ลู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจียงอวิ๋นเซิงรับพี่หญิงชุนฮุยเป็นแม่บุญธรรมดีไหม? ไม่ต้องหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนไปอยู่ที่นครชิงชุ่ยอะไรนั่น ได้ลูกชายคนหนึ่งมาเปล่าๆ เล่าลือออกไปก็น่าฟัง ช่วยเพิ่มบารมีให้กับสายของเซียนกระบี่อารามเสวียนตูใหญ่ได้มากเลยทีเดียว”
นักพรตหญิงขอบเขตหยกดิบรูปโฉมอ่อนเยาว์หรี่ดวงตาหงส์ทั้งคู่ลง “เจ้าลัทธิลู่!”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างจนใจ “ช่างเถิดๆ นักพรตน้อยเช่นข้าไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นเฒ่าจันทราจริงๆ แต่ก็บอกตามตรงนะ ในอดีตตอนที่ไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู ข้าตั้งใจศึกษาเรื่องลายมือมานานหลายปี ดูเรื่องวาสนาด้านการครองคู่ทำนายโชคและเคราะห์ พยากรณ์ชะตาชีวิต ดูให้ใครก็แม่นยำทุกครั้ง พี่หญิงชุนฮุย ไม่สู้ให้ข้าช่วยดูให้เจ้าดีไหม?”
นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่หน้าประตูใหญ่ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คงไม่ใช่ว่าเจ้าลัทธิลู่ถูกเทวบุตรมารนอกโลกยึดครองดวงวิญญาณหรอกนะ วันนี้ไม่เห็นทำตัวไร้ยางอายเลย ในอดีตเจ้าลัทธิลู่มรรคกถาสูงส่ง ทำอะไรคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยสายน้ำไหล เหมือนน้ำค้างเหมือนสายฝนที่ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็กระจายเละที่นั่น วันนี้ทำไมถึงเปลี่ยนนิสัยทำตัวเป็นเฒ่าจันทราด้วยความหวังดีได้ล่ะ ชุนฮุย รับเจียงอวิ๋นเซิงเป็นบุตรบุญธรรม ตอนนี้ก็ไม่ใช่มีลูกบุญธรรมสำเร็จรูปพาตัวมาส่งถึงหน้าประตูพอดีหรอกหรือ จะไปเกรงใจคนเขาทำไม”
การแต่งกายของนักพรตซุนในเวลานี้เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่อย่างมาก เขาสะพายกระบี่ไม้ท้อหนึ่งเล่ม ตรงเอวห้อยกระดิ่งทองแดง บนร่างสวมชุดคลุมอาคมลัทธิเต๋าตัวหนึ่งที่ทอขึ้นจากเส้นไหมทั่วไป ซ่อนลายปักสิบสองภาพสอดคล้องกับสิบสองเดือนในหนึ่งปี
หากถูกคนบนเส้นทางเดียวกันในอดีตบางคนเห็นเข้า จะต้องแอบชื่นชมเขาคำหนึ่งว่านักพรตเฒ่าช่างมีมาดของเซียนยิ่งนัก
ลู่เฉินหัวเราะร่า “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ไม่ผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างนักพรตซุนหรอก หมาแก่นอนเฝ้าคืนอยู่หน้ารัง ปากขยับกายไม่ขยับ หากย้ายรังเมื่อไหร่ก็จะมีมาดแบบใหม่ กลายเป็นตะพาบเฒ่าพลิกสระ สร้างคลื่นลมมรสุม”
นักพรตซุนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไป พวกเราสองพี่น้องเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
ลู่เฉินพยักหน้ารับอย่างแรง ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไป แต่กลับไม่เหยียบเท้าลงพื้น
นักพรตซุนที่ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้าเมตตาปราณีอยู่ตลอดเวลา
ทว่านักพรตหญิงสะพายกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนั้นกลับมีเหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากแล้ว
ไม่ใช่ว่านางขี้ขลาด แต่เป็นเพราะหากเท้าข้างนั้นของลู่เฉินสัมผัสพื้นดินในประตูใหญ่ อาจารย์ปู่ก็จะรับรองแขกแล้ว แล้วยังเป็นการรับรองแขกแบบไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย อะไรที่เรียกว่าค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขา ตราผนึกอารามเต๋า บวกกับศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มใหญ่ของนาง หรือกระทั่งคนอีกหลายคนที่นางเรียกว่าอาจารย์ลุงอาจารย์อา จะต้องกระจายตัวไปทั่วสี่ทิศของอารามเต๋าในชั่วพริบตา เพื่อขัดขวางทางหนี…ผู้ฝึกตนของอารามเสวียนตูใหญ่ เดิมทีก็ชอบใช้คนทั้งกลุ่ม ‘ท้าตีตัวต่อตัว’ กับคนคนเดียวอยู่แล้ว
