บทที่ 732.1 แหงนหน้าหัวเราะดังก้องฟ้า ยังจะพูดอะไรได้อีก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง

เทพเกราะทองที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดพลันลุกขึ้นยืน สีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะผู้ที่มาเยือนด้วยความเคารพ

สามารถทำให้เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานให้ความเคารพจากใจจริงได้เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ซิ่วไฉเฒ่าที่กำลังหัวเราะหน้าเป็นทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ผู้นั้น แต่เป็น…ป๋ายเหย่ที่อยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า ตอนนี้กลายมาเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่สวมหมวกหัวเสือแล้ว

ผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ถือกระบี่ไปเยือนฝูเหยาทวีป เงื้อกระบี่ฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า หากรวมการลงมือของโจวมี่และหลิวชาในตอนท้ายเข้าไปด้วย ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าป๋ายเหย่คนเดียวถือกระบี่เซียนสี่เล่ม ชี้กระบี่ท้าทายปีศาจบนบัลลังก์แปดตน

เพียงแต่ว่าเด็กน้อยในเวลานี้สวมชุดสีขาวสวมหมวกใบใหญ่สีแดง คิ้วตางามพิสุทธิ์ แฝงสีหน้าเย็นชาห่างเหินไว้หลายส่วน พอเห็นเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซาน เด็กชายก็แค่พยักหน้าเบาๆ

ซิ่วไฉเฒ่าเอามือกดลงบนหมวกหัวเสือ “อะไรกัน เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่มีมารยาทแล้วนะ พบเจอกับเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานของพวกเรา…”

เด็กชายยกมือขึ้นปัดมือของซิ่วไฉเฒ่าทิ้ง บอกเป็นนัยแก่เขาว่าแค่พอสมควรก็พอแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งทำเป็นช่วยจัดหมวกหัวเสือที่เอียงให้ “ลมบนภูเขาแรง ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะถูกไอเย็นไม่ใช่หรือ?”

ถึงอย่างไรทุกวันนี้จิตวิญญาณของป๋ายเหย่ก็ยังอ่อนแอ จำเป็นต้องมีวัตถุชิ้นหนึ่งช่วยอำพรางความลับสวรรค์ หลีกเลี่ยงไม่ให้บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้นตามมาตอแยไม่เลิกรา ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงไปขอสมบัติล้ำค่าของศาลบุ๋นชิ้นหนึ่งมาจากปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลังจากที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอาภาชนะในการประกอบพิธีการมาจากศาลบุ๋นแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะโน้มน้าวให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ช่วยหลอมให้ด้วย สุดท้ายมันจึงกลายมามีลักษณะเหมือนหมวกหัวเสือใบที่ป๋ายเหย่ชอบสวมเมื่อครั้งยังอยู่บ้านเกิดตอนยังเยาว์

เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานรู้สึกอยุติธรรมแทนป๋ายเหย่จริงๆ จึงใช้เสียงในใจพูดกับซิ่วไฉเฒ่าอย่างเดือดดาลว่า “ซิ่วไฉเฒ่า ทำตัวให้เป็นการเป็นงานหน่อย!”

ซิ่วไฉเฒ่าหดมือกลับมาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะยิ้มถามเด็กชาย “พวกเราสองคนเดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขา หรือจะรบกวนให้ท่านเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานช่วยส่งไปที่นั่นดีล่ะ?”

เด็กชายขยับเท้าเดินนำไปก่อน คร้านจะพูดคุยกับซิ่วไฉเฒ่าแม้แต่ครึ่งคำ เขาคิดว่าจะเดินไปที่ยอดเขาสุ้ยซานเพื่อไปพบกับปรมาจารย์มหาปราชญ์

ชั่วชีวิตนี้ป๋ายเหย่ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนมามากมาย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ด้วยการจับผลัดจับผลูหลายครา มีหลายครั้งที่ป๋ายเหย่เดินทางผ่านภูเขาสุ้ยซาน แต่กลับไม่เคยขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้มาก่อน ดังนั้นป๋ายเหย่จึงอยากอาศัยโอกาสนี้มาเดินเที่ยวชมดูสักหน่อย

