บทที่ 735.6 ค่ำคืนที่หิมะตกพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ลู่เฉินโบกสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงใสดังกังวาน

ทัศนียภาพเช่นนี้ในเวลานี้ของพื้นที่มงคล คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่หิมะตกลงมาเล็กน้อย พื้นเย็นแต่หิมะยังไม่จับตัวเป็นชั้นหนา

อวี๋เจินอี้เอ่ยอย่างระมัดระวัง “เจ้าลัทธิลู่ พวกเราจะไปที่ภูเขาฝูหรงกันหรือ?”

เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ที่มีรูปโฉมเป็นเด็กชาย เพราะไม่กล้าขี่กระบี่ จึงได้แต่สะพายกระบี่ ตัวเล็กเตี้ย แต่กระบี่กลับยาว มองดูแล้วน่าตลกอย่างเห็นได้ชัด

หากสะพายกระบี่ยาวไว้บนหลังเอียงๆ ยังดีหน่อย เพียงแต่ว่าเจ้าลัทธิสามที่ใช้นามแฝงว่า ‘เจิ้งห่วน’ ผู้นั้นกลับดึงดันจะช่วยให้เขาสะพายกระบี่ตั้งตรงบนหลัง บอกว่าขนาดกระบี่เล่มหนึ่งยังสะพายให้ตรงไม่ได้ จิตใจจะเที่ยงตรงได้อย่างไร จิตใจไม่ตรงมรรคาก็ไม่แจ่มชัด ยังจะฝึกกระบี่ ยังจะฝึกตนบนมหามรรคาไปไย

ก่อนหน้านี้ลู่เฉินโยนกวานดอกบัวให้กับอวี๋เจินอี้อย่างไม่ใส่ใจ บอกว่าให้ช่วยใส่แทนไว้ก่อน ลู่เฉินบอกว่าตัวเองต้องการเอาเมฆมาทำเป็นกวาน แบบนั้นค่อนข้างจะโดดเด่นผ่อนคลาย

กวานดอกบัวชิ้นนี้คือของแทนตัวของเจ้าลัทธิป๋ายอวี้จิง อวี๋เจินอี้ย่อมไม่มีทางเอาไปสวมอย่างโง่งมจริงๆ เพียงแค่ถือประคองไว้ด้วยสองมือ

ลู่เฉินกล่าว “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ หลังจากฝึกตนเป็นเซียน อวี๋เจินอี้ก็อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ขี่กระบี่เดินทางไกลไปทั่วทิศ ดังนั้นพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในใต้หล้านี้ล้วนเคยปรากฎอยู่ล่างกระบี่ใต้ฝ่าเท้าของเขามาหมดแล้ว

คาดว่าเจ้าลัทธิลู่คงต้องมีความหมายที่ลึกล้ำอย่างแน่นอน

ลู่เฉินถาม “พวกเราสองคนเดินไปผิดทางหรือเปล่า?”

อวี๋เจินอี้อึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ

ลู่เฉินหันตัวมาสะบัดชายแขนเสื้อตบลงบนหัวของอวี๋เจินอี้ ตวาดสั่งสอนว่า “แล้วทำไมเจ้าไม่พูดแต่แรกเล่า?”

ลู่เฉินเริ่มทะยานลมขึ้นกลางอากาศ บอกให้อวี๋เจินอี้นำทาง มุ่งหน้าไปยังภูเขาฝูหรงที่อยู่ห่างไปหลายพันลี้

เพียงแต่อวี๋เจินอี้กลับไม่รู้ว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ในเมื่อไม่ใช่ลู่เฉินตัวจริง กวานดอกบัวที่อวี๋เจินอี้กอดไว้ในอ้อมอกก็ย่อมต้องไม่ใช่ของจริงตามไปด้วย

ลู่เฉินทิ้ง ‘ฝันบัณฑิตเจิ้ง’ ไว้ในใต้หล้าแห่งที่ห้า เพราะต้องทำตามกฎของศาลบุ๋นไม่ต่างจากคนอื่น จึงต้องกดขอบเขตให้ต่ำกว่าหยกดิบ ก็เหมือนอย่างตอนนั้นที่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูที่เขาจำเป็นต้องกดขอบเขตให้อยู่ที่บินทะยานขั้นสูงสุด

