บนแนวเส้นสนามรบเส้นนี้ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจากปฐมสำนักแห่งแจกันสมบัติทวีปอย่างภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะรับหน้าที่เป็นแม่ทัพหลัก ผู้ฝึกตนภูเขาเจินอู่เชี่ยวชาญการจัดขบวนทัพบนสนามรบมากที่สุด คนส่วนใหญ่มักจะเข้าร่วมกองทัพของต้าหลีและของแคว้นใต้อาณัติใหญ่แห่งต่างๆ แต่เนิ่นๆ คนส่วนมากจึงมีชาติกำเนิดจากแม่ทัพบู๊ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง ยามอยู่ในขบวนรบ นอกจากจะคอยเข่นฆ่าศัตรูแล้วยังต้องคอยโยกย้ายกองกำลัง ส่วนรูปแบบการเข่นฆ่าของผู้ฝึกตนศาลลมหิมะกลับคล้ายจอมยุทธพเนจรมากกว่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพชายแดนของแคว้นต่างๆ หนึ่งในนั้นก็มีหม่าขู่เสวียนหนึ่งในตัวสำรองสิบคนของคนรุ่นเยาว์ เขาอยู่ในสนามรบแห่งนี้คอยสั่งการสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาเจินอู่หลายสิบตนที่ยืนเคียงบ่าขนาบซ้ายขวาเขาไว้
เจ้าสำนักหญิงแห่งสำนักพีหมา กว๋อฉือเซียนซือจู๋เฉวียน ดาบพกสลักคำว่า ‘อานุภาพสวรรค์เกริกก้อง สยบหมื่นภูตผี’
นางยืนเคียงบ่าอยู่กับมือกระบี่ผูหราง ผู้ฝึกกระบี่กระดูกขาวในหุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูก ฝ่ายหลังมีเรือนกายสูงเพรียว สวมชุดคลุมอาคมสีหมึก ร่ายเวทอำพรางตาที่ทำให้เนื้อก่อกำเนิดขึ้นมาจากกระดูกขาว กลับคืนมามีรูปโฉมเดิมเหมือนครั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความองอาจคนหนึ่ง
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “ผูหราง ที่แท้เจ้าก็หน้าตาดีถึงเพียงนี้ สาวงาม โฉมสะคราญโดยแท้ ลาหัวโล้นที่วัดหยวนเยว่ใหญ่ผู้นั้นตาบอดหรือไร หากสามารถมีชีวิตรอดกลับคืนไปถึงบ้านเกิดได้ ข้าจะต้องช่วยทวงความยุติธรรมแทนเจ้า เจ้าตัดใจด่าเขาไม่ลง แต่ข้าถึงอย่างไรก็เป็นคนอก แค่หาเหตุผลส่งเดชมาด่าเขาก็พอแล้ว จะได้ทำให้เขามึนงงสับสนเสียบ้าง”
จู๋เฉวียนเพิ่งจะพูดขาดคำก็มีหนึ่งภิกษุหนึ่งนักพรตเต๋าที่ตรงเอวห้อยป้ายสงบสุขปลอดภัยระดับหนึ่งของกรมอาญาต้าหลีจับมือกันทะยานลมมาถึง แล้วพลิ้วกายลงข้างกายจู๋เฉวียนกับผูหราง
ก็คือเจินเหรินจากอารามเสวียนตูเล็ก กับภิกษุที่อยู่ในวัดหยวนเยว่ใหญ่ซึ่งหากไม่อาจคลายปมในใจ ก็ไม่อาจบรรลุธรรม
ภิกษุยืนอยู่ข้างกายผูหราง ผูหรางถึงขั้นถอนเวทอำพรางตาออก กลับคืนไปเป็นร่างกระดูกขาวอีกครั้ง
ภิกษุเพียงแค่หันหน้ามามองนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้บรรลุธรรมบรรลุธรรม ผู้รักถนอมรักถนอม หากมิอาจบรรลุธรรมได้ด้วยเหตุนี้ แสดงว่าต้องมีความผิดพลาด เช่นนั้นก็คงได้แต่ให้เป็นความผิดของข้าหรูไหลแล้วกัน”
ผูหรางเพียงแค่หันหน้ามาก่อนแล้วค่อยหันตัวกลับมา นางถึงขั้นหันหลังให้ภิกษุเฒ่า ราวกลับไม่กล้ามองเขา
จู๋เฉวียนกระทืบเท้าเอ่ย “มารดาข้า น่าสลดใจนัก”
เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “เจ้าสำนักจู๋ทำลายบรรยากาศอันดีงามอีกแล้ว”
จู๋เฉวียนมือหนึ่งกดด้ามดาบ เชิดหน้าสูงมองไปทางทิศใต้ หลุดหัวเราะพรืด “ผายลมเจ้าน่ะสิ เหล่าเหนียงอย่างข้า ลี่ไฉ่ บวกกับผูหราง สตรีจากอุตรกุรุทวีปอย่างพวกเรา ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ จะเป็นคนหรือเป็นผี เดิมทีก็คือทัศนียภาพอันงดงามอยู่แล้ว!”
ผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ปักหลักอยู่บนรากภูเขาหลายเส้นของขุนเขาใต้ ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตค่อนข้างต่ำส่วนใหญ่จะไปอยู่บนภูเขาบรรพบุรุษของขุนเขาใต้ จากตีนเขาลามไปจนถึงช่วงกึ่งกลางภูเขา ปราณวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นเปี่ยมล้นจนจับตัวกันเป็นไอน้ำไอหมอกแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างบางส่วนเหมือนคน ‘เมาเหล้า’
ขยับสูงขึ้นไปอีกก็คือเรือกระบี่หลายลำที่จอดลอยอยู่กลางอากาศ
ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองที่สวมชุดหม่างนั่งบัญชาการณ์กระโจมทัพที่อยู่นอกศาลบนยอดเขาของขุนเขาใต้ด้วยตัวเอง
ศึกของนครมังกรเฒ่า ซ่งมู่ถอนทัพมาช้ามาก
อ๋องเจ้าเมืองเฝ้าประตูแคว้น
ตรงกึ่งกลางภูเขาของขุนเขาใต้ เกาเฉิงวิญญาณวีรบุรุษของนครจิงกวาน จงขุยผีที่มีชาติกำเนิดมาจากวิญญูชนสำนักศึกษาของใบถงทวีป ยืนอยู่ข้างกายภิกษุเฒ่าคนหนึ่งที่สองมือกำลังลูบศีรษะโล้นเตียนของตัวเอง
ด้านหลังเกาเฉิงยังมีเด็กชายอีกคนหนึ่งที่กำลังมองแผ่นหลังของเขา ร้องเรียกคำหนึ่งว่าพี่ชาย จากนั้นก็บอกกับเกาเฉิงว่า นายท่านชุยตงซานมาถึงขุนเขาใต้แล้ว
เกาเฉิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบสองท่าน หลี่เอ้อและหวังฟู่ซู่ยืนเคียงบ่ากัน นอกจากนี้ยังมีโจวมี่เจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝูที่มาจากอุตรกุรุทวีปเช่นเดียวกันซึ่งมีชื่อเดียวแซ่เดียวกับมหาสมุทรความรู้แห่งภูเขาทัวเยว่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนนั้น ดังนั้นเจ้าขุนเขาโจวจึงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ที่สำนักศึกษาว่าระงับความโกรธกับมารดามันเถอะ แล้วจึงพาลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษากลุ่มใหญ่เดินทางลงใต้มายังแจกันสมบัติทวีป แต่โจวมี่บอกให้พวกลูกศิษย์อยู่ที่เมืองหลวงแห่งที่สองซึ่งตั้งอยู่ภาคกลางของแคว้น ส่วนตัวเองเดินทางลงใต้มาเพียงลำพัง ทุกวันนี้รับผิดชอบนั่งบัญชาการณ์ภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ร่วมกับสหายรักหลี่เอ้อและเจ้าเฒ่าบ้าบิ่นหวังฟู่ซู่
ภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ลูกนี้ ระดับความสูงของตำแหน่งเป็นรองแค่จวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของศาลบนยอดเขาเท่านั้น ตอนนี้กองกำลังแซ่สกุลใหญ่ทั้งหลายของนครมังกรเฒ่าต่างก็มาอยู่ที่นี่กันเป็นการชั่วคราว นอกจากตระกูลฝู ตระกูลฟ่าน ตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีเซียนกระบี่ใหญ่ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสอีกหลายท่านของภูเขาตะวันเที่ยง และยังมีสวี่หุนเจ้านครลมเย็น ตอนนี้ต่างก็เข้าพักในเรือนที่เงียบสงบคนละหลัง นายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าอย่างฝูหนันหัวกำลังพูดคุยกับไช่จินเจี่ยนบรรพจารย์ก่อกำเนิดของภูเขาเมฆาเรือง
