แจกันสมบัติทวีป บนยอดเขาของขุนเขาใต้ นอกศาลเทพซานจวินได้สร้างสิ่งปลูกสร้างหยาบๆ ลักษณะคล้ายค่ายกระโจมทัพชั่วคราวขึ้นมาแถบใหญ่ เลขาธิการบุ๋นบู๊ของต้าหลี แม่ทัพบู๊ของแคว้นใต้อาณัติแห่งต่างๆ พากันเดินตบเท้าเข้าออกสถานที่แห่งนี้ไม่ขาดสาย ฝีเท้าของแต่ละคนเร่งร้อน ตรงเอวทุกคนต่างก็ห้อยหยกพกที่ถูกมองเป็นเอกสารผ่านด่านชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณของตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่า ในพื้นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่งมีคนแก่และเด็กสี่คนยืนเอนพิงราวรั้วมองสนามรบที่อยู่ทางทิศใต้ไกลๆ พวกเขาล้วนมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นถือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารไว้ในมือสองเม็ด กำลังหมุนเล่นเบาๆ ราวกับว่ามันเป็นลูกเหล็กที่พวกชาวยุทธในแคว้นเล็กๆ ชอบเล่นกัน มือข้างหนึ่งยกหยกโปรยพิรุณขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “ซิ่วหู่ตัวดี ไม่ว่าจะหาเงินประหยัดเงินหรือใช้เงินล้วนมีฝีมือดีเยี่ยม ตาเฒ่าเจียง เรื่องของการประหยัดเงิน เรียนรู้เอาไว้หรือยัง? ในและนอกสนามรบของต้าหลี ก่อนหน้านี้ข้าและเจ้าลองคิดคำนวณกันดูคร่าวๆ มีเรื่องน้อยใหญ่ประมาณสามพันหกร้อยเรื่อง เรื่องของการหาเงินและการใช้เงินมีค่อนข้างมาก แต่เรื่องของการประหยัดเงินกลับมีแค่สองร้อยเจ็ดสิบสามเรื่อง เรื่องเล็กๆ อย่างหยกพกนี่ อันที่จริงนี่ต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงคุณความชอบของซิ่วหู่ได้อย่างแท้จริง วันหน้ายามที่เจ้าตาเฒ่าเจียงถ่ายทอดวิชาความรู้อยู่ที่ภูเขาบรรพบุรุษ สามารถเน้นย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ ได้”
ผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ตาเฒ่าเจียง’ สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ ตรงเอวรัดข้องปลาใบเล็ก เขาพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทอดสายตามองการจัดวางกองกำลังหนาแน่นซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนสนามรบที่ห่างไปไกลแล้วเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “โจมตีมีทัพยืน พิทักษ์มีนั่งบัญชาการณ์ ร้อยเรียงตัดสลับ จุดตัดมีความประณีตพิถีพิถัน ล้วนสอดคล้องกับหลักการของการสู้รบ นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมคนมีความสามารถของแคว้น และการรวบรวมกลุ่มเล็กต่อต้านกลุ่มใหญ่ซึ่งอยู่นอกตำราพิชัยสงครามแต่ยังอยู่ในยุทธการ ทำให้มองเห็นร่องรอยที่คุ้นเคย มองเห็นเส้นสายได้อย่างชัดเจน ดูท่าแล้วซิ่วหู่จะนับถือน้องเว่ยจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้บอกกันว่าปีนั้นตอนที่ซิ่วหูอยู่ระหว่างเดินทางไปทัศนศึกษา ได้อ่านตำราสามเล่มซ้ำไปซ้ำมาจนตำราเปื่อย หนึ่งในนั้นก็มีตำราพิชัยยุทธของน้องเว่ยอยู่ด้วย”