ลู่เฉินกระโดดผลุง เปลี่ยนเท้าข้างที่ข้ามธรณีประตู ยังคงค้างลอยอยู่กลางอากาศ “หึ นักพรตน้อยไม่เข้าไปหรอก”
นักพรตหญิงสะพายกระบี่ไม่ได้รู้สึกตลกเลยแม้แต่น้อย นางยังคงทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอยู่ตลอดเวลา แม้จะกังวลว่าตัวเองจะต้องเดือดร้อนไปกับเทพเซียนตีกันของบุคคลอันดับสามและบุคคลอันดับห้าของใต้หล้า แต่เพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งอารามเสวียนตูใหญ่ยังมีขนบธรรมเนียมที่ว่าแพ้ตัวคนไม่แพ้ขบวนรบ นางจึงได้แต่แข็งใจยืนอยู่ที่เดิม สองมือของนางสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ทำมุทราอยู่เงียบๆ นอกจากจะพยายามรักษาตัวรอดให้ได้แล้ว ยังจะต้องหาโอกาสฟันกระบี่ลงบนร่างเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงสองสามที หรือไม่ก็กระแทกวิชาลัทธิเต๋าลงบนร่างของอีกฝ่ายหนักๆ ให้ได้ด้วย
นักพรตซุนหมุนตัวเดินขึ้นไปบนบันไดนอกประตูใหญ่ของอารามเต๋า ลู่เฉินยกเท้าขึ้น เอ่ยบอกลาพี่หญิงชุนฮุยหนึ่งคำ เดินอาดๆ ตามไปข้างกายนักพรตซุน ยิ้มเอ่ยว่า “กระบี่เซียนไท่ป๋ายหายไปทั้งอย่างนี้ เสียดายหรือไม่ ที่ข้ามีเกลืออยู่บ้าง พี่ซุนเชิญเอาไปทำกับข้าวได้ตามสบาย อาหารเจในอารามเต๋าจะได้ไม่ไร้รสชาติ”
นักพรตซุนเดินลงบันได แต่ตอนที่ก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้าย รอกระทั่งฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นดินแล้ว นักพรตเฒ่าก็พาลู่เฉินไปปรากฏตัวห่างออกไปหลายหมื่นลี้
นักพรตซุนชอบความเงียบสงบ ด้านนอกอาณาเขตของอารามเสวียนตูใหญ่จึงสร้างคฤหาสน์หลบร้อนขึ้นมาแห่งหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอะไร แล้วก็ไม่มีตราผนึกใดๆ ทัศนียภาพเพียงแห่งเดียวที่พอจะเอาออกมารับรองแขกได้ก็คือต้นสนโบราณหมื่นปีที่เก่าแก่เขียวขจีราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้
ใต้ต้นสนมีเด็กชายชุดขาวกำลังต้มชา และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สวมเสื้อเกราะที่หนวดแข็งเหมือนง้าว บนศีรษะสวมกวานสูงองค์หนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
ระหว่างใบไม้ของต้นสนโบราณห้อย ‘ถาดหยกขาว’ โปร่งใสแวววาวน่ารักไว้ใบหนึ่ง ราวกับเป็นของประดับตกแต่งในห้องหนังสือที่ถูกฝังเลื่อมลงไประหว่างร่มเงาใบไม้เขียวขจีของสนโบราณ
นอกจากนี้บนพื้นดินสองฝั่งเหนือใต้ของต้นสนโบราณยังมีตัวอักษรที่ในอดีตตอนที่นักพรตซุนบอกลากับศิษย์น้องได้ใช้กระบี่เซียนไท่ป๋ายแกะสลักเอาไว้ เป่ยเฟิง หนันโต่ว
ด้านล่างต้นสนมีโต๊ะหิน หลังจากที่ซุนไหวจงนักพรตผู้เฒ่านั่งลงแล้ว ลู่เฉินก็ถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิ ปลดกวานดอกบัวบนศีรษะลงมาวางบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ
ลู่เฉินพูดเข้าประเด็นทันที “ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่งของอาจารย์ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ยินดีจะมาหาเรื่องถูกด่าที่นี่หรอก”
นักพรตซุนขมวดคิ้วน้อยๆ