ตระกูลแซ่สกุลใหญ่ทั้งหลายของนครมังกรเฒ่าได้ย้ายออกมานอกเมืองกันหมดแล้ว เพียงแต่ว่าความเสียหายก็ยังคงมากจนประเมินค่ามิได้ โชคดีที่ก่อนจะเกิดศึกใหญ่ เส้นทางการค้าทั้งหลายได้ช่วยสะสมกำลังทรัพย์ไว้ให้ไม่น้อย ต่อให้จะบาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก ขอแค่รักษาแจกันสมบัติทวีปเอาไว้ได้ ทุกอย่างก็ล้วนพูดง่าย เดิมทีนี่ก็คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่หากไม่เดิมพันมากได้กำไรมาก ก็ต้องแพ้จนหมดหน้าตัก นอกจากนี้ต้าหลีก็ไม่ยอมให้นครมังกรเฒ่าไม่ตอบตกลงด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตระกูลฝูซึ่งมีฐานะเป็นผู้นำของนครมังกรเฒ่าได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทมากที่สุด แซ่สกุลใหญ่อื่นๆ ที่พึ่งพาพวกเขาต่อให้ถูกต่อยจนฟันร่วงก็ได้แต่กลืนทั้งเลือดทั้งฟันกลับลงไป เวลาปกติยังพอจะเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า แสร้งว่าทางว่าสงบเยือกเย็นได้ ไม่กล้าเผยความไม่พอใจออกมาแม้สักเสี้ยว เพราะถึงอย่างไรหากชนะสงครามใหญ่ครั้งนี้จริง ก็จะเป็นการค้าที่ได้กำไรมหาศาลครั้งหนึ่ง
ส่วนเรือข้ามทวีปแต่ละลำของนครมังกรเฒ่าซึ่งมีเกาะกุ้ยฮวาและเต่าทะเลภูเขาเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่ในอาณาเขตแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปนานแล้ว
สองสามีภรรยาสกุลสวี่และยังมีสวี่ปินเซียนทายาทของพวกเขาได้ร่วมกันประชุมลับกับบรรพจารย์ตระกูลเถาแห่งภูเขาตะวันเที่ยง ผู้ถวายงานพิทักษ์ขุนเขาและสตรีเถาจื่อ
ทุกวันนี้สวี่หุนเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหยกดิบแล้ว บนร่างสวมเสื้อเกราะโหวจื่อ
บุตรชายสายตรงสวี่ปินเซียน ในอดีตเคยมีนักพรตหญิงคนหนึ่งที่มีบุคลิกโดดเด่นสง่างามเดินทางมาเยือนนครลมเย็น และได้ตั้งชื่อให้กับทายาทของสวี่หุนด้วยตัวเอง ความหมายแฝงของชื่อก็คือ ‘คนบนภูเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊’
ความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เป็นพันธมิตรกันอย่างเดียวเท่านั้น คนหลายคนที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือก็ยิ่งมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นประเภทที่ว่าหนึ่งรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ไปด้วยกัน หนึ่งย่อยยับก็ย่อยยับไปพร้อมกัน
สวี่หุนที่สีหน้าไร้อารมณ์มองไปทางสตรีที่มาขออภัยโทษด้วยท่าทางกระวนกระวายไม่เป็นสุข น้ำเสียงของเขาไม่ถือว่าแข็งกระด้างมากนัก “แคว้นหูไม่ใช่เมืองเล็กๆ ที่พอปิดประตู เปิดค่ายกลปกป้องเมืองก็สามารถตัดขาดข่าวสารข้อมูลทุกอย่างได้ พื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางขนาดนั้น กินอาณาเขตไปหลายพันลี้ หลังจากหายไปอย่างไร้ร่องรอยก็ไม่มีทางที่จะไม่มีข่าวอะไรส่งมาเลยสักนิด พวกหมากทั้งหลายที่จัดวางไว้ในอดีตก็ไม่ได้ส่งข่าวมายังนครลมเย็นเลยหรือ?”