ซิ่วไฉเฒ่าเดินตามไปด้านหลังป๋ายเหย่น้อยที่สวมหมวกหัวเสือ หันหน้าไปมองเจ้าโง่ใหญ่ที่คิดจะนั่งกลับลงไปเหมือนเดิมแล้วด่าขำๆ ว่า “ก้นเจ้าออกไข่ฟักลูกเจี๊ยบฝูงหนึ่งได้หรือไง หรือว่าทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนี้สามารถเก็บเงินจากตาเฒ่าได้ ยังไม่รีบมาคุ้มกันอีก? ให้เร็วเลย! พายุลมกรดบนภูเขาสุ้ยซานพัดแรงสวบๆ ขนาดนี้ หากไม่ทันระวังพัดให้หมวกหัวเสือใบนี้ปลิวไปก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพพี่น้อง ถึงเวลานั้นไปเจอกับตาเฒ่าจะฟ้องเรื่องเจ้าก่อนเลย…”

เทพเกราะทองมองข้ามคำบ่นของซิ่วไฉเฒ่าไปโดยอัตโนมัติ เดินตามมาด้านหลังคนทั้งสองเงียบๆ เดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับพวกเขา

การแกะสลักศิลาหินและหน้าผาของภูเขาสุ้ยซาน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือท่วงทำนองด้านการประพันธ์ล้วนยอดเยี่ยมเป็นเอกในใต้หล้าไพศาล ความเสียดายอย่างใหญ่หลวงในใจของเทพเกราะทองก็คือขาดอักษรลายมือของป๋ายเหย่ไปเพียงผู้เดียว

เพียงแต่ว่าเด็กชายสวมหมวกหัวเสือตอนนี้ คาดว่าคงจะพอถือเป็นเจ๋อเซียนอย่างสมชื่อคนหนึ่งได้แล้วกระมัง

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามาเอ่ย “ป๋ายเหย่บทกวีไร้เทียมทาน ใช่หรือไม่ใช่? ภูเขาสุ้ยซานของเจ้ายอมรับหรือไม่ยอมรับ?”

เทพเกราะทองพยักหน้า “ย่อมต้องยอมรับ บทกวีของอาจารย์ป๋ายเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจของวีรบุรุษถึงเพียงนั้น”

ในความเป็นจริงแล้วบนยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน เทพเกราะทองได้จงใจเก็บหน้าผาหินขาวว่างเปล่าก้อนหนึ่งไว้โดยเฉพาะ

ต้องรู้ว่าภูเขาที่มีชื่อเสียงบนโลก ส่วนใหญ่มักจะมีเซียนซือบนภูเขาและนักประพันธ์มาช่วยแกะสลักหน้าผาให้เป็นจำนวนมาก นี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมถึงมีคำกล่าวว่านับแต่โบราณมาภูเขาที่มีชื่อได้รับรองอริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาใหญ่ทั้งหลาย ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา พูดถึงแค่บริเวณยอดเขา หน้าผาที่เหลือไว้ให้คนรุ่นหลังแกะสลัก หรือไม่ก็เหลือไว้ให้ตั้งป้ายศิลา แม้แต่พื้นที่ว่างเปล่าเท่าฝ่ามือก็แทบจะเก็บไว้ไม่อยู่ ดังนั้นนี่จึงมากพอจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซาน นอกจากนี้ ‘ผู้นำแห่งเทพภูเขาแผ่นดินกลาง’ ท่านนี้ก็ไม่ใช่คนอย่างซิ่วไฉเฒ่า ทั้งๆ ที่มีความคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่เคยป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ ป๋ายเหย่ไม่มาเยือนภูเขาของเขาก็เก็บเอาไว้ ไม่มา ก็เก็บเอาไว้ตลอดไป ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของซิ่วไฉเฒ่า ป่านนี้คงเอากระดาษพู่กันแท่นฝนหมึกไปดักรอป๋ายเหย่ที่หน้าประตูใหญ่แล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าหันขวับกลับมา เต้นผางสบถด่า “ภูเขาสุ้ยซานใหญ่โตมโหฬารถึงปานนี้ แต่กลับไม่มีตัวอักษรของป๋ายเหย่แม้แต่ครึ่งคำงั้นหรือ? เจ้าเป็นเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานประสาอะไร?”

