บทที่ 735.4 ค่ำคืนที่หิมะตกพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

คาดว่านี่ก็คงเป็นประโยค ‘ท่องอยู่ในยุทธภพ คุณธรรมมาเป็นอันดับหนึ่ง’ ที่เฉินหลิงจวินคิดพะวงถึงตลอดเวลากระมัง ต่อให้กลายเป็นเจียวน้ำก่อกำเนิดตัวหนึ่งแล้ว ทว่านิสัยเสียๆ ที่ชอบตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วนยามอยู่กับสหาย ชีวิตนี้คงแก้ไขไม่ได้แล้ว

พี่น้องคนดีอย่างเฉินจั๋วหลิวไม่ว่าอะไรก็ล้วนดีไปหมด เงินมีอยู่ไม่กี่แดง แต่กลับมือเติบสนหัวไม่สนท้าย ตบหน้าตัวเองบวมยิ่งกว่าตนเสียอีก มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่ค่อยปล่อยวางเท่าใดนัก ก็คือไม่ได้เป็นนายท่านขุนนาง เวลาปกติยังชอบร่ายโคลงกลอนเหมือนคนสุภาพมีความรู้ อะไรที่บอกว่าแขกมีเกียรติบนที่นั่ง เมาพับสามพัน ไม่ทันไรก็แก่ชรา ตำรากระบี่ดารดาษ

ฟังดูสิ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตตกอับที่สอบไม่ติดแต่ยังไม่ยอมถอดใจ เขาเฉินหลิงจวินจะไม่ช่วยได้หรือ?

จูเหลี่ยนพลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาจึงทิ้งเว่ยซานจวินให้อยู่ที่ม่านฟ้าเพียงลำพัง เขากับเพ่ยเซียงไปยังอาณาเขตแคว้นหูด้วยกัน จูเหลี่ยนยังเรียกเฉินหน่วนซู่กับโจวหมี่ลี่ไปด้วย

เพ่ยเซียงร่ายเวทอำพรางตาให้กับคนทั้งกลุ่ม พลิ้วกายลงในสวนดอกไม้ส่วนตัวของนางเอง มีชื่อว่าเยว่หนวี่ไซ

ในอาณาเขตแคว้นสู่โบราณมีเจียวหลงอยู่มากมาย สตรีในยุคโบราณก็มากรักหลายใจที่สุด และพวกที่มากรักหลายใจในใต้หล้า ใครเล่าจะทัดเทียมภูตจิ้งจอกได้?

ในศาลาชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งปูเสื่อไม้ไผ่งาช้างสีขาวหิมะผืนหนึ่งเอาไว้ เพ่ยเซียงสวมชุดผ้าแพรแนบเรือนร่าง แต่ว่ายังห่มคลุมทับด้วยเสื้อใยไผ่อีกชั้นหนึ่ง เวลานี้นางนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

โจวหมี่ลี่เลียนแบบทำตาม เพียงแต่ว่ารู้สึกไม่สบายตัวสักเท่าไร สุดท้ายจึงนั่งขัดสมาธิเอาอย่างพ่อครัวเฒ่า

เฉินหน่วนซู่พอได้รับคำอนุญาตจากเพ่ยเซียงที่เป็นเจ้าของสถานที่จึงต้มชาอยู่ด้านข้าง อุปกรณ์ชงชาเตรียมมาครบถ้วน ถ่านในเตาไม้ไผ่แดงโร่ น้ำเดือดพล่าน กลิ่นหอมสดชื่นรมชายแขนเสื้อของแม่นางน้อยชุดชมพู

โจวหมี่ลี่ชำเลืองตามองพ่อครัวเฒ่า มือหนึ่งถือถ้วย อีกมือหนึ่งประคองรองด้านใต้แบบไม่สัมผัสโดนถ้วย ก้มหน้าดื่มชาหนึ่งคำ ไม่ทันระวังดื่มมากไปจึงรีบบ้วนกลับคืนไปเกินครึ่ง แล้วถึงได้พยักหน้า แสร้งเอ่ยเหมือนผู้เชี่ยวชาญ “รสชาติดี”

คงเพราะรู้สึกว่าคำพูดนี้กระชับเรียบง่ายเกินไป ไม่อาจแสดงให้เห็นถึงความรู้ของตัวเองได้ โจวหมี่ลี่จึงรีบเพิ่มน้ำหนักเสียงเอ่ยตามมาอีกสองคำ “สุดยอดเลย!”