สตรีสกุลสวี่ส่ายหน้า “ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่มีข่าวอะไรส่งกลับมาเลยสักนิด”
สวี่หุนขมวดคิ้วน้อยๆ “คนต่างถิ่นที่ชื่อว่าเหยียนฟ่างผู้นั้น สรุปแล้วใช่กากเดนสกุลตู๋กูของราชวงศ์จูอิ๋งที่ยังหลงเหลืออยู่หรือไม่?”
สตรีสกุลสวี่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ราชวงศ์จูอิ๋งล่มสลายไปนานหลายปี สถานการณ์วุ่นวายเกินไป ราชวงศ์ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆแห่งนั้น ในอดีตยังขึ้นชื่อเรื่องเส้นสายบนภูเขาล่างภูเขาตัดสลับกันซับซ้อน ยอดฝีมือที่หลบเร้นซ่อนกาย สถานะของแต่ละคนคลุมเครือยากจะคาดเดา เจ้าคนที่ใช้นามแฝงว่าเหยียนฟ่างผู้นี้ทำอะไรลับๆ ล่อๆ เกินไป เบาะแสหลายอย่างราชวงศ์จู๋อิ๋งขาดๆ หายๆ กระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อ ไม่สามารถนำมาประกอบกันเป็นความจริงได้ เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังยากจะตัดสินว่าเขาใช่พวกกากเดนตู๋กูหรือไม่”
ไม่ใช่ว่าสตรีออกเรือนแล้วแก้ตัวอย่างกลิ้งกลอก ยกตัวอย่างเช่นขุนเขาสายน้ำของราชวงศ์ป๋ายซวงเดิม นักพรตล่างภูเขาที่มีนามว่าเฉาหรงผู้นั้น หลังจากที่มาปรากฏตัวบนสนามรบของนครมังกรเฒ่าแล้วก็ได้ร่ายวิชาอภินิหารลี้ลับมหัศจรรย์มากมายที่ทำให้ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปตกตะลึงกันอย่างหนัก ไม่นึกว่าจะมีเจินเหรินที่วิชาคาถายิ่งใหญ่เลิศล้ำถึงเพียงนี้ แม้ขอบเขตที่แน่ชัดจะยังคงยากคาดเดาอยู่เหมือนเดิม แต่ความลี้ลับของวิธีการขั้นตอน เวทคาถาที่สูงส่งก็สามารถมองเขาเป็นเซียนเหรินคนหนึ่งได้เลย
มรรคกถาของเขาถึงขั้นไม่เป็นรองให้กับเทียนจวินใหญ่คนใหม่ของแจกันสมบัติทวีปอย่างฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพเลย
เป็นเหตุให้นอกจากที่แจกันสมบัติทวีปจะตะลึงพรึงเพริดกันแล้ว ความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือเป็นเกียรติ แจกันสมบัติทวีปของข้าเป็นสถานที่พยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อนจริงเสียด้วย ขุนเขาสูงมิอาจปีนป่าย น้ำลึกจนมิอาจคาดการณ์
ดังนั้นต่อให้นครมังกรเฒ่าจะกลายเป็นซากปรักสนามรบไปแล้ว และยังตกอยู่ในมือของสัตว์เดรัจฉานแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างชั่วคราว ขวัญกำลังใจของผู้ฝึกตนบนภูเขาและกองทัพชายแดนใต้อาณัติม้าเหล็กใต้ภูเขาของแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่ลดลง กลับกันยังเพิ่มมากขึ้น
สงครามเช่นนี้ ต่อให้มีคนตายมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่รู้สึกอัดอั้นตันใจแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้สู้ สู้ได้อย่างเต็มที่!
