่ฝูผิง แต่เป็นพกเหล้าตรงไปยังสำนักกระบี่ไท่ฮุย โชคดีที่ตอนนั้นหลิวจิ่งหลงลงจากเขาเดินทางไกลถึงได้หลบพ้นหายนะมาได้
ฉางมิ่งถาม “คิดจะทำกิจการในระยะยาวหรือเป็นการคบค้าสมาคมที่มอบน้ำใจให้แก่กัน?”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “เป็นน้ำใจอย่างเดียวเลย ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องการค้าใดๆ”
ฉางมิ่งกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไร้ความเห็น”
เหวยเหวินหลงพยักหน้ารับ “เห็นด้วยกับผู้คุมกฎ”
“อีกเดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องเก่าๆ ของนครเหนือเมฆให้ทั้งสองท่านฟังอย่างละเอียด”
จากนั้นจูเหลี่ยนก็หันไปมองเซียนกระบี่ใหญ่หมี่
หมี่อวี้อารมณ์ดียิ่งนัก วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดีเสียจริง ในที่สุดก็ได้ช่วยทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อภูเขาลั่วพั่วบ้างแล้ว กลับไปต้องจดบันทึกไว้สักหน่อย เวลานี้จึงพูดกลั้วหัวเราะร่า “เช่นเดียวกัน เช่นเดียวกัน”
เอ่ยจบหมี่อวี้ก็พลันรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนในอดีตอีกครั้ง
สหายฉางมิ่งขอตัวจากไปก่อน ตรงเอวห้อยยันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างไว้หลายชิ้น แทบจะไม่ต่างจากพวงกุญแจของผู้ดูแลน้อยเฉินหน่วนซู่แล้ว ถึงอย่างไรบนภูเขาก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ฉางมิ่งจึงซื้อมาไว้เล่นๆ วันหน้ารอให้ทำเนียบศาลบรรพจารย์มีลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้นนางก็สามารถแจกจ่ายให้ทุกคนตามลำดับได้
ฉางมิ่งสนิทสนมกับหร่วนซิ่วมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นทางฝั่งของสำนักกระบี่หลงเฉวียน หร่วนซิ่วก็น่าจะไปบอกกล่าวไว้ก่อนแล้ว สำหรับเรื่องนี้จึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง นอกจากนี้ทุกครั้งที่ฉางมิ่งจ่ายเงินซื้อยันต์กระบี่ล้วนจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งขึ้น นั่นคือทุกครั้งที่ซื้อยันต์กระบี่จะต้องให้ราคาเพิ่มสูงจากคราวก่อนเป็นเท่าตัว ฉางมิ่งตัดใจจ่ายด้วยเงินเทพเซียนไม่ลง จึงเอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแลกเปลี่ยน
หร่วนฉงนั้นขึ้นชื่อเรื่องที่ไม่ว่าใครบนภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีรอยยิ้มให้ เมื่อก่อนมีแค่เผยเฉียนคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น ทุกวันนี้สหายฉางมิ่งก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้นครึ่งหนึ่งแล้ว ยังคงไม่มีรอยยิ้มให้เหมือนเดิม แต่หากทั้งสองฝ่ายบังเอิญเจอกันบนภูเขาก็จะผงกศีรษะทักทายสหายฉางมิ่งผู้นี้
สุดท้ายจูเหลี่ยนเอ่ยกับเว่ยป้อว่า “พี่เว่ยนานๆ จะได้มาเยือนทั้งที เอาตามกฎเดิม เมล็ดแตงแกล้มเหล้า?”