เฉินหน่วนซู่คลี่ยิ้มบางๆ

จูเหลี่ยนยื่นมือมาลูบศีรษะของแม่นางน้อย หมี่ลี่น้อยเอียงศีรษะหลบ บ่นว่า “อะไรกันๆ ส่วนสูงถูกพ่อครัวเฒ่าลูบจนเตี้ยหดไปหมดแล้ว เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าพูดง่ายเกินไป วันหน้านอกจากเจ้าขุนเขาคนดี ใครกล้ามาถ่วงรั้งไม่ให้ข้าสูงขึ้น ข้าจะดุร้ายใส่คนนั้น!”

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

เพ่ยเซียงมีสีหน้าเปล่าเปลี่ยว ไม่สนใจการเล่นสนุกกันระหว่างผู้ดูแลใหญ่และผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าแห่งแคว้นหูที่เดิมทีควรปิติยินดีผู้นี้ กลับกลายเป็นว่าในใจระทมทุกข์ เวลานี้หันหน้าไปมองนอกศาลา สีหน้าคล้ายจะเลื่อนลอย

จูเหลี่ยนเพียงแค่ยิ้มดื่มชา

เพ่ยเซียงถอนสายตากลับมา เอ่ยเบาๆ ว่า “เหยียนฟ่าง”

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “ร่ำสุราต้องมีมาดองอาจ ดื่มชาจิตใจต้องสงบนิ่ง”

เพ่ยเซียงกล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าก็พูดง่ายน่ะสิ!”

จูเหลี่ยนถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่ารู้สึกว่าหมี่ลี่น้อยง่ายหรือไม่?”

โจวหมี่ลี่รีบยืดเอวขึ้นตรง แม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจสักนิดว่าพ่อครัวเฒ่ากับพี่หญิงเพ่ยเซียงพูดอะไรกันอยู่ แต่แม่นางน้อยชุดดำที่เตรียมจะขมวดคิ้วกลับรีบคลายหัวคิ้วออกทันที

เพ่ยเซียงกล่าวอย่างจนใจ “หมี่ลี่น้อยไม่ต้องสนใจสิ่งใดได้ แต่ข้าคือเจ้าแห่งแคว้นหูนะ อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดเป็นภูตจิ้งจอก ถูกฝุ่นแดงในโลกโลกีย์อาบย้อมมานานหลายปีแล้ว เจ้าจะให้ข้าทำจิตใจให้สงบได้อย่างไร? เหยียนฟ่างอย่าได้บีบบังคับให้คนอื่นลำบากใจเลย”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เซียนกระบี่จั่วโย่ว ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป ชิงจงฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เสิ่นหลินหลิงหยวนกงแห่งลำน้ำจี้ตู๋ หลี่หยวนหลงถิงโหว เจียงซ่างเจินเจ้าสำนักกุยหยกใบถงทวีป แม้แต่เผยเฉียนยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา และยังมีชุยตงซานขอบเขตเซียนเหริน ส่วนเจ้าของเดิมของพื้นที่มงคลรากบัวก็ยิ่งเป็นถึงตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่…เพ่ยเซียงไม่ได้ตกใจจนรูปโฉมเสียหาย อันที่จริงก็ถือว่าจิตใจสงบมากแล้ว”

เพ่ยเซียงหน้าซีดขาว ลมหายใจไม่มั่นคง ฝ่ามือของมือข้างหนึ่งยันเสื่อไว้เบาๆ

โจวหมี่ลี่กำลังจะพูดแต่ถูกพ่อครัวเฒ่าหันมาขยิบตาให้ และยังสังเกตเห็นว่าพี่หญิงหน่วนซู่ส่ายหน้าให้ตนเบาๆ หมี่ลี่น้อยก็รีบหุบปากฉับ ก้มหน้าลงดื่มชาต่อทันที รู้แล้วล่ะ พ่อครัวเฒ่ากำลังคุยเรื่องใหญ่เท่าชามข้าวกับเพ่ยเซียง

เฉินหน่วนซู่ส่งถ้วยชาไปให้เพ่ยเซียง

เพ่ยเซียงรับถ้วยชามา ถามจูเหลี่ยนว่า “ภูเขาลั่วพั่วรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงเลือกเส้นทางมังกรเส้นนั้น?”