ผู้เฒ่าแซ่เว่ยลูบหนวดยิ้ม “อีกสองเล่มที่เหลือค่อนข้างจะเกินความจำเป็นแล้ว ได้แค่ถือว่าเป็นของรางวัลเพิ่มเติม เหมือนกับแกล้มแกล้มเหล้าที่เพิ่มมาอีกสองจานเท่านั้น ตำราพิชัยยุทธเล่มนั้นของข้าต่างหากถึงจะถือว่าเป็นสุรารสชาติดั้งเดิมที่แท้จริง”
ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าจากแผ่นดินกลางผู้นี้ชอบคำเยินยอ ในความเป็นจริงแล้วคำสรรเสริญชื่นชมที่ผู้เฒ่าแซ่เว่ยได้รับมาตลอดชีวิตนี้ ไม่ว่าจะในหรือนอกตำราก็ล้วนเพียงพอแล้ว
ผู้เฒ่าเอ่ยประโยคจากใจจริงเพิ่มตามมาอีก “เมื่อก่อนรู้สึกแค่ว่าเจ้าเด็กชุยฉานผู้นี้ฉลาดเกินไป กลอุบายลึกล้ำ ความสามารถที่แท้จริง หากเอาไปใช้แค่ด้านการฝึกอบรมตัวเองด้านการศึกษาหาความรู้ คิดจะเป็นรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นก็เพียงพอเหลือแหล่ แต่หากคิดจะพูดถึงนอกตำราพิชัยสงคราม ต้องสัมผัสกับสงครามที่แท้จริง มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเพียงการวางแผนสู้รบบนหน้ากระดาษเท่านั้น ตอนนี้มาย้อนนึกดู กลับเป็นข้าผู้อาวุโสที่ปีนั้นดูแคลนวิชาการปกครองของซิ่วหู่มากเกินไป ที่แท้ซิ่วหู่แห่งไพศาลก็มีฝีมือล้ำเลิศเทียมฟ้า ไม่เลวเลยจริงๆ”
ผู้เฒ่าสองคนต่างก็มาจากปฐมสำนักของสำนักการทหารในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตามกฎแล้วถือเป็นสำนักเบื้องบนของศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ ภูเขาบรรพบุรุษที่มีความเกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊อย่างยิ่งใหญ่และลึกล้ำก็ยิ่งเป็นที่ตั้งของสำนักการทหารดั้งเดิมแห่งใต้หล้า และผู้เฒ่าที่คนหนึ่งแซ่เจียงคนหนึ่งแซ่เว่ยนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นบรรพบุรุษสำนักการทหารอย่างสมชื่อแล้ว เพียงแต่ว่าเจียง เว่ยสองคนได้แต่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ของสำนักการทหารสองท่านเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรปฏิทินเหลืองเล่มนั้นของสำนักการทหารก็มีหน้าที่ว่างเปล่าอยู่เยอะมาก
และคนสองคนข้างกายผู้เฒ่า หนึ่งชายหนึ่งหญิงที่อายุยังน้อยทั้งคู่ คนหนึ่งคือสวี่ป๋าย เนื่องจากเชี่ยวชาญการเล่นหมากรุก จึงมีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘เจียงไท่กงตอนเป็นเด็กหนุ่ม’ และ ‘สวี่เซียน’
อีกคนหนึ่งคือเด็กสาวมีนามว่าฉุนชิง นางสวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียวที่ถักด้วยเยื่อไผ่เส้นบางถี่ยิบ นางมัดผมหางม้าไพล่พวงผมข้ามไหล่มาห้อยไว้ด้านหน้า ตรงเอวพกดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ ฉุนชิงมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสิน เป็นทั้งลูกศิษย์เปิดขุนเขาและเป็นทั้งลูกศิษย์คนสุดท้าย