ลู่เฉินเริ่มคิดถึงตาเฒ่าของร้านยาตระกูลหยางคนนั้นบ้างแล้ว อดไม่ไหวเอ่ยว่า “ธารน้ำเอนเอียงทั้งยังถูกภูเขาบดบัง บุปผาผลิบานแล้วร่วงโรย ทะเลเมฆบดบังตะวันจันทรา ทุกอย่างนี้ล้วนมีตงจวินเป็นผู้ตัดสิน”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ท่านจมสู่หวงเหอ ท่านอย่าได้โทษฟ้า”

อวี๋เจินอี้เคยชินกับการพูดพล่ามคนเดียวของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงผู้นี้มานานแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นลู่เฉินจะพูดว่าถ้อยคำบางอย่างของคนผู้นั้น คือการปักต้นกล้า คือการปลูกต้นไม้ คือการหว่านเมล็ดพันธ์กำใหญ่ลงไปในทุ่งหญ้ากว้าง

ลู่เฉินพลันถามว่า “เขาชอบปิดบังชื่อแซ่ ทำหน้าที่เป็นซูจื่อหลาง (ชื่อตำแหน่งขุนนางที่ทำหน้าที่ดูแลตำราโดยเฉพาะ) อยู่ในมี่ซูเสิ่ง (องค์กรส่วนกลางที่ดูแลการเก็บรักษาตำราของบ้านเมืองโดยเฉพาะในสมัยโบราณของจีน) อยู่ใต้เปลือกตาเจ้า? แล้วยังเปิดร้านขายพัดพับ ขายตราประทับด้วย?”

อวี๋เจินอี้เอ่ยตอบ “เป็นเช่นนี้จริง ลู่ไถผู้นี้ชอบความเก่าแก่โบราณ มีมาตรฐานสูง มาดสง่างามก็เป็นหนึ่งไม่เหมือนใคร จึงถูกขนานนามให้เป็นเจ๋อเซียน เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์คนที่สองนับจากจูเหลี่ยน”

ลู่เฉินนวดคลึงหว่างคิ้ว “ฟังแล้วข้าปวดกบาล”

พื้นที่มงคลดอกบัวแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนของภูเขาลั่วพั่วถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพื้นที่มงคลรากบัว เป็นพื้นที่มงคลระดับล่าง

พื้นที่มงคลที่อวี๋เจินอี้อยู่กลับเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าเอาไปวางไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัว

พื้นที่มงคลที่ลู่ไถอยู่ รวมไปถึงพื้นที่มงคลที่เด็กหนุ่ม วานรขาวน้อยและนักพรตหนุ่มออกท่องเที่ยวไปหาประสบการณ์ด้วยกันแห่งนั้น ทั้งสองล้วนเป็นระดับกลาง

ส่วนพื้นที่มงคลที่ลู่เฉินและอวี๋เจินอี้มาเป็นแขกในเวลานี้ถูกนักพรตน้อยเซาฮว่อที่แบกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกใหญ่ยักษ์พาไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าในปีรัชศกชุนเจีย

คนทั้งสองทะยานผ่านขุนเขาเขียวสายน้ำใส ลอยตัวผ่านเมฆขาวกระเรียนเหลือง ในที่สุดก็มองเห็นภูเขาฝูหรงที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมฆน้ำบนฟ้า’ รากภูเขาคล้ายดอกบัว ยอดเขาเหมือนดอกพุดตาน (ฝูหรง)

ลู่เฉินลดตัวลงนอกอาณาเขตของภูเขาฝูหรง จากนั้นก็พาอวี๋เจินอี้เดินลุยน้ำข้ามภูเขาต่อไปอีกครั้ง ทุกครั้งที่เจออากาศขมุกขมัวไปด้วยไอน้ำ ยามเดินอยู่บนสะพานเลียบหน้าผาของภูเขาฝูหรงจะทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในแดนเซียน ประหนึ่งดั่งเป็นเซียนที่อยู่ท่ามกลางเมฆขาว

ลู่ไถเจ๋อเซียนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกและได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขพรรคมารต่อจากติงอิง ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีก็สามารถรวบรวมกองกำลังของลัทธิมารแต่ละสายให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ภูเขาฝูหรงที่ลู่ไถหมายตาแห่งนี้ ด้านบนได้สร้างคฤหาสน์หลบร้อนไว้แห่งหนึ่ง กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของพื้นที่มงคลดอกบัว วันนี้บนภูเขามีฝนตกปรอยๆ ไอน้ำขมุกขมัวแผ่อบอวล ลู่เฉินเพิ่งจะเดินขึ้นมาบนสะพาน เพิ่งจะท่องประโยคฝนเม็ดเล็กลมบางเบา แขนขาสี่ข้างข้ายืดผ่อนคลายจบ