ส่วนใบถงทวีปแห่งนั้น แม่งก็สมกับเป็นแผงลอยเละเทะที่แค่ทิ่มก็ฉีกขาดจริงๆ โชคดีที่ในอดีตมองเห็นแจกันสมบัติทวีปบ้านพวกเราเป็นสถานที่เล็กๆ รู้สึกว่าเพื่อนบ้านตระกูลใหญ่ทางทิศใต้นั้นร้ายกาจมากมาย เป็นเหตุให้รายงานขุนเขาสายน้ำส่วนใหญ่มักจะมีคำเล่าลือบอกต่อๆ กันไปว่า โอสถทองของใบถงทวีปสามารถสังหารก่อกำเนิดของแจกันสมบัติทวีปได้ แล้วยังมีผู้ฝึกลมปราณหลายคนเชื่อจริงๆ อีกทั้งยังเชื่ออย่างสุดใจด้วย ผลคือพอถึงเวลาเข้าจริง ภูเขาสายน้ำของบ้านตนต่างหากที่มีพื้นฐานหนาแน่นแข็งแรง มีความกล้าหาญองอาจ
ทว่าสำหรับนครลมเย็นในทุกวันนี้แล้ว ต้นกำเนิดเงินทองครึ่งหนึ่งอยู่ดีๆ ก็ถูกตัดขาดถูกขุดเอาไป อีกทั้งแม้แต่เบาะแสที่แม่นยำสักเส้นพวกเขาก็ยังหากันไม่เจอ แน่นอนว่าย่อมไม่มีอารมณ์ดีๆ ให้เห็น
“ต่อให้ภูเขาตะวันเที่ยงช่วยเหลือ ให้ผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่อาณาเขตขุนเขากลางไปสืบหาเบาะแส ก็ยังยากที่จะขุดหารากฐานของเหยียนฟ่างผู้นั้นออกมาได้”
สตรีน้ำตาคลอเจียนจะหยด หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดหัวตา
สวี่หุนโบกมือ “ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที”
เรื่องวงในที่เป็นความจริงบางอย่าง ยังคงปิดประตูแล้วให้คนบ้านเดียวกันปรึกษากันเองจะดีกว่า
บรรพบุรุษตระกูลเถาหัวเราะร่าเอ่ยว่า “จนถึงตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วยังไม่มีใครมาปรากฏตัวบนสนามรบเลย”
“อาจจะมี แต่ว่าไม่สามารถสร้างชื่อเสียงอะไรได้”
สวี่ปินเซียนยิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะมอบเรือมังกรที่เป็นเรือข้ามฟากลำหนึ่งให้กับทางกองทัพต้าหลี นี่ก็ถือว่าออกแรงแล้ว? คุณธรรมน้ำใจจอมปลอม ทำการค้ามานานจึงรู้จักซื้อใจคนแล้ว นับว่าเป็นวิธีการที่ดี อาศัยบารมีของซานจวินใหญ่เว่ยแห่งภูเขาพีอวิ๋น ยืมใช้ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว กอดขาใหญ่ๆ ของตระกูลเซียนในอุตรกุรุทวีปอย่างพวกสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ได้แน่น ตอนนี้ถึงกับกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในอาณาเขตหลีจูเก่า จำนวนของภูเขาใต้อาณัติล้ำหน้าเกินสำนักกระบี่หลงเฉวียนไปแล้ว”
วานรเฒ่าย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นสวมชุดสีขาว เรือนกายใหญ่โตกำยำ สองแขนกอดอก หัวเราะหยันเอ่ยว่า “คำกล่าวที่ว่าเมื่อถึงเวลาโชคดีมาเยือน คนไร้ความสามารถก็กลายเป็นคนมีชื่อเสียงได้ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
สวี่ปินเซียนอดไม่ไหวเอ่ยว่า “ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือมีรากฐานลึกล้ำจนน่ากลัวจริงๆ เพียงแต่เว่ยป้อวางท่าว่าถูกต้าหลีทอดทิ้ง ในอดีตตำแหน่งเทพของเขาเป็นแค่เทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุนเท่านั้น การลุกผงาดนี้ออกจะประหลาดเกินไป เตาเย็นๆ แบบนี้ใครจะมาผัดกับข้าวได้ ภูเขาลั่วพั่วช่างโชคดีนัก”