สวี่ป๋ายเอ่ยเสียงเบา “บนภูเขาและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปกลับไม่มีความวุ่นวายแม้แต่น้อย เป็นเพราะใจคนเอามาใช้ประโยชน์ได้มากจริงๆ หรือ? นับตั้งแต่เหนือลงใต้ ตลอดทางมานี้พวกเรายังจงใจแวะท่องเที่ยวไปตามเส้นทางเลียบมหาสมุทรหมื่นลี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ฝึกตนที่คิดหนีออกไปจากแจกันสมบัติทวีปแม้แต่คนเดียว นี่ไม่แปลกไปหน่อยหรือ? ไม่พูดถึงใบถงทวีป พูดถึงแค่ฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปที่ถือว่ากล้าตายกล้ารบมากแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ยังไม่เกินจริงถึงขั้นนี้ ส่วนใหญ่มักจะมีผู้ฝึกตนที่หลบหนีแล้วมาจับกลุ่มกัน พากันแอบออกไปนอกอาณาเขตพื้นดินของทวีป”
ผู้เฒ่าแซ่เจียงยิ้มเอ่ย “เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีปก็แค่ไม่กล้า ไม่สามารถ ไม่ยินดีเท่านั้น ไม่กล้าก็เพราะกฎของต้าหลีเข้มงวด เส้นแนวรบเลียบมหาสมุทรใหญ่แต่ละเส้นก็คือการสยบขวัญผู้คนอย่างหนึ่งอยู่แล้ว หัวของเทพเซียนบนภูเขาก็ไม่ได้มากไปกว่าหัวคนธรรมดาเลย ออกจากหน้าที่โดยพลการ ฆ่าทิ้งโดยไม่ต้องถาม นี่ก็คือกฎของต้าหลีในทุกวันนี้ ไม่สามารถก็เพราะราชสำนักและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่ง แม้แต่ศาลบรรพจารย์บ้านตัวเองและผู้ฝึกตนอิสระของแต่ละพื้นที่ที่คอยรายงานข่าวยังคอยจับตามองกันเอง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากถูกลากให้ติดร่างแหไปด้วย ไม่ยินดีก็เพราะสนามรบในแจกันสมบัติทวีปนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าสงครามจะดุเดือดรุนแรงยิ่งกว่าสามทวีป แต่กลับยังสามารถสู้ได้ แม้แต่เด็กเล็กชั้นประถมหรือพวกอันธพาลที่วันๆ ไม่เอาการเอางานในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังไม่มีใครรู้สึกว่าสงครามครั้งนี้ต้าหลี หรือควรจะพูดว่าแจกันสมบัติทวีป จะต้องแพ้สักเท่าใด”
สวี่ป๋ายมองไปยังสนามรบแห่งหนึ่งบนพื้นดิน เขามองเห็นแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะเหล็กคนหนึ่งจึงถามเบาๆ ว่า “เป็นแม่ทัพบู๊ต้าหลีที่ระดับขุนนางสูงที่สุดแล้ว ยังจะต้องตายอีกหรือ? เป็นเพราะคนผู้นี้ยินดี หรือเพราะซิ่วหู่ต้องการให้เขาตาย เพื่อที่จะได้เป็นตัวอย่างที่ดีงามให้แก่กองทัพชายแดนต้าหลี จะได้เอามาใช้ปลอบใจผู้คนหลังจบศึก?”