ก็มีคนสามคนมาขวางทาง

ผู้ฝึกยุทธเถาเสียหยาง นักพรตหวงซ่าง หวนอินที่ฝึกควบทั้งเวทคาถาและวรยุทธ

ทุกคนล้วนเป็นวีรบุรุษผู้กล้าลำดับต้นๆ ของพื้นที่มงคลแห่งนี้อย่างสมชื่อ

พวกเขาคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ลู่ไถรับมาตอนอยู่ป้อมอินทรีบิน จากนั้นก็พาเข้ามาในพื้นที่มงคลแห่งนี้ กลายเป็นผู้นำยักษ์ใหญ่ของลัทธิมารที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งไว้อย่างเผด็จการ ไม่เพียงแต่ดูแคลนอ๋องและโหวล่างภูเขา แม้แต่เทพเซียนที่ขึ้นเขาฝึกตน ในเวลายี่สิบกว่าปีมานี้ก็ถูกพวกเขาสังหารไปมากมาย อีกทั้งสิบคนในใต้หล้าที่เป็นคนรุ่นก่อนซึ่งได้รับโชควาสนาตระกูลเซียน ยกตัวอย่างเช่นโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ คนลับมีดหลิวจง ฯลฯ ต้องไปยังใบถงทวีปซึ่งเป็นบ้านเกิดของคนทั้งสาม นอกจากนี้ต่อให้อยู่ในพื้นที่มงคล คนที่ถือเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงก็แปลกประหลาดยิ่งนัก อันดับแรกก็เป็นจ้งชิวที่จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาก็เป็นอวี๋เจินอี้บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าที่ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิด ได้บินทะยานจากไป สุดท้ายเป็นเหตุให้พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งไม่เหลือใครที่สามารถงัดข้อถ่วงดุลกับลัทธิมารได้อีก พรรคต่างๆ ในยุทธภพทำไม่ได้ จวนเซียนบนภูเขาทำไม่ได้ จักรพรรดิล่างภูเขาก็ทำไม่ได้

ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนนี้ของลู่ไถ นักพรตหวงซ่างค่อนข้างจะเก็บออมฝีมือ ทุกวันนี้ได้เป็นราชครูของเมืองเหลืองแคว้นหนันเยวี่ยน ได้รับการแต่งตั้งเป็นชงซวีเจินเหรินแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วเพราะลู่ไถเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ จึงเสนอให้ลัทธิเต๋าของใต้หล้าแต่งตั้งตำแหน่งสี่เจินเหรินใหญ่ ฉายาเต๋าแบ่งออกเป็นทงเสวียน ชงซวี หนันหัว ต้งหลิง

นอกจากหวงซ่างแล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดพรรคหูซานคนหนึ่งของอวี๋เจินอี้ก็ได้รับตำแหน่งหนึ่งในนั้นไป

ใต้หล้าไม่มีอวี๋เจินอี้ ลู่ไถผู้เป็นอาจารย์ก็ไร้คู่ต่อสู้อย่างแท้จริง จึงไปซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาอย่างสันโดษ ประหนึ่งกระเรียนป่าที่โบยบินลอดก้อนเมฆอย่างอิสระเสรี ไม่มีความสนใจใดๆ ต่อพื้นที่มงคล มอบหมายใต้หล้าให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนจัดการดูแลอย่างเต็มที่ มีเพียงบางครั้งที่จะไปเยือนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเพราะชอบไปชมบรรยากาศวันที่หิมะหรือไม่ก็ฝนตก เขามักจะกางร่มเดินเล่นอยู่ในตรอกเพียงลำพัง ต่อให้เป็นลูกศิษย์อย่างหวงซ่างที่เป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะไปรบกวนการผ่อนคลายอารมณ์ของอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแค่ได้ยินมาว่าอาจารย์รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาอีกคน ทว่าภูเขาฝูหรงถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของทุกคน ใครเหยียบย่างเข้าไปล้วนต้องตาย พวกเถาเสียหยางสามคนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่เคยได้พบหน้าศิษย์น้องเล็กคนนั้น ทุกวันนี้มีข่าวลือเล็กๆ อย่างหนึ่งบอกว่าเด็กหนุ่มที่ไปถามกระบี่ต่อพรรคหูซานเพียงลำพังคนนั้นก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าลัทธิลู่ไถ