เว่ยป้อยิ้มถาม “นานๆ มาทั้งที?”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “นี่ก็ไม่ใช่เพื่อช่วยขับดันสถานะซานจวินของพี่เว่ยให้สูงขึ้นหรอกหรือ”
เว่ยป้อกับสหายฉางมิ่งทยอยกันร่ายวิชาอภินิหารออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว
จูเหลี่ยนมอบชุดคลุมอาคมและกระบี่ยาวให้กับหมี่อวี้ “ต้องรบกวนให้พี่หมี่ไปเยือนอุตรกุรุทวีปสักรอบแล้ว”
หมี่อวี้เอ่ยเตือน “น้องจู หากใต้เท้าอิ่นกวานกลับมาที่ภูเขา จำไว้ว่าต้องส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวที่จวนไช่เฉวี่ยทันทีเลยนะ”
จูเหลี่ยนยิ้มพลางตอบตกลง
จูเหลี่ยนออกไปจากเรือนนักบัญชีของเหวยเหวินหลงแล้วก็ไปเดินเล่นอยู่บนภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพัง ไปที่ยอดเขา ตรงศาลเทพภูเขาเก่าแห่งนั้นชั่วคราวนี้ยังไม่ได้คิดว่าควรจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสม สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดของภูเขาลั่วพั่ว ข้อห้ามบนภูเขาค่อนข้างจะมีเยอะ
เริ่มคิดถึงพี่น้องต้าเฟิงขึ้นมาบ้างแล้ว มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขพร้อมกันหลายๆ คน หน้าหนังสือที่สำคัญหลายแผ่นในตำราเทพเซียนเหล่านั้น หากมีภาพสีวาดประกอบจะต้องพับมุมหนังสือไว้เบาๆ นี่ก็คือความเข้าอกเข้าใจที่จูเหลี่ยนมีต่อผู้อื่นแล้ว
ในอดีตทุกครั้งที่พี่น้องต้าเฟิงขึ้นเขามายืมหนังสือ เพียงแค่สะบัดเบาๆ หนังสือดีหรือไม่ดี แค่ดูที่จำนวนมุมกระดาษที่ถูกพับว่ามีมากหรือน้อยก็รู้ได้ในปราดเดียวแล้ว ฝีเท้ายามขึ้นเขาของพี่น้องต้าเฟิงมักจะรีบร้อน ตอนลงจากภูเขากลับรีบร้อนยิ่งกว่า
ตอนที่ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง จูเหลี่ยนลงจากเขาไปที่เรือนไม้ไผ่ เห็นเงาร่างสองเงาเล็กใหญ่ของเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่
จูเหลี่ยนชะลอฝีเท้าให้เบาลง เดินไปนั่งด้านข้าง หมี่ลี่น้อยยังหลับสนิท อีกทั้งยังหลับฝันหวานมากเป็นพิเศษ คนโตมีความคิดที่ซับซ้อนของคนโต ส่วนภูตน้ำน้อยก็มีเรื่องในใจของภูตน้ำน้อย เมื่อหล่นลงในใจของแต่ละคน อันที่จริงน้ำหนักล้วนมากเหมือนกัน
จูเหลี่ยนรวมเสียงให้เป็นเส้นบอกถึงผลลัพธ์จากการประชุมในห้องบัญชีเมื่อคืนให้เผยเฉียนฟัง
เผยเฉียนรู้ถึงความตั้งใจของพ่อครัวเฒ่า นั่นคือไม่ต้องการให้ตนมองข้ามผู้คุมกฎฉางมิ่งและเซียนกระบี่หมี่อวี้ อย่ามองข้ามสิ่งที่พวกเขาเสียสละทุ่มเทให้กับภูเขาลั่วพั่ว
จูเหลี่ยนเอ่ย “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องถามเจ้าก่อน”
พ่อครัวเฒ่าเอ่ยจบ เผยเฉียนก็กล่าวว่า “ข้าไม่มีความเห็นต่าง”
จูเหลี่ยนทอดสายตามองทัศนียภาพด้านนอกหน้าผา “คนที่มองทัศนียภาพของขุนเขาเดิมๆ สายน้ำเดิมๆ ได้โดยไม่เคยรู้สึกเบื่อ อาจมีแค่หมี่ลี่น้อยของพวกเราคนเดียวแล้ว อยู่บนเส้นทางของชีวิตมนุษย์ บางคนเดินได้เร็ว ส่วนบางคนก็สามารถเดินได้ช้าหน่อย บางคนตัวสูง จิตใจเหมือนว่าเกิดมาก็เพื่อหันหาแสงอาทิตย์ เงาถูกลากยาวออกไป ทอดไปบนเส้นทางด้านหลัง สามารถทำให้พวกเด็กๆ ที่อยู่ด้านหลังคอยหลบอยู่ในร่มเงา หลบแสงแดดร้อนระอุ หลบลมฝนที่พัดใส่ได้ตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นความเสียดายที่คนจำต้องเติบใหญ่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าและข้าปล่อยวางไม่ลงขนาดนั้นอีกแล้ว”
เผยเฉียนลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อยเบาๆ “เข้าใจแล้ว”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง เผยเฉียนก็หันหน้ามาเอ่ยอย่างเขินอายว่า “เรื่องบนหอบูชากระบี่ ข้าต้องขอโทษเจ้าจากใจจริง”
ดวงตาทั้งคู่ของจูเหลี่ยนหยีโค้งลง สองมือกำเป็นหมัดหลวมๆ วางลงบนหัวเข่า สีหน้าอ่อนโยน “จะทำเรื่องที่เกินความจำเป็นนี้ไปไย ดูแคลนจิตใจของพ่อครัวเฒ่าหรือไร?”