เดิมทีนางคิดว่าภูเขาลั่วพั่วคงไม่คิดอะไรมาก คงจะแค่คิดว่านางเลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลดีเยี่ยมที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกัน โชคชะตาน้ำเข้มข้นให้กับแคว้นหูของตัวเอง แต่เมื่อตอนนี้เพ่ยเซียงได้รู้ถึงรากฐานกำลังทรัพย์ที่แท้จริงของภูเขาลั่วพั่ว ถึงได้รู้ว่ากลอุบายน้อยนิดนั่นของตน ไม่ต่างจากเด็กเล็กที่พูดถึงสัจธรรมใหญ่ของอริยะปราชญ์ น่าตลกอย่างถึงที่สุด

ภูเขาลั่วพั่วอำพรางตัวอย่างลึกล้ำเกินไป ไม่โอ้อวดตัวเกินไป จัดการดูแลพื้นที่มงคลระดับล่างแห่งหนึ่งที่ได้มาครองแค่ไม่กี่ปี ทำทุกอย่างทีละขั้นตอน ขยับเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ละเรื่องร้อยเรียงต่อกันเป็นทอดๆ ไม่มีช่องโหว่ใดๆ เพียงชั่วพริบตาก็เลื่อนขั้นพื้นที่มงคลระดับกลางให้เป็นคอขวดของพื้นที่มงคลระดับสูง เงินเทพเซียนมากมายขนาดนั้น สรุปแล้วเอามาจากที่ไหนกันแน่? แล้วควันสัมพันธ์ควันธูปจากผู้คนบนยอดเขามากมายเพียงนั้นล่ะมาจากไหน? โชควาสนาตระกูลเซียนแต่ละอย่างพากันตกลงมายังพื้นที่มงคลราวกับฝนที่ให้เปล่าไม่คิดเงินอย่างไรอย่างนั้น

จูเหลี่ยนพยักหน้าเอ่ย “แคว้นหูแอบรวบรวมโชคชะตาบุ๋นให้กับสกุลสวี่นครลมเย็นไปไม่น้อย และสกุลสวี่ก็ให้บุตรสาวภรรยาเอกไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับบุตรชายอนุภรรยาของสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้น ข้าเดาว่าเกินครึ่งจะต้องเป็นฝาแฝดคู่หนึ่ง เด็กชายประคับประคองมังกร เด็กหญิงป่ายปีนมังกร แน่นอนว่าสวี่หุนใจไม่กล้าพอถึงขั้นที่จะดึงรั้งเอาโชคชะตาแคว้นมา ประชันเรื่องการวางแผนกับซิ่วหู่ นั่นคือการรนหาที่ตายโดยแท้ แต่เรื่องที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรระดับนี้ ต่อให้สกุลซ่งต้าหลีรู้ก็ยังยินดีจะให้เป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรโชคชะตาบุ๋นก็ยังคงหล่นอยู่ในราชวงศ์ต้าหลี หากสามารถหล่นมาอยู่กับสกุลซ่งได้ แน่นอนว่าย่อมดีกว่า อันที่จริงเรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของตัวเองมากนัก สำหรับทางฝั่งของห้องบัญชีภูเขาลั่วพั่ว นี่เป็นแค่เรื่องเล็กเรื่องหนึ่งจริงๆ”

ในสมองของเพ่ยเซียงว่างเปล่าขาวโพลน นางได้แต่มองจูเหลี่ยนอย่างเหม่อลอย เดิมนึกว่าตัวเองกับเขาอยู่ใกล้กันเพียงตรงหน้า ที่แท้จูเหลี่ยนยังคงเป็นคนที่อยู่ห่างไกลจากนางสุดขอบฟ้าคนนั้น

โจวหมี่ลี่รับฟังอยู่ก็จริง แต่กลับไม่คิดจะจำเอาไว้ คาดว่าเพียงไม่นานก็คงลืมไป การฟังเป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา จำไม่ได้คือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ ตามองสูง ใจใหญ่กว่าโต๊ะ