เถาเสียหยางสามคนต่างก็อยู่กันคนละแคว้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ อาจารย์เจ้าลัทธิถึงได้ส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าว บอกให้พวกเขามารับรองแขกที่ภูเขาฝูหรง

นักพรตหวงซ่างที่ทุกวันนี้มีโฉมหน้าเป็นวัยกลางคนประสานมือคารวะอวี๋เจินอี้ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ผู้เยาว์หวงซ่างคารวะอวี๋เซียนซือ”

เถาเสียหยางเอื้อมมือไปกดด้ามดาบ ยืนเอนตัวพิงรั้วไม้ของสะพาน ยิ้มถามว่า “อวี๋เซียนซือคิดจะสวมผ้าแพรกลับบ้านเกิดหรือ?”

ส่วนหวนอินที่มีโฉมหน้าเป็นเด็กหนุ่มตลอดเวลานั้น ความสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวของอวี๋เจินอี้ แต่ไปอยู่ที่บัณฑิตชุดขงจื๊อที่ยิ้มแต้อย่างไม่กลัวตาย

อวี๋เจินอี้ไม่กล้ากระทำการใดๆ อย่างบุ่มบ่ามแม้แต่น้อย เพียงแค่สะพายกระบี่อุ้มกวานเต๋าเอาไว้ เงียบงันราวกับไก่ไม้

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะกริ่งเกรงผู้เยาว์สามคนตรงหน้านี้ แต่เพราะไม่รู้ว่าลู่เฉินที่อยู่ข้างกายคิดอย่างไร อวี๋เจินอี้ไม่ยินดีจะวาดงูเติมขาจริงๆ

ลู่เฉินม้วนชายแขนเสื้อ เดินก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้า พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “ข้าน้อยเจิ้งห่วน โชคดีได้พบกับอวี๋เซียนซือจึงคอยติดตามรับใช้อยู่ข้างกายมานานหลายปี ไม่เพียงแต่ได้เรียนรู้วรยุทธดีๆ มามากมาย ยังได้เรียนเวทคาถาเซียนมรรคกถาเต๋าอีกหลายบท สามารถเอามาประลองฝีมือกับพวกเจ้าได้พอดี พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกันหรือว่าจะมาทีละคนล่ะ…”

แม้ว่าเถาเสียหยางจะเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้มากแล้ว แต่ก็ยังลงมือได้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงบนศีรษะด้านข้างของบัณฑิตจนอีกฝ่ายพลัดตกจากสะพานเลียบหน้าผาไปโดยตรง ร่างร่วงลงไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนทอดยาวไม่ขาดสายที่ระดับเสียงค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ

เป็นเหตุให้แม้แต่เถาเสียหยางที่เป็นคนลงมือยังอดรู้สึกงุนงงไม่ได้ แค่นี้ก็จบแล้วหรือ?

อวี๋เจินอี้ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้าเด็กนี่ช่างโชคดีนัก มากพอจะทิ้งชื่อเสียงขจรไกลไว้ในประวัติศาสตร์ได้เลย”

ทว่าเพียงชั่วพริบตาอวี๋เจินอี้ก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว เพราะตอนนี้เขามีตบะแค่ขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้น!

และดูเหมือนว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงผู้นั้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวเลย จะ ‘ร่วงหน้าผาร่างกระแทกตาย’ ทั้งอย่างนี้หรือ?

ฝนปรอยๆ ตกอยู่ในภูเขา สะพานไม้เลียบหน้าผากึ่งกลางภูเขาอบอวลไปด้วยไอเมฆไอหมอก ทว่าบนยอดเขาของภูเขาฝูหรงกลับเป็นทัศนียภาพที่ท้องฟ้าใสแจ่มกระจ่าง

บุคคลผู้หนึ่งท่วงท่าสง่างามสวมชุดขาวรัดเข็มขัดหยก รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุด ยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิง ในมือถือพัดพับไม้ไผ่หยกที่ประกบติดเข้าด้วยกัน สองด้านของซี่พัดเขียนด้วยลายมือแบบหวัดเป็นคำว่า ‘เทียบหวนคืนบ้านเกิด’ และ ‘เทียบดอกไม้เหลือง’ ยืนอยู่บนดาดฟ้าชมทัศนียภาพบนยอดเขา สมกับคำว่าต้นไม้หยกรับลมอย่างแท้จริง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในภูเขาเมื่อฝึกตนประสบความสำเร็จ จิตใจจะปลอดโปร่งโล่งสลาย ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลีในโลกมนุษย์แม้แต่น้อย