ผู้เฒ่าแซ่เจียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพบู๊ของกองทัพชายแดนต้าหลี มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนที่ลุกขึ้นมาจากกองคนตาย นับแต่ซ่งจ่างจิ้งไปจนถึงซูเกาซาน เฉาผิง ล้วนเป็นเช่นนี้ หากจะบอกว่าพอหมวกขุนนางใหญ่ขึ้นก็ตัดใจตายไม่ลง ชีวิตมีค่าเลยตายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปยังไง สวี่ป๋าย เจ้าเคยคิดถึงข้อนี้หรือไม่ว่า พลเอกเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลีเป็นยศที่สามารถสืบทอดต่อกันไปได้เรื่อยๆ อีกทั้งในอนาคตยังมีแนวโน้มเอนเอียงว่าจะกลายไปเป็นยศทางขุนนางบุ๋น ถ้าอย่างนั้นในฐานะทูตผู้ตรวจการซึ่งเป็นแม่ทัพบู๊ขั้นหนึ่งล่ะ? ฮ่องเต้ต้าหลีกลับไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะราชครูชุยฉานไม่เคยพูดถึง เพราะอะไร? แน่นอนว่าก็เพราะทูตผู้ตรวจการ หรือซูเกาซาน หรือเฉาผิงแม่ทัพหลักเส้นแนวรบตะวันออกล้วนรบตายอย่างกล้าหาญไปแล้ว ซิ่วหู่ค่อยเอาเรื่องนี้มาพูด เมื่อถึงเวลานั้นจึงจะถูกต้องชอบธรรม คิดดูแล้วแม่ทัพใหญ่ซูเกาซานก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ…”
สวี่ป๋ายอดไม่ไหวเอ่ยว่า “แต่ตอนนี้ซูเกาซานเพิ่งจะอายุแค่ห้าสิบกว่าปีก็ต้องมารบตายในสนามรบแล้ว ต่อให้อาศัยคุณปการครั้งนี้สร้างร่มเงาปกป้องลูกหลาน วงศ์ตระกูลมีเกียรติไปทุกยุคทุกสมัย แล้วจะรับรองได้อย่างไรว่าตำแหน่งทูตผู้ตรวจการของแม่ทัพบู๊ผู้ล่วงลับไปแล้วนี้จะสามารถสืบทอดต่อไปให้คนรุ่นหลังได้อีกเรื่อยๆ นี่เป็นความรู้สึกของคนปกติทั่วไป จะไม่กังวลไม่ได้…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สวี่ป๋ายก็พยักหน้าพูดพึมพำกับตัวเอง “เข้าใจแล้ว หลังจากรบตายก็ได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญาณวีรบุรุษของศาลบู๊อย่างมีเกียรติ เป็นเหมือนนายพลเอกเฉาและหยวน มีการโคจรวิชาอภินิหารของเกาเฉิงและจงขุยก็ไม่เพียงแต่สามารถเป็นแม่ทัพนำทัพหยินอยู่ในสนามรบต่อได้อีก ต่อให้รบตายปิดฉากตัวเองลงก็ยังคงได้ดูแลวงศ์ตระกูล”
ฉุนชิงพูด “อาจารย์ชุยเป็นอัจฉริยะมีแผนการอันลึกล้ำ มองใจคนได้อย่างกระจ่าง”
ชุยฉานลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อตอนเป็นเด็กหนุ่ม อันที่จริงเคยมี ‘บุญคุณความแค้น’ กับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อยู่บ้าง แต่อาจารย์ของฉุนชิง หรือก็คือฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กลับมีทัศคติที่ไม่เลวต่อชุยฉาน ดังนั้นถึงแม้ฉุนชิงจะอายุยังน้อย ไม่เคยไปมาหาสู่กับซิ่วหู่ แต่ความประทับใจที่มีต่อชุยฉานกลับดีมาก เป็นเหตุให้นางเรียกเขาด้วยความเคารพจากใจจริงว่า ‘อาจารย์ชุย’ ตามคำบอกเล่าของอาจารย์เจ้าขุนเขาของนางท่านนั้น นิสัยของมือกระบี่บางคนแย่มาก แต่คนที่มือกระบี่คนนั้นเห็นเป็นสหายได้ ต้องสามารถคบหาด้วยได้แน่นอน ภูเขาชิงเสินไม่ขาดสุราแค่ไม่กี่กานั้นหรอก
สวี่ป๋ายพลันเบิกตากว้าง