เทพเกราะทองเอ่ย “ไม่อยากไปรบกวนการปิดด่านอ่านตำราของอาจารย์ป๋าย”

ซิ่วไฉเฒ่าร้องเพ้ยหนึ่งที “ความจริงใจของเจ้าไม่มากพอน่ะสิ เจ้าไม่สนิทกับป๋ายเหย่ก็เป็นเรื่องปกติ ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่สามารถเรียกแทนตัวเป็นพี่เป็นน้องกับป๋ายเหย่ หรือถึงขั้นอาศัยบารมีของลูกศิษย์บ้านตัวเองทำให้ลำดับศักดิ์คล้ายจะสูงกว่าครึ่งขั้นได้?! แต่เจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน ทำไมไม่เห็นเจ้าขอร้องข้าแม้แต่ครึ่งคำเลยเล่า? ขอร้องหรือไม่เป็นเรื่องของเจ้า ตอบตกลงหรือไม่เป็นเรื่องของข้า ลำดับก่อนหลังไม่คิดจะมีหน่อยหรือ?”

โทสะพลันลุกโหมในใจเทพเกราะทอง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “จะให้ปล่อยเจ้าไว้ตรงตีนเขาคนเดียว ให้เจ้าค่อยๆ บ่นเลยดีไหม?”

เด็กชายที่สวมหมวกหัวเสือร่ายวิชากระพือไฟวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตใส่ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ด้านหลังด้วยการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เด็กชายเดินขึ้นสู่ที่สูงไปเพียงลำพังช้าๆ ชื่นชมทัศนียภาพของภูเขาสุ้ยซานอย่างสบายอารมณ์

ซิ่วไฉเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีทันใด เอ่ยกับเจ้าโง่ใหญ่ด้วยสีหน้ามีเมตตาปราณี “บัณฑิตในยุคหลังมักพูดจาโอ้อวดอย่างไม่ละอาย บอกว่าป๋ายเหย่มีข้อบกพร่องอยู่ที่โคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำที่ไม่เคร่งครัดมากพอ มักจะมีจุดที่ไม่คล้องจองกันเยอะ ดังนั้นบทกวีที่สืบทอดต่อกันมาจึงมีน้อยมาก อะไรที่บอกว่าสตรีเอวยาวแข็งแรงดั่งผึ้งกระโจนหาบุปผา เอาชื่อโคลงเฟิงเยาถี่ (รูปแบบหนึ่งของกลอนที่บทต้นและบทท้ายไม่มีข้อเรียกร้อง ทว่าบทกลางต้องมีเสียงสัมผัสคู่กัน) กดลงบนหัวของป๋ายเหย่ เทียบกับหมวกหัวเสือใบนี้แล้วก็ไม่น่ารักเลยแม้แต่น้อย ถูกหรือไม่?”

เทพเกราะทองมีสีหน้ากังขา หรือว่ามโนธรรมในใจซิ่วไฉเฒ่าทำงานครั้งหนึ่งอย่างหาได้ยาก เลยคิดจะให้ป๋ายเหย่แกะสลักโคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำบทหนึ่งไว้บนหน้าผาของภูเขาสุ้ยซาน?

ซิ่วไฉเฒ่าใช้สายตาบอกเป็นนัยว่าเจ้าโง่ใหญ่เจ้าน่าจะเข้าใจนะ แต่พอเห็นว่าเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานคล้ายจะหัวทึบอยู่เหมือนเดิม ซิ่วไฉเฒ่าที่หันหลังให้ป๋ายเหย่จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วทำท่าถูนิ้วเบาๆ

เทพเกราะทองเกิดหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ขอแค่ซิ่วไฉเฒ่าทำให้ป๋ายเหย่ทิ้งโคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำบทหนึ่งไว้ได้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนปรึกษากันได้ทั้งนั้น จะให้ซิ่วไฉเฒ่ายืมภูเขาสายรองไปสายหนึ่งก็ยังไม่เป็นปัญหา ใช้คุณความชอบสองสามร้อยปีแลกเปลี่ยนมาด้วยกวีบทหนึ่งจากป๋ายเหย่ก็คุ้มแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าหยุดเท้าไม่เดินหน้า ลูบหนวดยิ้ม ใช้เสียงในใจกระแอมอยู่สองสามที ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “เงี่ยหูตั้งใจฟังให้ดีล่ะ…โคลงสัมผัสของบทกวี กฎเกณฑ์อันคร่ำครึกักขังป๋ายเหย่ของข้าไว้ได้ต่างหากถึงจะแปลก…”