ด้านหลังมีสาวงามหน้าตาจิ้มลิ้มซึ่งบนศีรษะปักเครื่องประดับไว้จนเต็มยืนอยู่สองคน

คนหนึ่งอุ้มกระบี่ พู่ห้อยกระบี่สี่ทองแขวนตราประทับหนังสือที่วัสดุทำมาจากลี่จือต้ง (แปลตรงตัวได้ว่าลิ้นจี่แข็ง คือหินโมราชนิดหนึ่งมีสีขาวเหมือนเนื้อลิ้นจี่) อักษรริมขอบสลักคำว่า ‘หินจากนาเขียว ข้าอยู่ฟ้าคราม’ อักษรด้านบนสลัก ‘ยกลอย’ อักษรด้านล่าง ‘ค้ำประคองฟ้า’

คนโบราณมีคำกล่าวว่าแกะหินนั้นยากลำบาก ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นฟ้า แต่ในเมืองหลวงแคว้นซงไล่มีช่างฝีมือด้านการแกะสลักที่อายุยังน้อยอยู่คนหนึ่ง ฝีมือการแกะสลักยอดเยี่ยม เป็นเอกลักษณ์ใครก็ทัดเทียมไม่ได้ ราวกับเซียนกระบี่ใช้กระบี่บินจรดพู่กันอย่างไรอย่างนั้น

ส่วนสาวใช้อีกคนหนึ่งโอบอุ้มหมอนกระเบื้องหยกขาวไว้ใบหนึ่ง เป็นลักษณะของหมอนไร้กังวลของใต้หล้าไพศาล มีอีกชื่อหนึ่งว่าหมอนอายุยืน ความหมายแฝงของการใช้หมอนนี้ก็คือนอนหนุนหมอนสูงไร้ทุกข์ไร้กังวล จุดที่น่าสนใจนั้นอยู่ที่นอกจากหมอนกระเบื้องใบนี้จะมีบทกลอนที่ตัวอักษรเยอะอย่างถึงที่สุดสลักไว้แล้ว ในบริเวณใกล้เคียงกับตัวอักษรที่บอกว่า ‘อากาศร้อนทิวทัศน์งามโลกสงบ ฟ้าเปลี่ยนแสงอรุณใจร่มเย็นเป็นสุข’ กลับมีรอยประทับแดงๆ เหมือนชาดบนแก้มของสตรี คาดว่าคงเป็นสาวงามนอนตะแคงหลับฝันหวานจึงทิ้งรอยแก้มแดงไว้บนหมอนกระเบื้อง ภาพเหตุการณ์อันอ่อนหวานละมุนละไมเช่นนี้ ต่อให้ไม่ได้เห็นเองกับตาก็มากพอจะทำให้คนจินตนาการไปหลากหลายแล้ว

ลู่ไถโบกพัดพับ ร่างของสาวงามยันต์กระดาษสองคนก็หายวับไป

ลู่เฉินปรากฏตัวบนยอดเขา ยิ้มเอ่ย “น่าสงสาร น่าสงสาร”

ลู่ไถยิ้มบางๆ “ได้แต่มองไม่อาจเข้าใกล้ ช่างน่าแค้นใจจริงๆ”

จากนั้นลู่ไถก็เหน็บพัดไว้ตรงเอว คารวะอย่างนอบน้อม “ลูกศิษย์สกุลลู่คารวะท่านบรรพบุรุษ”

ลู่เฉินถาม “เป็นเจ้าที่ต้องการให้เฉินผิงอันเป็นเสาหินท่ามกลางกระแสน้ำ?”

ลู่ไถยืดตัวขึ้นตรง หยิบพัดพับขึ้นมาอีกครั้ง พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “แค่คำพูดไร้เจตนาไม่กี่คำของลูกหลานรุ่นหลัง บรรพบุรุษที่มีก็เหมือนไม่มีจะยังตำหนิกล่าวโทษอีกหรือ?”