จูเหลี่ยนหุบยิ้ม วางถ้วยชาลง “เพ่ยเซียง ในเมื่อเข้ามาอยู่ในภูเขาลั่วพั่วแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วควรหลิ่วตาตาม ต้องปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ”

จูเหลี่ยนชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นข้าเข้าใจในจิตใจที่คิดป้องกันคนอื่นของเจ้า ดังนั้นจึงรอคอยให้เจ้าเปิดปากพูดความจริง แต่เจ้ากลับไม่ทำ”

แล้วจึงชี้ไปที่เพ่ยเซียง “รอเจ้ามาจนถึงวันนี้ แล้วยังช่วยเจ้าพูดก่อนอีก สองครั้งแล้ว ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรายังมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นคือ ‘เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม’”

เพ่ยเซียงมีสีหน้ามึนงง ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นส่ายหน้า แสดงให้รู้ว่าตนไม่เข้าใจ

จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “หน่วนซู่ หมี่ลี่ พวกเจ้าออกไปก่อนสักครู่เถอะ”

แม่นางน้อยสองคนรีบขอตัวลาจากไปทันที ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืนช้าๆ เรือนกายงองุ้ม โครงท่าหมัดยังคงคลายหลวมอยู่เหมือนเดิม เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก่อนที่อาจารย์ชุยน้อยจะจากไป ได้บอกว่าแคว้นหูซ่อนปริศนาเล็กๆ เอาไว้ข้อหนึ่ง เขาต้องการทดสอบข้า ดูว่าข้าจะไขปริศนานั้นได้หรือไม่”

เพ่ยเซียงเงยหน้าขึ้น ด้านหลังปรากฏหางจิ้งจอกที่โผล่ออกมาเพียงแค่เพื่อใช้ป้องกันตัวเองเท่านั้น ตัวอยู่ในฟ้าดินเล็กแคว้นหู ที่นี่เป็นพื้นที่อิทธิพลของนางก็จริง แต่อย่าลืมล่ะว่าฟ้าดินใหญ่ของพื้นที่มงคลแห่งนี้เป็นของใคร

จูเหลี่ยนเอ่ย “เพ่ยเซียง จะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไม่อย่างนั้นวันหน้าเจ้าแห่งแคว้นหูต้องเปลี่ยนคนแล้ว วางใจเถอะ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่มีทางข้ามแม่น้ำรื้อสะพานแน่ เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ตาย ยังจะได้ฝึกตนของเจ้าต่อไป และโชคชะตาของแคว้นหูก็จะยังเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน เพียงแต่โทษทัณฑ์บางอย่างที่เจ้ารนหาที่เอง ก็อย่าโทษว่าหมัดข้าหนักเกินไป”

เพ่ยเซียงกรอบตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา แต่นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เพียงแค่เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจสุดแสน “จูเหลี่ยน สรุปแล้วเจ้าอยากให้ข้าพูดอะไรกับเจ้ากันแน่ แล้วข้าจะพูดอะไรได้บ้าง?”

จูเหลี่ยนจี้จุดแฉความลับออกมาทันที “คนชักใยเบื้องหลังแคว้นหูและนครลมเย็นที่แท้จริงมีความเกี่ยวข้องกับศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงหรือไม่?!”

เพ่ยเซียงทิ้งตัวลงพื้นอย่างห่อเหี่ยว

เพียงแต่ว่าเมื่อจิตของนางขยับ ความคิดเพิ่งจะบังเกิด จิตวิญญาณก็สั่นสะเทือน ถึงขั้นมิอาจเปิดปากพูดได้เลย เจ็บปวดทรมานสุดขีด หาใช่เสแสร้งแกล้งทำไม่

นางยกสองมือกุมหัว แต่กระนั้นก็ยังพยายามที่จะสงบจิตแห่งมรรคาและจิตวิญญาณของตัวเองให้มั่นคง เงยหน้ามองจูเหลี่ยน สายตาซับซ้อนเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ละอายใจเสียใจ แค้นใจกับความผิดพลาดของตัวเอง…

เด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวในศาลา สองนิ้วประกบติดกันจิ้มไปที่หว่างคิ้วของเพ่ยเซียงเบาๆ