สตรีสกุลสวี่เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่มีข่าวคราวของเจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้นบ้างเลย”
วานรเฒ่าชุดขาวกระตุกมุมปาก “ลูกนังโสเภณีตรอกหนีผิง อายุไม่ถึงสามสิบก็สามารถสร้างคลื่นลมมรสุมใหญ่โตขนาดนี้ได้แล้ว ข้าล่ะอยากให้เขามาแก้แค้นนัก เมื่อก่อนข้าอยู่บนภูเขาตะวันเที่ยง เขาก็เลยไม่กล้ามา ทุกวันนี้ข้าออกมาจากภูเขาตะวันเที่ยงแล้วยังทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ คนที่ขี้ขลาดกลัวมีเรื่องเช่นนี้ไม่คู่ควรให้สวี่ฮูหยินเอ่ยชื่อเขาด้วยซ้ำ ระวังว่าจะสกปรกหูล่ะ”
คงเป็นเพราะสตรีสกุลสวี่รู้ตัวว่าตัวเองมีความผิด ดังนั้นการประชุมในวันนี้เสียงของนางจึงไม่ค่อยดังนัก พูดเสียงอ่อนอย่างขลาดๆ ว่า “พวกเราระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า เรื่องไม่คาดฝันบนภูเขามีมากเกินไป หากคนหนุ่มผู้นั้นไม่ได้เดินบนเส้นทางการฝึกตนก็ช่างเถิด ทุกวันนี้สามารถสร้างกิจการใหญ่โตได้ขนาดนี้ก็ไม่ควรดูถูกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบื้องหลังยังมีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ผูกสัมพันธ์ควันธูปกับภูเขาลูกอื่นไว้มากขนาดนั้น กลัวก็แต่ว่าหลายปีมานี้เจ้าหมอนี่จะแอบวางแผนอย่างลับๆ อยู่ตลอด ไม่แน่ว่าเรื่องที่แคว้นหูหายไปอาจเป็นการชิงลงมือก่อนของภูเขาลั่วพั่วก็เป็นได้ บวกกับหลิวเสี้ยนหยางที่โชคดีอย่างถึงที่สุดผู้นั้น เป็นเหตุให้ภูเขาลั่วพั่วได้ตีสนิทกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนด้วย ราวกับเป็นการผูกดองเพิ่มความสนิทสนมกันไปอีกชั้น วันหน้าพวกเราจัดการภูเขาลั่วพั่วจะต้องยุ่งยากอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องคอยระวังท่าทีของราชสำนักต้าหลี เพราะถึงอย่างไรต่อให้ไม่พูดถึงภูเขาลั่วพั่ว พูดถึงแค่เว่ยซานจวินและอริยะหร่วนสองคนก็ล้วนเป็นบุคคลที่สำคัญมากในใจของฮ่องเต้ต้าหลีพวกเรา”
วานรเฒ่าหัวเราะเสียงดังลั่น สองมือวางทับซ้อนกันขยับเบาๆ “หากต้องมามัวคิดเรื่องหยุมหยิมที่วกไปวนมาพวกนี้ ไม่สู้ทำอะไรให้รวดเร็วฉับไวหน่อย ภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นแบ่งคุณความชอบทางการสู้รบให้ข้าสักส่วนหนึ่ง ข้าจะใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ภูเขาลั่วพั่วครึ่งหนึ่งปริแตก ดูสิว่าเจ้าเด็กนั่นจะยังหักใจทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองได้อีกหรือไม่”
เซียนกระบี่ท่าทางมีเสน่ห์ท่านหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นขอบเขตหยกดิบหรือขอบเขตเซียนเหริน มีใบหน้าเป็นวัยกลางคน แต่รูปโฉมหล่อเหลาคมคายอย่างถึงที่สุด อยู่ดีๆ คนผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลก บอกว่าตัวเองมาจากอุตรกุรุทวีป เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระเท่านั้น เคยออกกระบี่อย่างเฉียบขาดดุดันบนสนามรบของนครมังกรเฒ่า เวทกระบี่สูงส่งอย่างน่าชื่นชม สร้างคุณูปการทางการสู้รบอย่างยิ่งใหญ่ สังหารปีศาจได้อย่างคล่องแคล่วราวกับหั่นผักผ่าแตง อีกทั้งยังชอบเล่นงานผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างโดยเฉพาะ
