บทที่ 737.1 ถามลมวสันต์ของข้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในที่สุดการประชุมปรึกษาหารือระหว่างกลุ่มผู้กล้าก็สิ้นสุดลง ชุยตงซานเอนหลังพิงกำแพง นั่งขัดสมาธิ ใช้เสียงในใจพูดคุยกับฉุนชิง “ทำไมฮูหยินภูเขาชิงเสินถึงไม่รอไปอีกสักหลายสิบปี จะดีจะชั่วก็รอให้เจ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนและขอบเขตยอดเขาเสียก่อนค่อยให้เจ้าออกมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่? ทุกวันนี้วิถีทางโลกวุ่นวายถึงเพียงนี้ คนมีพรสวรรค์ไร้ค่ามากที่สุด นึกจะตายก็ตายกันไปซะอย่างนั้น ฮูหยินช่างมอบปัญหายากข้อใหญ่ให้ข้าเสียจริง บอกไว้ก่อนเลยว่าเจ้าต้องมีชีวิตกลับไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางให้ข้าแต่โดยดี อย่าได้ขอบเขตถดถอยง่ายๆ ยิ่งอย่าได้ตายง่ายๆ เด็ดขาด”

ไม่ว่าจะทางส่วนรวมหรือทางส่วนตัว ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือด้วยผล ชุยตงซานล้วนไม่ยินดีให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของฮูหยินภูเขาชิงเสินต้องมากายดับมรรคาสลายอยู่ในแจกันสมบัติทวีป

สำหรับฮูหยินภูเขาชิงเสินผู้นั้น ชุยตงซานรู้สึกเคารพนับถือนางอย่างมาก และเชื่อใจนางด้วย ปีนั้นเจ้าตะพาบเฒ่ากลายเป็นหนูวิ่งข้ามถนนของใต้หล้าไพศาล ตระกูลอวี้แผ่นดินกลาง สกุลหลิวธวัลทวีป ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ล้วนเคยให้ความช่วยเหลือเจ้าตะพาบเฒ่า อีกทั้งอวี้พ่านสุ่ยกับหลิวจวี้เป่ายังอดมีใจห็นแก่ตัวซึ่งเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ไม่ได้ หวังว่าซิ่วหู่จะเป็นทั้งสหาย แล้วก็จะเป็นทั้งคนที่ช่วยเหลือพวกเขา มีเพียงฮูหยินภูเขาชิงเสินเท่านั้นที่ไม่เคยต้องการสิ่งใด เพียงแค่เพราะเห็นว่าสหายตกยาก และภูเขาบ้านตนก็มีสุรามากพอ แค่นี้เท่านั้น

ฉุนชิงนั่งยองอยู่ด้านข้าง “อาจารย์เจ้าขุนเขาบอกว่าเรื่องของการต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางช่วยป้อนหมัดอย่างโหดเหี้ยมแค่ไหน ลงมือหนักหนาเพียงใด ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางมีคนตาย ดังนั้นไม่สู้จับคู่เข่นฆ่ากับขอบเขตยอดเขาสักคนยังได้ประโยชน์มากกว่า วางใจเถอะ ก่อนที่ข้าจะออกมาจากบ้านเกิด อาจารย์ก็เคยให้ข้าเอ่ยคำสัญญากับนางแล้ว หากไม่มีชีวิตรอดกลับไปเพื่อสืบทอดศาลเทพภูเขาชิงเสินในวันหน้า ไม่อย่างนั้นก็ต้องตายอยู่ข้างนอก อาจารย์จะคิดเสียว่าไม่เคยมีลูกศิษย์อย่างข้า”

ชุยตงซานพยักหน้า “เหตุผลเป็นเช่นนี้จริง หากเจ้าไปเจอกับอาจารย์ของข้า ก็เป็นแค่เรื่องสองกระบี่บวกกับอีกหนึ่งหมัดของอาจารย์ข้าเท่านั้น อีกอย่างอาจารย์ข้าตอนอยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยเจอคนบนเส้นทางเดียวกันอยู่หลายคน ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่โซ่วเฉินเผ่าปีศาจที่มีหวังจะได้เลื่อนไปอยู่บนบัลลังก์ และยังมีเฝ่ยหรานที่เป็นผู้นำร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ ผู้ฝึกกระบี่สองคนนี้ต่างก็เชี่ยวชาญการค่อยๆ สาวไหม ใช้บาดแผลแลกกับความตาย คอยเล่นงานผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยโดยเฉพาะ”

ฉุนชิงถาม “ข้ากับอาจารย์ของเจ้าห่างชั้นกันขนาดนี้เชียวหรือ?”