เด็กหนุ่มหันหลังให้จูเหลี่ยน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่า ตัดใจขยี้บุปผาอย่างอำมหิตได้ลงคอจริงๆ หรือนี่ หัดเรียนรู้เอาจากอาจารย์ของข้าเสียบ้างสิ”

เพ่ยเซียงโล่งอกเหมือนได้รับอภัยโทษอย่างไรอย่างนั้น เป็นถึงขอบเขตก่อกำเนิด แต่เหงื่อกลับแตกท่วมตัว นางกลับมานั่งคุกเข่าบนเสื่อเย็นอีกครั้งคล้ายเด็กนักเรียนประถมที่ทำผิดแล้วจู่ๆ ต้องเผชิญหน้ากับการลงโทษจากอาจารย์สองคน

ชุยตงซานร่ายเวทกักวิญญาณต่อเพ่ยเซียง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเวทกักร่างของตระกูลเซียนบนภูเขาทั่วไปแล้วมีความพิถีพิถันกว่ามาก ไม่ใช่วิธีการผนึกช่องโพรงลมปราณที่เอาไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกลมปราณอะไร แต่มีไว้ใช้สยบกำราบความคิดจิตใจของภูตจิ้งจอกขอบเขตก่อกำเนิดตนหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นเหตุให้คนเบื้องหลังที่อยู่ห่างไปไกลพันหมื่นลี้ไม่ถึงขั้นสืบเสาะตามเส้นสายแล้วอนุมานออกมาเป็นความจริงได้

ชุยตงซานหันหน้ามายิ้มกล่าว “พ่อครัวเฒ่าอีกนิดเดียวเจ้าก็เกือบจะแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว”

จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ปริศนาไขไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว?”

ชุยตงซานพยักหน้า “มิน่าเล่าพ่อครัวเฒ่าถึงทำอาหารรสเลิศได้เต็มโต๊ะ”

หลอกเอาแคว้นหูมาไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วตัดขาดกับภายนอกด้วยการเอาไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัว เป็นทั้งการวางหมากแบบไร้เหตุผล วิธีการต่ำช้าจนเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย แต่ก็ถือเป็นการวางหมากแบบเทพเซียนได้เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรก็ตัดขาดต้นกำเนิดทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของนครลมเย็นได้อย่างแท้จริง แต่หากจูเหลี่ยนมัวแต่หลงลำพองใจ ถูกปิดหูปิดตาอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจสัมผัสได้ถึงภัยแฝงซ่อนเร้นที่แท้จริง หากดูในระยะยาวก็จะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ตัดสินแพ้ชนะได้ มองดูเหมือนภูเขาลั่วพั่วได้กำไรมหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้วอุตส่าห์ลำบากอำพรางตัวตนมานานหลายปี อยู่ดีๆ กลับเป็นฝ่ายปล่อยกระบวนท่าเลอะเลือนใส่คู่ต่อสู้ ไม่แน่ว่าอาจช่วงชิงชัยภูมิเล็กๆ มาได้ส่วนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังแพ้ทั้งกระดาน ไม่เพียงแต่ต้องสูญเสียพื้นที่มงคลระดับสูงช่วงคอขวด มีความเป็นไปได้มากว่าจะยังสั่นคลอนรากฐานของภูเขาลั่วพั่วเองด้วย เฉาฉิงหล่างจะละอายใจต่อบ้านเกิด จะผิดหวังกับตัวเอง จ้งชิวปรมาจารย์ด้านวรยุทธอริยะด้านบุ๋นก็จะยิ่งหมดอาลัยตายอยาก ส่วนเผยเฉียนที่ไม่เคยวางวัดซินเซียงได้ลงก็จะโกรธแค้นเดือดดาล สภาพจิตใจของเผยเฉียนจะส่งผลกระทบต่อหน่วนซู่ ต่อหมี่ลี่…จิตใจของผู้คนบนภูเขาลั่วพั่วจะแตกซ่านไปทีละนิด ทีละนิด

“คิดหนีรึ?”