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งว่ายน้ำจากจุดที่ห่างไปไกลมาถึง มองดูเหมือนเนิบช้าสบายอารมณ์ แต่แท้จริงแล้วกลับว่องไวราวสายฟ้าแลบ ภูเขาของขุนเขาใต้ที่มีการป้องกันเข้มงวดคล้ายจะเห็นมาจนชินตาแล้วจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นคนผู้นี้ สวี่ป๋ายนึกตัวตนของอีกฝ่ายออกในทันที คือบุคคลผู้หนึ่งที่มีเมฆหมอกล้อมบังสถานะแปลกประหลาด เจ้าหมอนี่แบกยศยาวเป็นพรวน ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำสายลับทางทิศใต้ของต้าหลี ยังเป็นทูตผู้ตรวจการที่อยู่เบื้องหลังเมืองหลวงแห่งที่สองภาคกลางของต้าหลีและลำน้ำใหญ่สายหนึ่งด้วย ภายนอกไม่มีสถานะขุนนางต้าหลีใดๆ แต่กลับเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างถึงที่สุด ตำแหน่งสูงส่งอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงว่ายน้ำวนไปรอบร่างของคนทั้งสี่ ใบหน้าแสร้งทำเป็นตกตะลึงอย่างไม่มีความจริงใจใดๆ โหวกเหวกว่า “โอ้โห นี่มันตาเฒ่าเจียงที่ฝีมือเล่นหมากรุกไร้เทียมทานของพวกเราคนนั้นไม่ใช่หรือ ยังคงแต่งกายเรียบง่ายอยู่เหมือนเดิมเลยนะ มาตกปลาหรือ ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา สระน้ำกว้างใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่ากุ้งปูปลาอะไรก็มีหมด มีสตรีผู้หนึ่งชื่อเฟยเฟย ก็คือปลาตัวใหญ่ แล้วยังมีบรรพจารย์เว่ยช่วยรวบแหอีกด้วยนะนี่ แบบนี้แค่ยกมือเฟยเฟยจะไม่ถูกจับมาง่ายๆ เลยหรือ? กลัวก็แต่ว่าข้องปลาใบเล็กตรงเอวตาเฒ่าเจียงจะใส่ไม่พอ…”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อจอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาผู้หนึ่งพลันปรากฏตัว ใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนหัวของชุยตงซาน ไม่ให้เด็กหนุ่มว่ายน้ำต่อ เด็กหนุ่มชุดขาวจึงร่วงกระแทกพื้นดังตุ้บ เขาแสร้งทำเป็นร้องตวาดอย่างขุ่นเคืองคำหนึ่ง ดีดตัวด้วยท่าปลาไนกระโดดหงายท้องก็ยังลุกไม่ขึ้น ดิ้นกระโดดอยู่สองสามทีก็หล่นกระแทกพื้นอยู่สองสามที ราวกับว่าเป็นชาวยุทธที่เคยเรียนในโรงเรียนสอนการต่อสู้ของยุทธภพที่ฝีมือย่ำแย่ที่สุด แต่กลับแสร้งโอ้อวดว่าตัวเองมีฝีมือ สุดท้ายชุยตงซานก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง ทำเอาสวี่ป๋ายที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนรักษากฎระเบียบที่สุดมึนงงไปหมด ดูเหมือนว่าซิ่วหู่ต้าหลีก็ไม่ได้ร่ายวิชาที่เป็นตราผนึกอะไรนะ ทำไมเด็กหนุ่มถึงได้มีสภาพทุลักทุเลขนาดนี้ได้ล่ะ?
ชุยฉานใช้สถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อประสานมือคารวะบรรพบุรุษสำนักการทหารทั้งสองท่าน
ผู้เฒ่าทั้งสองที่ก่อนหน้านี้ยิ้มแย้มพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายต่างก็กุมหมัดคารวะกลับคืนด้วยท่าทีเคร่งขรึม
คำว่าเคารพนอบน้อมนี้ ต่อให้ร้องขอหวังได้มาก็ยังไม่ได้ แต่ในเมื่อมาแล้ว คิดจะขวางก็ขวางไม่อยู่
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บรรพบุรุษเจียง อาจารย์เว่ย ไปเดินเล่นพูดคุยกับข้าสักหน่อยดีไหม?”