อิ่นกวานเฉินสืออี อันดับสุดท้ายของสิบคนรุ่นเยาว์ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางยอมรับโดยทั่วกัน ระหว่างสิบคนรุ่นเยาว์กับสำรองสิบคนมีร่องลึกที่ยากจะก้าวข้ามไปได้เส้นหนึ่งกั้นขวางอยู่

ฉุนชิงเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลมาตั้งนานแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ฝึกลมปราณคอขวดก่อกำเนิดด้วย เชี่ยวชาญคาถาห้าธาตุ ยันต์วิชาอสนี การใช้ดาบกระบี่ การเซ่นบวงสรวง การทำนาย สยบผีบงการเทพ อีกทั้งนางยังเป็นอาจารย์ค่ายกลที่พรสวรรค์สูงมากคนหนึ่ง ดังนั้นจึงเชี่ยวชาญการจับคู่ต่อสู้ การไล่ตามร่องรอย อำพรางร่องรอย หลบหนี ไม่มีอะไรที่นางไม่ถนัด ฮูหยินภูเขาชิงเสินมองเด็กสาวฉุนชิงเป็นดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง ไม่เพียงแต่อบรมสั่งสอนนางด้วยตัวเอง เนื่องจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มีสหายบนยอดเขาอยู่ทั่วหล้า ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่สิบปี ปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางที่มาช่วยชี้แนะการเรียนวรยุทธให้กับฉุนชิงลูกศิษย์ของนางก็มีมากถึงสี่ท่าน

จุดที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า ทุกวันนี้ฉุนชิงเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ในอดีตตอนที่เลื่อนมาอยู่ลำดับของตัวสำรองรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า นางเพิ่งจะอายุสิบสี่ปี เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนและตัวสำรองสิบคน

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อันที่จริงเจ้ากับอาจารย์ของข้าไม่ได้ต่างกันที่ขอบเขต หากจะพูดให้ถูกต้อง ถ้าขอบเขตเป็นแค่การคิดคำนวณบนหน้ากระดาษ ปีนั้นตอนที่ติดอันดับ เจ้าก็น่าจะติดอันดับสูงกว่าหน่อย เพียงแต่ว่าการเข่นฆ่าบนภูเขามักจะตัดสินสูงต่ำได้ทันที เป็นตายอยู่ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม่นางฉุนชิงร่ำเรียนมาหลากหลาย อีกทั้งยังเชี่ยวชาญทุกเรื่อง แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี การแบ่งเป็นตายกับคนอื่นสามารถขจัดเรื่องไม่คาดฝันไปได้มากมาย น่าเสียดายที่ได้มาเจอกับอาจารย์ของข้าที่ชอบใคร่ครวญสองคำว่าหมื่นหนึ่งมากที่สุด แม่นางฉุนชิงก็ยังต้องตายอยู่ดี ข้าพูดตรงไปหน่อย เจ้าอย่าโกรธกันนะ”

ฉุนชิงส่ายหน้า “ไม่โกรธ เพียงแต่รู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย”

ชุยตงซานยิ้มหน้าทะเล้น “ข้าชอบนิสัยตรงไปตรงมาแบบนี้ของแม่นางฉุนชิงนี่แหละ ไม่สู้พวกเรามาสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กันดีไหม? พวกเราสองคนจะตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองที่นี่กันเลยก็ได้ ข้าเตรียมของมาไว้เรียบร้อยแล้ว ลงจากภูเขามาท่องยุทธภพ จะขาดอะไรก็ขาดได้ มีเพียงพิธีการนี้ที่ขาดไม่ได้”

ฉุนชิงยังคงส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับว่าลำดับศักดิ์ต่ำกว่าอิ่นกวานอยู่รุ่นหนึ่งหรอกหรือ ไม่คุ้มค่า”

ชุยตงซานตบอกดังป้าบ “อย่างนั้นก็ง่ายเลย พวกเรารับกันเป็นพี่น้อง เจ้าเป็นพี่สาว ข้าเป็นน้องชาย”