ลู่เฉินในเวลานี้แตกต่างไปจากหมอดูที่ตั้งแผงอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู และเจิ้งห่วนที่โยนกวานดอกบัวทิ้งให้คนนอกอย่างไม่ใส่ใจอย่างมาก เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”

ลู่ไถคลี่พัดพับออก โบกลมเย็นๆ เข้าใส่ตัว ด้านบนพัดเขียนประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ลูกหลานลู่ไถมาพบบรรพจารย์ลู่เฉิน’

หากรู้แต่แรกคงสลับตำแหน่งของสองชื่อนี้ไปแล้ว

ลู่ไถเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มถาม “ต่างก็พูดกันว่าท่านบรรพบุรุษมีห้าความฝัน แต่ละความฝันล้วนเป็นการแสดงออกของมหามรรคาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ยังมีวัตถุที่เชื่อมกับจิตอยู่อีกเจ็ดชิ้น ไก่ไม้ ต้นชุน ตัวตุ่น คุนเผิง นกขมิ้นเหลือง เยวียนฉู ผีเสื้อ ไม่รู้ว่าท่านบรรพบุรุษจะเมตตาเอามาให้ข้าเห็นสักอย่างได้หรือไม่?”

ลู่เฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่หมุนตัวเดินไปริมหน้าผาชายขอบของดาดฟ้าชมทัศนียภาพ สองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองขุนเขาสายน้ำห่างไกล “น่าสงสารบุรุษหลิวไฉที่อยู่ในพื้นที่มงคลลวี่อิน น่าสงสารสตรีหลิวไช่แห่งภูเขาตะวันเที่ยง หงส์หลากสีสองปีกสยายบิน จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน ตอนที่พบเจอกับเจ้าก็คือตอนที่ต้องจากลา ก็แค่พืชหญ้าม้าเดินหมุนไปตามลม โจวจื่อไม่ควรเอาเจ้ามาถามมรรคากับข้า”

ลู่เฉินพลันหัวเราะ หันหน้ามายิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “หลานไม่หลานอะไรกัน เจ้าใส่ใจเกินไปแล้ว ข้าไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ก็ถือว่าหายกันได้พอดี ไปๆๆ ไปดื่มเหล้าที่กระท่อมของเจ้ากัน โลกสงบชาวบ้านเป็นสุขไม่กลัดกลุ้มเรื่องการกิน สุราปีการเก็บเกี่ยวสมบูรณ์รสชาติเยี่ยมที่สุด”

ลู่ไถเอ่ย “หากท่านยังไม่ปรากฏตัวออกไปช่วย อวี๋เจินอี้จะถูกคนซ้อมตายทั้งเป็นแล้ว หวนอินลูกศิษย์ของข้าคนนั้นเป็นคนประเภทที่สามารถเก็บตกของดีได้เก่งที่สุด”

ลู่เฉินตบหัวตัวเอง “เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”

แม้ว่าปากจะพูดเช่นนี้ แต่ลู่เฉินกลับไม่มีท่าทีจะให้ความช่วยเหลือ แค่ตามลู่ไถไปยังคฤหาสน์บนภูเขาฝูหรง อันที่จริงที่นี่ไม่เหมือนกับที่โลกภายนอกจินตนาการกันไว้เลย เป็นแค่กระท่อมประตูไม้ที่มีห้องแค่สองสามห้องเท่านั้น

ตรงประตูไม้มีเสียงหมาเห่า

ลู่ไถเงยหน้ามองสีท้องฟ้า

ลู่เฉินกลับเขย่งปลายเท้า ใช้สองมือวางทาบไว้บนประตูไม้ หัวเราะคิกคักเอ่ยกับหมาเฝ้าบ้านตัวนั้น “หมาสู่เห็นแสงตะวันจึงเห่า เพราะเป็นเรื่องหายาก”

ลู่ไถเอ่ยกับหมาตัวนั้น “ลู่เฉิน หุบปาก”

หมาเฝ้าบ้านรีบนอนหมอบลงกับพื้นอย่างว่าง่ายทันที

ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ลูกหลานอกตัญญูของบรรพบุรุษ”

บังเอิญยิ่งนัก บนภูเขาฝูหรงวันนี้มีหิมะตกลงมา ลู่เฉินจึงถือโอกาสพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรงในค่ำคืนที่หิมะตกพอดี

ลู่ไถไปชมหิมะบนยอดเขา ลู่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นคืนลมหิมะที่ดีจริงๆ”