นอกจากใต้หล้าแห่งที่ห้าที่ฟ้าดินเพิ่งเปิดใหม่แล้ว อีกสี่แห่งที่เหลือฟ้าดินล้วนมีระบบระเบียบ มหามรรคาเข้มงวดแน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้ามืดสลัวหรือใต้หล้าไพศาล ใต้หล้าทุกๆ แห่ง การต่อสู้กันระหว่างผู้ฝึกตนจะต้องมีกฎเกณฑ์ใหญ่เทียมฟ้าอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือต้องไม่รวมคนสี่คน ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้ามืดสลัวแห่งนี้ ไม่ว่าใครจะใจกล้าแค่ไหนก็ไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเองสามารถไปงัดข้อกับมรรคาจารย์เต๋าได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจิตแห่งเต๋าแข็งแกร่งพอหรือไม่ กล้าหรือไม่กล้าแล้ว ไม่ได้ก็คือไม่ได้
เพียงแต่ว่ากระทั่งป๋ายอวี้จิงมรรคาจารย์เต๋ายังไม่ยินดีจะไปเยือนบ่อยๆ ปล่อยให้ลูกศิษย์สามคนผลัดกันดูแลป๋ายอวี้จิง ต่อให้เป็นนักพรตซุน ไม่ว่าจะเห็นอวี๋โต้วเต๋าเหล่าเอ้อผู้นั้นขวางหูขวางตาอย่างไร แต่กับมรรคาจารย์เต๋ากลับยังมีความนับถืออยู่หลายส่วน
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ป๋ายเหย่เป็นคนที่ไม่ยินดีติดค้างน้ำใจใคร ดังนั้นหากเรื่องไม่คาดฝันไม่ใหญ่มากนัก เกินครึ่งก็น่าจะมาชดใช้คืนน้ำใจที่อารามเสวียนตูใหญ่ และทางฝ่ายศาลบุ๋นก็จะไม่ขัดขวาง วันนี้ข้ามาพบเจ้าก็เพื่อทักทายบอกกล่าวไว้ก่อน ในอดีตป๋ายอวี้จิงกับอารามเสวียนตูใหญ่เคยเป็นอย่างไร วันหน้าก็จะยังเป็นอย่างนั้น ป๋ายเหย่แค่มาตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นี่ก็พอ ไม่ว่าป๋ายเหย่จะเข้ามาอยู่ในทำเนียบศาลบรรพจารย์ของอารามเสวียนตูใหญ่หรือไม่ก็ล้วนถูกป๋ายอวี้จิงมองเป็นแค่ป๋ายเหย่ ดังนั้นเจ้าอารามซุนจะกังวลกับกี่เรื่องก็ได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่จำเป็นต้องกังวล”
นักพรตซุนพยักหน้ารับ
ลู่เฉินเอามือข้างเดียวเท้าคาง เอนตัวพิงโต๊ะหิน “ได้ยินมาตลอดว่าพี่ซุนรับลูกศิษย์ที่ดีมาไว้หลายคน เป็นหยกงามวัตถุดิบดีเยี่ยม ทำไมถึงไม่ให้นักพรตน้อยได้เห็นเป็นบุญตาบ้างเล่า”
นักพรตซุนถาม “ป๋ายเหย่ตายอย่างไร แล้วมีชีวิตรอดได้อย่างไร?”
ลู่เฉินถอนหายใจ ใช้มือต่างพัดโบกเบาๆ “โจวมี่ผสานมรรคาได้ประหลาดนัก คือภัยน่ากังวลบนมหามรรคาโดยแท้ เจ้าหมอนี่ทำให้เจตนารมณ์สวรรค์ของใต้หล้าไพศาลปั่นป่วนเละเทะ ซิ่วหู่ก็ครึ่งหนึ่ง ไม่ช้าไม่เร็วดันเพิ่งจะสะบั้นเส้นสายที่สำคัญสายหนึ่งของข้าไปพอดี ส่วนสิ่งที่เห็นในสายตาของพวกลูกศิษย์อย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียง เฉาหรง ข้าก็ไม่เชื่ออีก คำนวณไม่สู้อยู่เฉยๆ ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องในบ้านของตัวเอง ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีศิษย์พี่อวี๋โต้วผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงแบกรับให้อยู่ไม่ใช่หรือ”
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด “เต๋าเหล่าเอ้อยินดีมอบกระบี่ให้ป๋ายเหย่ยืม เกือบจะทำให้นักพรตเฒ่าเช่นข้าตกใจตาถลนแล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ศิษย์พี่อวี๋มีมาดวีรบุรุษองอาจอย่างมาก ในฐานะที่พี่ซุนเป็นคนกันเองครึ่งตัวก็อย่าพูดอะไรโดยใช้อารมณ์เลย ง่ายที่จะทำร้ายความรู้สึกกัน”
นักพรตซุนและลู่เฉินเงยหน้ามองท้องฟ้าแทบจะเวลาเดียวกัน
นักพรตซุนลุกขึ้นยืน แผดเสียงหัวเราะดังลั่น มือสองข้างทำมุทรา ถาดหยกขาวที่อยู่ระหว่างใบของต้นสนโบราณส่องประกายแสงระยิบระยับแผ่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
ส่วนลู่เฉินนั้นรีบสวมรองเท้า ไปแล้วๆ เผ่นหนีเพื่อความปลอดภัยดีกว่า
รอกระทั่งลู่เฉินจากไปแล้ว แสงสว่างก็ผลุบกลับมาที่เดิม นักพรตซุนมองหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาถลึงตากว้าง เต็มไปด้วยความกังขา พูดด้วยน้ำเสียงไม่กล้าเชื่อว่า “ป๋ายเหย่?”