ฉุนชิงอดไม่ไหวหันหน้ามามอง ‘เด็กหนุ่ม’ ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจผู้นี้ นางมีสีหน้ากังขาไม่เข้าใจ เป็นเขาโง่ หรือเขาคิดว่าตนโง่กันแน่นะ ทว่าคนโง่คนหนึ่ง เหตุใดถึงได้มีขอบเขตเซียนเหรินได้ล่ะ? หากไม่เป็นเพราะก่อนจะจากมา เจียงไท่กงบรรพบุรุษสำนักการทหารใช้เสียงในใจเตือนนาง บอกว่าคนผู้นี้คือผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินจริงแท้แน่นอน ฉุนชิงก็เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เซียนดินคนหนึ่งแล้ว แต่ว่าระหว่างที่เดินทางจากภูเขาบรรพบุรุษขุนเขาใต้มายังภูเขาไฉ่จือแห่งนี้ ชุยตงซานปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ทั้งยังด่าการกระทำเหลวไหลของซิ่วหู่เมื่อครั้งอยู่ในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ในอดีตไปคำรบหนึ่ง ถึงอย่างไรก็อดทำให้แม่นางน้อยรู้สึกสนิทสนมด้วยไม่ได้ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดชุยตงซานถึงเอาแต่ย้ำว่าช่วงเวลาอันเป็นยอดเขาในชีวิตของเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานผู้นั้นมีแค่ช่วงเป็นเด็กหนุ่มเท่านั้น ฉุนชิงคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเอาเสียเลย

ฉุนชิงมองชุยตงซานอยู่พักหนึ่ง แต่เด็กหนุ่มเพียงใช้สายตาที่ใสกระจ่างมองสบตานาง ฉุนชิงจึงได้แต่ถอนสายตากลับมา เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้ตัดสินแพ้ชนะยามประลองเวทกระบี่และวิชาหมัดกับอาจารย์ของเจ้า”

ชุยตงซานพยักหน้ารัวเป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ประลองฝีมือกันก็ดีน่ะสิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้านั้นขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนโยน จิตใจดีงาม นอบน้อม ประหยัด ถ่อมตน เป็นวิญญูชนผู้ถ่อมตนที่เข้มงวดกับตัวเอง เป็นคุณชายผู้สง่างาม โดยเฉพาะยามประลองวิชาหมัดกับสตรีที่แต่ไหนแต่ไรมาก็รักษากฎมากที่สุด ทุกครั้งจะหยุดแค่พอสมควรเท่านั้น แต่อาจารย์ของข้ายุ่งมากเลยล่ะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับบ้านเกิด ต่อให้กลับบ้านแล้วก็ไม่มีทางลงมือง่ายๆ ก็เขาชอบใช้เหตุผลเป็นที่สุดนี่นะ ส่วนใหญ่มักจะพูดคุยด้วยเหตุผลมากกว่าลงไม้ลงมือ คนปกติทั่วไปอย่าได้หวังว่าจะประลองฝีมือกับอาจารย์ของข้าเด็ดขาดเชียว แต่ข้ากับแม่นางฉุนชิงมีความสัมพันธ์กันเช่นไร ดังนั้นถามกระบี่ถามหมัดล้วนไม่มีปัญหา ในฐานะหนึ่งใน…ลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่อาจารย์ให้ความสำคัญที่สุดปลาบปลื้มชื่นชมมากที่สุด ก็ยังพอจะช่วยเจ้าพูดได้สักสองสามประโยค”

ฉุนชิงกุมหมัดเอ่ยขอบคุณ พอเก็บหมัดไปแล้วก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “หยุดแต่พอสมควร? ไม่จำเป็นกระมัง อย่างอื่นไม่กล้าพูดมาก แต่ข้ากลับค่อนข้างจะทนรับการถูกซ้อมได้ดี เจ้าสามารถบอกให้อาจารย์ของเจ้าลงมือได้เต็มแรงเลย แค่ไม่ตายก็พอ”