เผยเฉียนทอดสายตามองไปไกลพร้อมกับพ่อครัวเฒ่า “พ่อครัวเฒ่าถือสาหรือไม่ กับเผยเฉียนมีใจเช่นนี้ ยินดีขอโทษต่อหน้าหรือไม่ คนละเรื่องกัน”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “คุณชายสอนวิชาหมัดได้ดี แต่สอนหลักการเหตุผลได้ดียิ่งกว่า”
เผยเฉียนยิ้มอย่างเข้าใจ “ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งนี้ ได้เดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ มากมาย ยังคงเป็นพ่อครัวเฒ่าที่เข้าใจพูดมากที่สุด”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ก็มีกระดูกเหล็กที่แข็งแกร่ง ไม่เคยขับเรือตามกระแสลมตั้งแต่เด็กนี่นะ”
เผยเฉียนหัวเราะร่วน
เผยเฉียนพลันถามว่า “แคว้นหูแห่งนั้น จะให้ข้าแอบไปเดินเล่นรอบหนึ่งก่อนที่จะลงจากภูเขาหรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ต้องมีหมากที่สกุลสวี่นครลมเย็นจัดวางไว้ซ่อนตัวอยู่ด้านในแน่นอน บางส่วนก็ถูกเพ่ยเซียงจับขังไว้แล้ว บ้างก็ส่งคนสนิทให้ไปคอยจับตามองอย่างลับๆ ส่วนพวกที่ยังเหลืออยู่ ขนาดเจ้าแห่งแคว้นหูยังสัมผัสไม่ถึง ดังนั้นการเอาแคว้นหูไปไว้ที่พื้นที่มงคลรากบัวย่อมดีที่สุด คงไม่อาจสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาได้ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไปนัก หลักการเหตุผลตื้นเขิน ให้ตายอย่างไรสกุลสวี่ก็ไม่มีทางคิดได้ว่าแคว้นหูจะถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นหมากของแคว้นหูที่สำคัญที่สุด อย่างมากก็แค่มีข้อได้เปรียบเรื่องพละกำลังเท่านั้น หลักๆ แล้วเอามาใช้งัดข้อกับเจ้าแห่งแคว้นหูที่มีตบะเป็นก่อกำเนิด เอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟัง ให้เฉินหลิงจวินกับหงเซี่ยไปอยู่ที่แคว้นหูก็สามารถกำจัดเรื่องไม่คาดฝันทิ้งไปได้แล้ว ส่วนกลอุบายทั้งหลาย ขอแค่หมากพวกนั้นกล้าเคลื่อนไหว ข้าก็สามารถสืบสาวเบาะแสจนควานไปเจอตัวพวกเขาทีละคน ไม่ต้องกลัวเลยสักนิดว่าพวกเขาจะงัดข้อเรื่องแรงกายเรื่องความคิดอะไรกับพวกเราได้ รอกระทั่งกองกำลังของแคว้นหูตั้งตัวได้แล้ว คนและเรื่องราวมากมายที่เดิมทีถือว่าเป็นตัวแปรก็ย่อมจะหลอมรวมเข้ามาในสถานการณ์อย่างเป็นธรรมชาติไปเอง”
เผยเฉียนลังเลตัดสินใจไม่ได้
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “รู้สึกว่าข้าอิดออดเกินไป ไม่เด็ดขาด ไม่ลงมือรวดเร็วฉับไวกับเพ่ยเซียงฮูหยินที่เป็นเจ้าแห่งแคว้นหูมากพอหรือ? หรือรู้สึกว่าใจเห็นแก่ตัวที่ข้ามีต่อเพ่ยเซียงเข้มข้นเกินไป เพราะกังวลว่านางอยู่บนภูเขาลั่วพั่วจะไม่มีอะไรดี กลับกันยังสะสมภัยแฝงไว้เพราะสาเหตุนี้ด้วย ในอนาคตเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ มากมายผสมทับซ้อนกันอาจกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันใหญ่? ไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอก หากต้องการจะให้คนยอมศิโรราบทั้งกายและใจอย่างแท้จริง อาศัยแค่เรี่ยวแรงและพลังอำนาจยังคงไม่พอ หากภูเขาลั่วพั่วยังเป็นเหมือนช่วงที่เจ้าและข้าเพิ่งมาถึง แน่นอนว่าข้าต้องใช้พลานุภาพดุจสายฟ้าสยบกำราบความคิดขึ้นๆ ลงๆ ทั้งหลายเอาไว้ ทว่าทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วมีความมั่นใจและมีรากฐานมากพอแล้ว สามารถค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปได้”
“ใจที่คิดร้ายต่อคนอื่นไม่ควรมี แต่ใจที่ป้องกันคนอื่นไม่ควรขาด ไม่เพียงแต่พวกเราต้องปฏิบัติต่อโลกด้วยความคิดเช่นนี้ เมื่อโลกปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนี้ พวกเราก็ต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้”
“หลักการนี้ แน่นอนว่าข้าเข้าใจ เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสนใจมากนัก จูเหลี่ยนที่อยู่ในและนอกพื้นที่มงคลดอกบัวล้วนเป็นเช่นนี้ เพียงแต่คุณชายกลับถือสาอย่างมาก ตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วก็ย่อมต้องถือสาตามไปด้วย”
“ในกฎเกณฑ์ ต้องมีความยืดหยุ่นที่มากพอให้กับใจคน ยอมให้อีกฝ่ายสามารถทำถูกและทำผิดระหว่างเส้นสองเส้นที่แบ่งความผิดใหญ่และความถูกใหญ่ได้”
“คำพูดเหล่านี้เดิมทีควรจะรอให้เพ่ยเซียงเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่อง ‘โชคชะตาบุ๋น’ ของแคว้นหูกับภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเองเสียก่อน ข้าถึงจะพูดกับนางอย่างจริงใจ เวลานี้ก็ถือเสียว่าเอาหลักการเหตุผลใหญ่มาบ่นให้เจ้าฟังไปก่อนแล้วกัน เจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านเลยไป”
เผยเฉียนพยักหน้า “เรื่องที่ให้เฉาฉิงหล่างสูญเงินในพื้นที่มงคล ข้าก็จะไม่จดบัญชีเจ้าแล้ว”
จูเหลี่ยนหัวเราะอย่างฉุนๆ “หรือว่าหากข้าไม่พูดเรื่องนี้ก็ยังจะถูกเจ้าคิดบัญชีอยู่เหมือนเดิม?”
เผยเฉียนพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล “สมุดบัญชีหลายหีบนั้นของข้า ต่อให้เป็นอาจารย์พ่อของข้าก็ยังไม่ไปเปิดอ่านดู พ่อครัวเฒ่าเจ้าก็ยิ่งควบคุมไม่ได้แล้ว”
จูเหลี่ยนถามอย่างใคร่รู้ “เลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาที่ไหน? ธวัลทวีป?”
ตอนที่อยู่ศาลเหลยกง เผยเฉียนเคยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังภูเขาลั่วพั่ว นั่นเป็นจดหมายทางบ้านฉบับสุดท้ายที่เผยเฉียนส่งมา ตอนนั้นเผยเฉียนยังเป็นแค่ขอบเขตเดินทางไกลเท่านั้น
——