เด็กชายที่สวมหมวกหัวเสือคนนั้นพยักหน้ารับ หยิบฝักกระบี่เล่มหนึ่งออกมายื่นส่งให้นักพรตผู้เฒ่า เอ่ยขออภัยว่า “กระบี่เซียนไท่ป๋ายถูกทำลายไปแล้ว…”
นักพรตซุนโบกมือเป็นวงกว้าง เอ่ยคำหนึ่งว่าช่างแม่งเถอะ เรื่องใหญ่เท่าก้นจะต้องพูดมากไปไย ผู้เฒ่าเดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเด็กชายแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง เอ่ยสัพยอกว่า “เด็กน้อยบ้านไหนถึงได้ผิวอมชมพูงดงามราวหยกแกะสลักเช่นนี้ วันหน้าพวกหญิงสาวในอารามเสวียนตูใหญ่จะไม่เสียสมาธิฝึกตน ทุกวันเอาแต่วิ่งมาบีบหน้าเล็กๆ นี่หรอกหรือ ข้าที่เป็นอาจารย์ปู่คนนี้ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากเสียด้วยสิ…”
ป๋ายเหย่สีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ดึงเชือกผูกหมวกที่รัดอยู่ใต้คาง
อารมณ์ของเด็กชายในเวลานี้น่าจะไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
ระหว่างที่เดินทางมา ซิ่วไฉเฒ่าพูดจาน่าเชื่อถือว่าบอกปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยเตือนมาก่อนว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนถอดหมวกนี้ออก จะดีจะชั่วก็รอให้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเสียก่อน
ขนาดป๋ายเหย่ยังมิอาจจินตนาการได้ว่าก่อนที่ตนจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วต้องคอยสวมหมวกหัวเสือนี่ไว้ตลอดเวลาจะมีสภาพเป็นเช่นไร
สองนิ้วของซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ด้านข้างคีบยันต์เดินทางไกลกระดาษสีเขียวใบหนึ่งเอาไว้ เวลานี้ยันต์ค่อยๆ สลายหายไป รอกระทั่งยันต์เผาไหม้จนหมดสิ้นแล้วก็ถึงเวลาที่ซิ่วไฉเฒ่าจะกลับไปยังไพศาล
นักพรตซุนลุกขึ้นยืน คารวะตามแบบพิธีการของลัทธิเต๋า ยิ้มเอ่ยว่า “ซิ่วไฉเฒ่ามีมาดสง่างามไม่เหมือนใคร”
ซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะกลับ ยิ้มตาหยีเอ่ยชื่นชมว่า “ท่านนักพรตมรรคายาวไกล”
สองฝ่ายสบตาแล้วยิ้มให้กัน ต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
ได้ยินชื่อมานานไม่สู้พบหน้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นคนบ้านเดียวกันจริงๆ
จากนั้นมือหนึ่งของซิ่วไฉเฒ่าก็คีบยันต์ อีกมือหนึ่งชี้ไปยังจุดสูง เขย่งปลายเท้าตะเบ็งเสียงด่าดังลั่น “เต๋าเหล่าเอ้อ ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงใช่ไหม? หากเจ้าไม่มาถกปัญหากับข้าก็ให้มันรวดเร็วฉับไวหน่อย เอากระบี่เซียนเล่มนั้นมาฟันข้าโดยตรงเลย มาๆๆ ฟันมาตรงนี้ จำไว้ว่าเอากระบี่เซียนเล่มนั้นมาด้วย ไม่อย่างนั้นก็อย่ามา มาแล้วฝีมือคงไม่มากพอ นักพรตซุนที่มีจิตใจของผู้กล้าไม่มีทางลำเอียงช่วยเหลือใครเด็ดขาด บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าและข้าจะชำระให้กระจ่างชัดได้ด้วยกระบี่เซียนเล่มเดียวเท่านั้น…”
จุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง เต๋าเหล่าเอ้อหรี่ตาลง ทำมุทราคำนวณอยู่ในชายแขนเสื้อ ขณะเดียวกันก็มองไปที่ม่านฟ้าด้วย
ป๋ายเหย่พลันเอ่ยว่า “กระบี่เซียนเต้าจ้างมีแต่จะกลับมายังใต้หล้ามืดสลัวก่อนที่ยันต์ของเจ้าจะสลายหายไป”