ชุยตงซานหันหน้าไปมองจุดหนึ่ง เอื้อมมือออกไปคว้า จับวัตถุชิ้นหนึ่งจากความว่างเปล่าในแถบชายแดนของแคว้นหูมาได้ นำความคิดและดวงจิตเสี้ยวหนึ่งมารวมตัวเป็นหมากเม็ดหนึ่ง ใช้สองนิ้วบดขยี้ให้แหลกเบาๆ จากนั้นค่อยยื่นมือออกไปตบลงบนหน้าผากเพ่ยเซียงหนักๆ ให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม แต่กระนั้นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นอีก “ล้อเล่นหรือไร กล้ามาร่ายวิชาอภินิหารทางความคิดใต้เปลือกตาข้า จงกลับไปที่เดิมให้ข้าผู้อาวุโสแต่โดยดี!”

สุดท้ายชุยตงซานงอสองนิ้วเขกมะเหงกลงบนหว่างคิ้วของเพ่ยเซียงเบาๆ

จูเหลี่ยนเงียบไม่เอ่ยอะไร

มิน่าเล่าคนบนโลกถึงได้อิจฉาว่าเทพเซียนดี มีคาถาอาคมมากมายหลากหลาย เวทคาถาสูงส่ง

คนบงการเบื้องหลังที่ร่ายวิชาลับผนึกความคิดของเพ่ยเซียงเอาไว้คือคนในกลุ่มเทพเซียน ชุยตงซานสามารถกักเอาความคิดเสี้ยวหนึ่งที่เตรียมจะหลบหนีไปอย่างเงียบเชียบมาไว้ในมือแล้วบีบเล่นตามแต่ใจ อีกทั้งยังมอบกลับคืนไปให้เพ่ยเซียง แน่นอนว่าเป็นฝีมือของเซียนยิ่งกว่า

จูเหลี่ยนพลันรวมเสียงให้เป็นเส้น พูดกับชุยตงซานว่า “กู้ช่านส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งมาที่ภูเขาพีอวิ๋น ไหว้วานให้เว่ยป้อนำมาส่งให้ภูเขาลั่วพั่ว บอกว่าไฉป๋อฝูที่อยู่ข้างกายของเขาคนนั้นมีสถานะเป็นศิษย์พี่ของสตรีสกุลสวี่นครลมเย็น ไฉป๋อฝูยังรู้ด้วยว่าอันที่จริงศิษย์น้องของเขายังมีการสืบทอดลับจากอาจารย์คนอื่น แต่จะเป็นใครกันแน่ ในจดหมายกู้ช่านบอกว่าไฉป๋อฝูไม่รู้จริงๆ ดังนั้นข้าเดาว่าสตรีสกุลสวี่กับเพ่ยเซียง ล้วนเป็นหมากของคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้ คนเบื้องหลังปล่อยให้พวกนางต่อสู้เผาผลาญพลังกันเองมานานหลายปี เพื่อเป็นเวทอำพรางตาอย่างหนึ่ง”

ชุยตงซานยิ้มตาหยีไม่เอ่ยอะไร

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ใจคนเหมือนน้ำ ดังนั้น การมอบใจให้คนอื่นก็เหมือนการเดินเหยียบลุยน้ำ บ้างก็เป็นธารน้ำสายเล็กที่น้ำใสกระจ่างจนมองเห็นด้านใต้ บ้างก็เป็นแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก ขุ่นมัวสกปรก บ้างก็เป็นบ่อโบราณเหวลึก ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง หากไม่ทันระวังก็จะทำให้คนจมน้ำตาย”

ชุยตงซานถอนหายใจ ยกมือขึ้นใช้ชายแขนเสื้อเช็ดซีกแกม “เรื่องบางอย่างข้ารู้แต่พูดไม่ได้ และยิ่งทำไม่ได้ พ่อครัวเฒ่า ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเยี่ยมก็ช่วยดูแลให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องราวที่เดิมทีเส้นสายชัดเจนแล้ว กลายมาเป็นสับสนปนเป หากบ่อน้ำขุ่นมัวก็ยากที่จะมองเห็นปลาในบ่อได้อีก”

นับจากจูเหลี่ยนจนมาถึงเจิ้งต้าเฟิง และมาถึงเว่ยป้อ คนทั้งสามต่างก็ใจตรงกันอย่างมากในเรื่องเรื่องหนึ่ง ทั้งวางใจในการลงมือทำเรื่องต่างๆ ของชุยตงซาน ทั้งยังต้องระวังความคิดที่แท้จริงของคนผู้นี้ด้วย

——