คิดไม่ถึงว่าเด็กชายที่สวมหมวกหัวเสือซึ่งเดินขึ้นสู่ที่สูงเพียงลำพังไปได้หลายสิบก้าวแล้วจะเอ่ยว่า “โคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัดจริงๆ หากท่านเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานได้ฟังกวีโคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำบทใด นั่นต้องเป็นผลงานที่ซิ่วไฉเฒ่าสวมรอยใช้ชื่อข้าอย่างแน่นอน”

ซิ่วไฉเฒ่ทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด วิ่งตุปัดตุเป๋ตามเจ้าคนสวมหมวกหัวเสือไป เตรียมจะยื่นมือไปประคองหมวกให้กลับถูกป๋ายเหย่ที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาปัดมือทิ้ง

เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานคุ้มกันคนทั้งสองตลอดทางจนไปถึงยอดเขา กุมหมัดคารวะอาจารย์ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิพลิกเปิดตำราแล้วย้อนกลับไปที่ตีนเขาอีกครั้ง

แม้ว่าป๋ายเหย่จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่อีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ว่ากำลังเท้ายังคงเหนือกว่าผู้มีจิตศรัทธาที่เป็นคนธรรมดามากนัก เดินขึ้นเขาจึงใช้เวลาไปแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น

อาจารย์ผู้เฒ่าหันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับเด็กชายสวมหมวกหัวเสือ “ค่อนข้างยุ่ง ข้าคงไม่ลุกขึ้นแล้ว”

เด็กชายประสานมือคารวะปรมาจารย์มหาปราชญ์

ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าที่มองดูอยู่อารมณ์ดีอย่างยิ่ง เดิมทีก็ตัวไม่สูง ยังต้องค้อมเอวลงอีก

บนยอดเขาสุ้ยซาน ทัศนียภาพงดงามตระการตา ครึ่งคืนฝนหยุดตก ฟ้าเปิดกว้าง ธารดาราปรากฏ ส่องแสงวิบวับงามจับตา

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “แต่ไหนแต่ไรมาเจตนารมณ์สวรรค์ก็สูงส่งยากจะถามถึง แต่ก็จำต้องถาม โลกมนุษย์คนนอนหลับส่งเสียงกรนสนั่นดุจตีกลอง มีหรือจะกล้าไม่ฟัง”

เห็นเพียงว่าทั่วทุกหนแห่งของม่านฟ้าเหมือนมีหินยักษ์ทุ่มใส่ทะเลสาบใหญ่จึงเกิดเป็นริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกไม่หยุด นี่ก็คือวิชาเปิดฟ้าของผู้เฒ่าชุดเทาที่อยู่เหนือร่องเจียวลง พยายามที่จะชักนำกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลให้เข้ามาในใต้หล้าไพศาล

ส่วนปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ทำหน้าที่ปะชุนม่านฟ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้หลี่เซิ่งเหน็ดเหนื่อยเกินไป ส่วนวิชาอภินิหารบางอย่างของบรรพบุรุษใหญ่เปิดขุนเขาที่หล่นลงในขุนเขาสายน้ำของโลกมนุษย์ก็ถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์ซัดให้แหลกสลายไปเช่นเดียวกัน

ฝักกระบี่ไท่ป๋ายพลันมาลอยอยู่ข้างกายเด็กชายสวมหมวกหัวเสือ เป็นฝูลู่อวี๋เสวียนที่ส่งมันกลับมายังภูเขาสุ้ยซาน

ป๋ายเหย่กุมไว้เบาๆ ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า “ไปเถิด ไม่ว่าจะอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลหรือใต้หล้ามืดสลัว โลกมนุษย์ก็ยังคงเป็นโลกมนุษย์ ป๋ายเหย่ยังคงเป็นป๋ายเหย่”

ป๋ายเหย่คารวะอีกครั้ง เอ่ยอำลาปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปเยือนใต้หล้าแห่งอื่น

ติดค้างนักพรตซุนมากเหลือเกิน ป๋ายเหย่คิดว่าจะเดินทางไกลไปเยี่ยมเยือนอารามเสวียนตูใหญ่เสียหน่อย