บรรพบุรุษสำนักการทหารสองคนตามชุยฉานเดินจากไปไกล ทิ้งไว้เพียงคนหนุ่มสาวสามคนที่มองดูเหมือนอายุใกล้เคียงกัน อายุที่ ‘แท้จริง’ ของชุยตงซาน หากนับจากตอนที่ดึงจิตวิญญาณเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู ก็ถือว่าใกล้เคียงกับฉุนชิงและสวี่ป๋ายอยู่จริงๆ
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ห่างไปประมาณหมื่นลี้ก็คือจุดตัดระหว่างน้ำและบกของทางทิศใต้สุดกับมหาสมุทรใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป
ทุกวันนี้หากไม่นับตลอดทั้งอาณาเขตขุนเขาใต้นครมังกรเฒ่า สนามรบแห่งที่สองที่แจกันสมบัติทวีปเป็นฝ่ายตั้งรับป้องกันอยู่ด้านนอกต่อจากนครมังกรเฒ่า กับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่กรูกันขึ้นมาบนบกอย่างต่อเนื่อง สงครามของทั้งสองฝ่ายแค่สัมผัสก็จะปะทุขึ้นได้ทันที
สนามรบกว้างขวางที่อยู่ทางทิศใต้ของขุนเขาใต้ ยอดเขาที่อยู่บนรากภูเขาล้วนถูกขนย้ายจนว่างเปล่าไปหมดแล้ว ต้าหลีและกองกำลังฝีมือดีของแคว้นใต้อาณัติได้มารวมตัวกันเป็นกองทัพใหญ่อยู่ที่นี่หมดแล้ว กองทัพม้าเหล็กสายหลักของต้าหลีมีทั้งหมดสามแสนนาย สองแสนนายเป็นม้าเบา ม้าหนักห้าหมื่น ม้าเบาทั้งม้าและคนล้วนสวมชุดเสื้อเกราะวารีเมฆาเหมือนกันหมด บนเสื้อเกราะทุกตัวจะถูกผู้ฝึกสายยันต์แกะสลักภาพริ้วน้ำลายเมฆเอาไว้ ไม่เน้นในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนยันต์ที่ดีอยู่แล้วให้ต้องดีขึ้นเข้าไปอีก
กองทัพม้าเหล็กต้าหลีสามแสนนาย แม่ทัพหลักคือซูเกาซาน
มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจนของราชวงศ์ต้าหลี ก่อนหน้านี้อาศัยคุณูปการทางการสู้รบที่เลื่องลือจึงได้เลื่อนขั้นเป็นทูตผู้ตรวจการซึ่งแต่งตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของต้าหลีได้สำเร็จ ระดับขั้นขุนนางทัดเทียมกับยศนายพลเอกเก่าของต้าหลี
พลทหารราบเดินเท้าแปดแสนนายแบ่งออกเป็นขบวนรบใหญ่ๆ ห้าขบวน แต่ละขบวนรบมองดูเหมือนอยู่ห่างไกลกันหลายสิบลี้ แต่แท้จริงแล้วสำหรับการต่อสู้และสนามรบเช่นนี้ ระยะห่างเท่านี้สามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง
พลทหารเดินเท้าที่สวมเกราะหนักจำนวนมากถึงแปดแสนนาย โยกย้ายจากแคว้นใต้อาณัติใหญ่ๆ แต่ละแห่งจากทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปซึ่งรวมราชวงศ์ป๋ายซวงเก่าเป็นหนึ่งในนั้น พลทหารราบที่สวมเสื้อเกราะหนักรูปแบบเดียวกันจะยืนเฝ้าอยู่ในตำแหน่งของขบวนทัพที่แตกต่างกัน พลทหารสวมเสื้อเกราะห้าขุนเขาซานเหวินที่สีสันแตกต่างกัน สีเหมือนกับดินห้าสีของแผ่นดินในใต้หล้าไพศาล ดินห้าสีทั้งหมดล้วนมาจากขุนเขาและภูเขาทายาทของแคว้นใต้อาณัติใหญ่แต่ละแห่ง ในอดีตนั้นภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ทำลายเส้นสายมังกรกองกำลังแคว้นและโชคชะตาขุนเขาสายน้ำ ภายใต้การตรวจการจับตามองของกองทัพชายแดนต้าหลี ภูตแห่งขุนเขาสายน้ำที่เป็นเผ่าพันธ์ย้ายขุนเขาและหุ่นเชิดกลไกสำนักโม่ มัลละสายยันต์จำนวนนับพันได้ร่วมแรงกันขุดเจาะรากภูเขาน้อยใหญ่ แล้วส่งมอบให้กับต้าหลีและที่ว่าการกรมโยธาของแคว้นใต้อาณัติใหญ่ทั้งหมด ระหว่างนี้ยังมีการโยกย้ายกรรมกรจำนวนนับไม่ถ้วนของแคว้นใต้อาณัติ คอยสร้างเสื้อเกราะห้าขุนเขาซานเหวินต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืนภายใต้การนำพาของผู้ฝึกตนบนภูเขา