ชุยเหวยแห่งหอบูชากระบี่ หลังจากได้ไปเยือนหอบินทะยานก็ฝ่าทะลุคอขวดโอสถทอง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเรียบร้อยแล้ว ทุกวันนี้ป่าวประกาศแก่คนนอกว่าเป็นเค่อชิงของภูเขาทายาทขุนเขาพีอวิ๋นชั่วคราว ได้เดินทางไปยังเลียบมหาสมุทรที่อยู่ใต้การปกครองดูแลของขุนเขาตะวันออก รับผิดชอบสนามรบแห่งหนึ่ง ออกกระบี่รวดเร็วมาก สังหารเผ่าปีศาจไปมากมาย สกุลเจียงอวิ๋นหลินหวังจะให้เขามาเป็นผู้ถวายงานของตระกูล แต่กลับถูกชุยเหวยที่ใช้นามแฝงปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม
จ้งชิวผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาเดินทางไกลใช้สถานะผู้ฝึกยุทธของอุตรกุรุทวีปไปอยู่ในอาณาเขตขุนเขาตะวันตกของแจกันสมบัติทวีปมานานหลายปี และได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของบรรพจารย์ศาลลมหิมะไปแล้ว
และยังมีบนสนามรบของนครมังกรเฒ่า เล่าลือกันว่ามีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหญิงแซ่สุยคนหนึ่ง ออกกระบี่สังหารศัตรูอย่างเฉียบขาด ลงมือกับคู่ต่อสู้อย่างอำมหิตโหดเหี้ยม ประเด็นสำคัญคือสตรีผู้นี้ยังงดงามล่มบ้านล่มเมือง ว่ากันว่าแม้แต่เจ้าสำนักหญิงสองคนของอุตรกุรุทวีปอย่างลี่ไฉ่และจู๋เฉวียนก็ยังมองนางต่างไปจากคนอื่น
และบุคลลที่หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระก็มาจากอุตรกุรุทวีปเหล่านี้ มองดูแล้วเหมือนไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับภูเขาลั่วพั่วเลยจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งนามเจิ้งเฉียนที่เพิ่งมาถึงภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ พอมาถึงก็ไปหาผู้อาวุโสหลี่เอ้อที่เคยป้อนหมัดให้กับนาง
อันที่จริงนางอยู่ใกล้กับบุคคลทั้งหลายที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของนครลมเย็นและภูเขาตะวันเที่ยงมากแล้ว
จากนั้นนอกจวนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ มานั่งยองแนบหูติดกำแพง ใบหน้าก็แนบกำแพงไปด้วย เขาเอ่ยชื่นชมเบาๆ ว่า “หากไม่พูดถึงคุณธรรมและหมัดเท้า พูดถึงแค่เรื่องความกล้า หยวนโส่วบัลลังก์ราชาหลายคนรวมกันก็ยังไม่ใจกล้าเท่าเจ้าเลย ควรจะรับเจ้าเป็นบรรพบุรุษย้ายขุนเขาอย่างไม่ละอายแก่ใจ! ก็จริงนะ ใต้หล้านี้จะมีผู้แข็งแกร่งสักกี่คนที่มีค่าพอให้อาจารย์และอาจารย์แม่ของข้าร่วมมือกันรับมือศัตรูอย่างสุดชีวิตบ้าง”
ข้างกายชุยตงซานยังมีเด็กสาวฉุนชิงที่สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวนั่งยองอยู่ด้วย นางเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง พอนึกถึงคำวิจารณ์ที่อาจารย์ของตนมีต่ออิ่นกวานหนุ่มและหนิงเหยาแห่งนครบินทะยานก็พยักหน้าเอ่ยว่า “นับถือๆ ร้ายกาจๆ”
——