ตอนนั้นที่ป๋ายเหย่อยู่ในฝูเหยาทวีปก็มีใจพร้อมตายแล้ว กระบี่เซียนไท่ป๋ายแบ่งออกเป็นสี่ส่วน มอบให้คนสี่คน ในเมื่อวันนี้ได้เหยียบมาบนเส้นทางของการฝึกตนอีกครั้ง ป๋ายเหย่ก็ไม่กังวลว่าตัวเองจะชดใช้คืนน้ำใจครั้งนี้ไม่ได้

รอกระทั่งไปถึงอารามเสวียนตูใหญ่ ให้เวลาเขามากสุดร้อยปีก็พอแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าทรุดตัวลงนั่งยอง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเบาๆ ว่า “ฟ้าดินพลิกกลับ ถือเทียนเดินทางยามค่ำคืน ข้าก้าวเดินพลันมองเห็นแสงจันทร์ฤดูใบไม้ร่วง”

เด็กชายสวมหมวกหัวเสือมือหนึ่งถือด้ามกระบี่ อีกมือหนึ่งกดศีรษะของซิ่วไฉเฒ่า “อายุน้อยๆ วันหน้าพูดบ่นให้น้อยหน่อย”

ในความเป็นจริงแล้วนอกจากปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่เรียกเหวินเซิ่งว่าซิ่วไฉแล้ว ผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนอื่นๆ มักเคยชินที่จะเรียกเหวินเซิ่งว่าซิ่วไฉเฒ่า เพราะถึงอย่างไรบนโลกมนุษย์ก็มีซิ่วไฉมากมายนับพันนับหมื่น คนที่เป็นซิ่วไฉมานานหลายปีอย่างเหวินเซิ่งนี้ คู่ควรกับคำว่าเฒ่าอยู่จริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วหากว่ากันด้วยอายุที่แท้จริง ซิ่วไฉเฒ่ากลับอายุน้อยกว่าเฉินฉุนอันและป๋ายเหย่อยู่มากจริงๆ เมื่อเทียบกับเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานก็ยิ่งอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ซิ่วไฉเฒ่ากลับเหมือนคนที่แก่มากจริงๆ หน้าตาเป็นเช่นนี้ จิตใจก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ไม่ได้มีภาพลักษณ์สุภาพสง่างามเฉกเช่นเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ ไม่ได้เหมือนเจ๋อเซียนอย่างป๋ายเหย่ ซิ่วไฉเฒ่าตัวเล็กผอมแห้ง รอยยับย่นบนใบหน้าเหมือนร่องน้ำ ผมขาวโพลน เป็นเหตุให้ในอดีตตอนมีเทวรูปตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง พวกสำนักศึกษาสถานศึกษาใหญ่แต่ละแห่งจะต้องแขวนภาพเหมือนจึงเชิญจิตรกรฝีมือล้ำเลิศที่สนิทสนมกันให้มาวาดภาพให้ ตัวซิ่วไฉเฒ่าเองยังโวยวายไม่หยุด บอกให้วาดให้หนุ่มหน่อย หล่อเหลาหน่อย กลิ่นอายตำราหายไปไหนหมดแล้ว วาดตามจริง วาดตามจริง ตามจริงกับท่านปู่เจ้าสิ มารดามันเถอะ เจ้าช่วยใช้ฝีมือวาดหน่อยได้ไหม เจ้าวาดเป็นไหม ไม่เป็นเดี๋ยวข้าวาดเอง…

ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “คนเดินทางไกลกลับคืนบ้านเกิด เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ต่อให้ต่างถิ่นจะดีแค่ไหนก็ต้องจำไว้ว่ายังต้องกลับบ้าน”

ป๋ายเหย่พยักหน้า “แน่นอน”

ฝักกระบี่ไท่ป๋ายที่อยู่ในมือวูบหายไป กลับเข้าไปในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตช่องหนึ่ง

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ได้ยินมาว่าอาหารเจของอารามเสวียนตูใหญ่ไม่ค่อยอร่อย”

อาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่ห่างไปไกลอืมรับหนึ่งที “ได้ยินคนเล่ามาเหมือนกันว่าธรรมดาจริงๆ”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยกับป๋ายเหย่ “เจ้าได้ยินไหม เจ้าได้ยินไหม ข้าอาจจะพูดเหลวไหล แต่ตาเฒ่าจะพูดเหลวไหลด้วยหรือ? ไม่อร่อยจริงๆ!”