ทหารม้าสามแสนนายแบ่งออกเป็นห้ากอง เบาสามหนักสอง ตำแหน่งอยู่ระหว่างพลทหารราบ และยังสร้างสถานการณ์ดุจดั่งขุนเขาแอบอิงสายน้ำร่วมกับขบวนพลทหารราบสวมเกราะหนักห้ากองใหญ่บนสนามรบ
ซูเกาซานแม่ทัพใหญ่อยู่ในขบวนรบอันยิ่งใหญ่ ในมือถือหอกเหล็กด้ามหนึ่ง
ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาสามสิบปี จากทหารเดินเท้าตัวเล็กๆ ในกองทัพชายแดนที่ไร้ชื่อเสียง ลุกผงาดขึ้นเป็นแม่ทัพบู๊ระดับขั้นสูงที่สุดของหนึ่งทวีปเท่ากับหนึ่งแคว้น
ซูเกาซานนั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ หันกลับไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง น่าเสียดายที่ขุนเขาใต้สูงใหญ่บดบังสายตา ไม่อย่างนั้นหากมองทะลุเหนือไปตลอดทางก็จะได้เห็นขุนเขาสายน้ำงดงามทั้งหมดอยู่ในสายตา ในและนอกจุดที่สายตามองไปเห็นล้วนเป็นมาตุภูมิดินแดนในอาณัติของต้าหลีข้า เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ชีวิตนี้เดินมาถึงจุดนี้ เรียกได้ว่าเกิดมาได้พบเจอกับช่วงเวลาที่ดีที่สุด ตายไปอย่างสมปรารถนาที่สุด
มือหนึ่งของซูเกาซานตบด้ามดาบเบาๆ อีกมือหนึ่งยกขึ้นตบหมวกเหล็กหนักๆ ทูตผู้ตรวจการเพียงหนึ่งเดียวที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนของกองทัพชายแดนต้าหลีผู้นี้สายตาเด็ดเดี่ยว เอ่ยเสียงต่ำทุ้มหนัก “ให้ข้าผู้แซ่ซูได้ช่วยเปิดทางสายใหญ่กว้างขวางให้แก่ลูกหลานตระกูลยากจนในรุ่นหลังก็แล้วกัน”
เบื้องหน้าของกองทัพม้าและพลทหารราบ ด้านหน้าสุดของสนามรบแถบนี้ยังมีขบวนจวี้หม่า (คืออาวุธชิ้นหนึ่งที่ใช้เป็นอุปสรรคบนสนามรบ ทำจากไม้สามารถขยับได้) เรียงแถวกันเป็นเส้นยาว ล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของกองทัพชายแดนคนหนุ่มฉกรรจ์ที่มีพละกำลังน่าตะลึงของแคว้นใต้อาณัติ จำนวนคนมากถึงแปดหมื่นคน เส้นแนวรบที่สองด้านหลัง ในมือคนถือดาบพิฆาตม้าขนาดใหญ่ยักษ์ ทั้งสองฝ่ายลงนามสัญญากับราชวงศ์ของแต่ละแคว้น ยอมเป็นนักรบพลีชีพ สร้างขบวนรบจวี้หม่าและเสาพิฆาตม้าที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีในอนาคตขึ้นมา
ระหว่างขบวนเครื่องสิ่งกีดขวางและขบวนดาบคือขบวนทัพใหญ่ของผู้ฝึกตนบนภูเขาแจกันสมบัติทวีป และยังมีมือธนูอีกหนึ่งแสนสองหมื่นนาย รถขว้างหินอีกหนึ่งหมื่นสองพันคัน จัดขบวนเรียงกันเหมือนพระจันทร์เสี้ยว นอกจากนี้ก็หน้าไม้ก็มีอีกสามพันคัน ลูกดอกแต่ละลูกใหญ่เหมือนหอกเหล็ก พุ่งไปรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ พลังอำนาจไม่เป็นรองกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่นอกเหนือจากเซียนดินเลย