แม้ว่าขอบเขตจะไม่มีแล้ว แต่แววตายังมีอยู่
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า สีหน้าเป็นธรรมชาติ
เพียงแต่ว่ารีบทิ้งมือที่ถือยันต์ลง แล้วแอบสะบัดเบาๆ
ครู่หนึ่งต่อมาก็ยกมือขึ้นแล้วเป่าลมใส่แรงๆ เสียเลย
ล้วนเป็นคนกันเอง จะต้องสนใจหน้าตาไปไย จะพิถีพิถันอะไรส่งเดช
ซิ่วไฉเฒ่าจนก็จริง แต่ไม่เคยจนเรื่องความพิถีพิถัน
นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “เหวินเซิ่งไม่ต้องรีบร้อนกลับ หากเต๋าเหล่าเอ้อกล้ามาที่นี่จริงๆ ข้าก็กล้าไปป๋ายอวี้จิง”
ซิ่วไฉเฒ่ากำยันต์ในมือแน่น ถูมือยิ้มเอ่ย “อย่าๆๆ จะเดือดร้อนให้ป๋ายเหย่ที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ก็สร้างความขัดแย้งแบบนี้ไม่ได้”
นักพรตซุนพลันขมวดคิ้วมุ่น “ซิ่วไฉเฒ่า เจ้าไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าได้หรือไม่?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไปไม่ได้”
นักพรตซุนเอ่ยเตือน “ทางที่ดีที่สุดควรไป”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเข้าใจได้ในพริบตา แบมือออก นักพรตซุนประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แสงวิเศษจุดหนึ่งรวมตัวอยู่ที่ปลายนิ้ว เขากดลงบนยันต์เดินทางไกลที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์วาดขึ้นด้วยตัวเองเบาๆ
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปมองเด็กชายหมวกหัวเสือ
ควรวางใจถึงจะถูก แต่กลับรู้สึกไม่วางใจเลยจริงๆ
ถึงอย่างไรทุกวันนี้ป๋ายเหย่ก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ต้องถามมรรคาใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่ผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ขอบเขตสิบสี่คนนั้นอีกแล้ว
ป๋ายเหย่เอ่ย “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ วันหน้าจะไปดื่มเหล้ากับเจ้า”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ พลันรู้สึกเสียใจอย่างลึกล้ำ ถามเบาๆ ว่า “ป๋ายเหย่ที่แหงนหน้าหัวเราะก้องฟ้าออกเดินทางผู้นั้น อันที่จริงข้าสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอดว่าคือป๋ายเหย่ที่เป็นเช่นไรกันแน่”
จริงๆ แล้วซิ่วไฉเฒ่าก็ถามไปอย่างนั้นเอง ป๋ายเหย่จะตอบหรือไม่ ไม่สำคัญ
เด็กชายสวมหมวกหัวเสือครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะยกสองแขนกอดอก เขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เชิดหน้าขึ้นสูง อ้าปากแล้วก็หุบลง ระหว่างนั้นคล้ายจะเอ่ยสามคำเร็วๆ ราวกับท่องหนังสือ เสียงที่เปล่งออกมาแทบไม่มีระดับสูงต่ำ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ค่อนข้างจะทำอย่างขอไปทีอยู่บ้าง
นักพรตซุนที่อยู่ด้านข้างต่อให้เห็นคลื่นลมมรสุมมามากมายก็ยังรู้สึกว่าวันนี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะจนหุบปากไม่ลง หน้าทั้งหน้ายับย่นเข้าด้วยกัน ผู้เฒ่าที่ชอบบ่นจู้จี้มากที่สุดผู้นี้กลับไม่เอ่ยอะไรให้มากความ เมื่อยันต์สลายหายไป ร่างของผู้เฒ่าก็เปล่งวูบหายไปด้วย พอประตูใหญ่ของม่านฟ้าเปิดก็หวนกลับไปยังใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง
——