ในอดีตหย่าเซิ่งเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวอยู่นานหลายปี นั่นก็คือการไปมาหาสู่อย่างมีมารยาทที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางมีต่อป๋ายอวี้จิง

ป๋ายเหย่ยื่นมือไปประคองจับหมวกหัวเสือสีแดงสดบนศีรษะ แหงนหน้ามองม่านฟ้า แล้วจึงถอนสายตากลับมา มองขุนเขาสายน้ำของบ้านเกิดที่ดอกหลีผลิบานทุกปีให้นานอีกหน่อย

……

ใต้หล้ามืดสลัว นอกประตูใหญ่ของอารามเสวียนตูใหญ่ นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวบนศีรษะคนหนึ่งไม่รีบร้อนไปพูดคุยธุระสำคัญกับนักพรตซุน เขายืนเอนตัวพิงกรอบประตู ยิ้มบางๆ เอ่ยกับพี่สาวนักพรตหญิงคนหนึ่ง บอกว่าเรื่องที่ศิษย์พี่รองเต๋าเหล่าเอ้อเอากระบี่ให้ป๋ายเหย่ยืม กระบี่เซียนเต้าจ้างจากไปทีก็ไกลพันหมื่นลี้ เขาที่อยู่ป๋ายอวี้จิงเห็นเองกับตา พี่หญิงชุนฮุยเจ้าอยู่ห่างมาไกลจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน อย่างมากสุดก็เห็นแค่ปราณเต๋ามืดสลัวที่ติดตามกระบี่เดินทางไกลเท่านั้น น่าเสียดายอยู่บ้างจริงๆ

นักพรตหญิงสะพายกระบี่ผู้นั้นยิ้มเอ่ย “เจ้าลัทธิลู่ต่อให้ท่านคุยเล่นกับข้ามากกว่านี้ก็เข้าไปในประตูใหญ่ไม่ได้อยู่ดี อาจารย์ปู่บอกแล้วว่าตลอดเส้นทางนี้ต่อให้เป็นสุนัขที่ส่ายหางตัวหนึ่งก็ยังเข้าประตูมาได้ มีเพียงลู่เฉินที่เข้าไปข้างในไม่ได้”

ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ “นักพรตซุนมองข้าแตกต่างไปจากคนอื่นจริงๆ นะนี่ เข้าไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้ามาเยี่ยมเยือนคราวนี้ ความตั้งใจครึ่งหนึ่งก็มาเพื่อพี่หญิงชุนฮุยอยู่แล้ว ได้พบพี่หญิงชุนฮุย การมาครั้งนี้ก็ไม่เสียเที่ยวแล้ว”

นักพรตหญิงอารามเสวียนตูใหญ่ที่มีฉายาเต๋าว่าชุนฮุยมีท่าทางจนใจอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าลัทธิลู่ ข้าไม่มีทางไปฝึกตนที่จื่อชี่เป็นผู้นำขุนนางอิ๋งชุนต่างแซ่ของสกุลเจียงที่ไม่เคยมีคนทำหน้าที่มาก่อนตลอดพันปีอะไรนั่นจริงๆ”

ลู่เฉินเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ไม่เป็นขุนนางอิ๋งชุนก็ไปอยู่นครชิงชุ่ยก็ได้นะ เคยได้ยินชื่อเจียงอวิ๋นเซิงที่เพิ่งกลับมาบ้านเกิดไหม? เด็กที่หน้าตาเหมือนตุ๊กตา ทั้งน่ารักทั้งร่าเริง แล้วยังเป็นจั๋วอวี้หลางที่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าแต่งตั้งตอนออกเดินทางไกลไปจากบ้านเกิดด้วย ขอแค่พี่หญิงชุนฮุยเจ้าพยักหน้ารับ พรุ่งนี้ข้าก็จะทำให้นครชิงชุ่ยมีเรื่องน่ายินดีเพิ่มมาอีกเรื่องทันที! สินสอดจะมีมากมาย สกุลเจียงของป๋ายอวี้จิงและนครชิงชุ่ยต่างก็ช่วยกันออกคนละส่วนใหญ่ อารามเสวียนตูใหญ่ไม่จำเป็นต้องเตรียมสินสอดเลยแม้แต่นิดเดียว…”

นักพรตหญิงสะพายกระบี่เริ่มอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าลัทธิลู่ ระวังคำพูดด้วย!”

——