ชุยตงซานมีสีหน้าปั้นยาก ยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้า

ชุยตงซานยังไม่ยอมถอดใจ เอ่ยต่อไปอีกว่า “วันหน้าข้าจะพาเจ้าไปเยือนภูเขาลั่วพั่วรอบหนึ่ง หาตำแหน่งผู้ถวายงานที่ได้รับการแขวนชื่อมาเป็น จะไม่ยิ่งดีงามหรอกหรือ อีกอย่างภูเขาพีอวิ๋นที่เป็นเพื่อนบ้านข้า อันที่จริงก็มีความเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อย่างมาก ซานจวินเว่ยป้อมีป่าไผ่อยู่ผืนหนึ่งที่บอกกับคนภายนอกว่าเป็นถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ครึ่งหนึ่ง แล้วยังมีคำเรียกขานที่งดงามว่าภูเขาชิงเสินเล็กอะไรนั่นอีก ข้าโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่เป็นผล หวังว่าเว่ยซานจวินจะสงบเสงี่ยมสักหน่อย เว่ยซานจวินกลับเอาแต่พูดว่าบรรยากาศของป่าไผ่ที่บ้านตัวเองงดงามปานนั้น จะเรียกว่าเป็นถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ครึ่งแห่งก็สมชื่อดีแล้วไม่ใช่หรือ”

ฉุนชิงกลับไม่ค่อยถือสาคำเรียกถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ครึ่งแห่งหรือภูเขาชิงเสินเล็กใหญ่อะไรนั่น นางเพียงแค่ถามว่า “ก็คือเว่ยซานจวินคนที่ชอบจัดงานเลี้ยงท่องราตรีคนนั้นน่ะหรือ?”

ชุยตงซานช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ทันที “เหลวไหล ชอบจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอะไรกัน เจ้าห้ามใส่ร้ายเว่ยซานจวินบ้านข้าเด็ดขาด จัดงานเลี้ยงท่องราตรีใช่เรื่องที่ชอบหรือไม่ชอบได้หรือ มีครั้งไหนบ้างที่ไม่ใช่พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำและเซียนซือทำเนียบวงศ์ในตระกูลอาณาเขตขุนเขาเหนือทั้งหลายที่ถือโอกาสได้มาร่วมงานอวยพรหวังมาตีสนิทภูเขาพีอวิ๋น เว่ยซานจวินจะยังทำอย่างไรได้อีก ยากที่จะปฏิเสธน้ำใจอันกระตือรือร้นของผู้อื่นได้ หรือว่าจะให้เอาแต่รักษาชื่อเสียงอันดีงามของตน แล้วปล่อยให้จิตใจของผู้คนมากมายต้องเยียบเย็นเล่า?”

ชุยตงซานโบกสะบัดชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ พูดอย่างฮึกเหิม “เว่ยซานจวินที่ชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็น รับเอาของขวัญจากงานเลี้ยงท่องราตรีมาเพียงน้อยนิด ย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมที่คนทั่วไปกล่าวอ้างกันลอยๆ แน่นอน!”

ฉุนชิงถามเสียงเบา “เจ้ามีความแค้นกับเว่ยซานจวินหรือ?”

ชุยตงซานเบี่ยงตัวหันข้าง ผงะร่างไปด้านหลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความแตกตื่น “อะไรกัน แม่นางฉุนชิงเข้าใจข้าผิดไปแล้วหรือเปล่า”

ฉุนชิงเอ่ย “ในที่สุดข้าก็มองออกแล้ว เจ้าคนนี้ เชื่อถือไม่ได้”

ชุยตงซานทอดถอนใจหนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็พลันเอาหน้าแนบผนังอีกรอบ ฉุนชิงถามอย่างใคร่รู้ “บรรพบุรุษย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยงที่กลืนกินขุนเขาสายน้ำผู้นั้นไม่ได้แยกย้ายกับนครลมเย็นไปแล้วหรอกหรือ เจ้าจะยังแอบฟังอะไรอีก?”

ชุยตงซานพึมพำ “การเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องก่อนหน้านี้เป็นแค่การหลอกต้มกันเอง เวลานี้ต่างหากถึงจะเป็นคนบ้านเดียวกันปิดประตูพูดคุยความในใจ ล้วนน่าสนใจทั้งสองอย่าง พวกเขาก็ไม่ได้พูดว่าไม่อนุญาตให้แอบฟังเสียหน่อย ไม่ฟังก็เสียเปล่าน่ะสิ”

ฉุนชิงเอ่ย “ไม่มีคุณธรรม”

ชุยตงซานกล่าวอย่างน้อยใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าลองไปถามเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานดูสิ พี่ใหญ่เกาของข้าคนนั้น หากข้าเป็นคนไม่มีคุณธรรม จะช่วยเขาตามหาน้องชายแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีจนเจอได้หรือ?”

ฉุนชิงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่กลับเอ่ยว่า “เหมือนเดิม เจ้าให้ข้ายืมวิชาอภินิหารลอบมองหน่อย มันน่าสนใจมากจริงๆ”

ชุยตงซานคลี่ยิ้มเจิดจ้า ประกบสองนิ้วคว้าจับวัตถุหนึ่งมาจากความว่างเปล่าแล้วส่งให้ฉุนชิง ปล่อยออกจากมือเบาๆ นางแบฝ่ามือออก อากาศว่างเปล่าเหนือฝ่ามือไปชุ่นกว่ามีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก จากนั้นแค่ปล่อยดวงจิตเมล็ดงาเข้าไปข้างใน ก็จะได้ยินกับหูได้เห็นกับตา เหมือนอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง อีกทั้งเป็นการแบ่งสมาธิไปชมพร้อมกับชุยตงซานด้วย

เทพเซียนแต่ละฝ่ายที่มาพักอยู่ในจวนแห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภูเขาที่เป็นตัวสำรองอักษรจงของแจกันสมบัติทวีปอย่างภูเขาตะวันเที่ยง นครลมเย็น ไม่อย่างนั้นก็เป็นพรรคตระกูลเซียนอันดับสองที่อยู่ห่างจากอักษรจงอีกแค่เสี้ยวเดียว แต่ตอนนี้จวนลึกกว้างใหญ่หลายชั้นแห่งนี้ คนที่ขอบเขตสูงที่สุดมีแค่สวี่หุนแห่งนครลมเย็นที่เป็นขอบเขตหยกดิบซึ่งเพิ่งออกจากเตาสดๆ ร้อนๆ เท่านั้น อีกทั้งสวี่หุนก็มีแค่ชื่อเสียงเรื่องพลังพิฆาตมหาศาลที่เลื่องลือไปทั้งทวีปเท่านั้น วิชาอภินิหารและคาถานอกรีตอย่างอื่น อันที่จริงล้วนไม่เชี่ยวชาญ แน่นอนว่าย่อมมิอาจสัมผัสได้ถึงการลอบมองอย่างลับๆ ของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้ชุยตงซานค่อนข้างชอบหนึ่งในสถานะที่เปิดเผยต่อภายนอกอย่างสายลับระดับสองของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหรือของแทนตัวก็ล้วนมีครบถ้วน นอกจากนี้อันที่จริงชุยตงซานยังมีตำแหน่งยาวอีกเป็นกองพะเนิน ยกตัวอย่างเช่นผู้ถวายงานควบอิ๋งชิงหลางของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า เค่อชิงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ทูตควันธูปของภูเขาทายาทขุนเขาเหนือ ต้องการอะไรก็มีอย่างนั้น ไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่ขาดแคลน ต่อให้ชุยตงซานต้องควักทำเนียบคนเฝ้าศาลภูเขาไฉ่จือออกมาภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ชุยตงซานก็ยังคงเอาออกมาได้ หวังเจวี้ยนเทพภูเขามีแต่จะประคองส่งให้ด้วยสองมือ

ภูเขาทายาทของขุนเขาทักษิณใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาลูกนี้มีชื่อว่าภูเขาไฉ่จือ เทพภูเขาหวังเจวี้ยนเคยเป็นซานจวินใหญ่ของขุนเขาใต้ในหนึ่งแคว้น หลังจากกลายเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ภูเขาไฉ่จือก็ยอมสวามิภักดิ์เป็นภูเขาทายาทของขุนเขาใต้ มองดูเหมือนถูกลดระดับขั้น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการเลื่อนขั้นครั้งใหญ่ในวงการขุนนางบนภูเขา ในอาณาเขตขุนเขาใต้ของหนึ่งแคว้น เรียกได้ว่าอยู่ล่างภูเขาลูกเดียวอยู่เหนือภูเขานับหมื่น ภูเขาไฉ่จือมีผลผลิตที่มีชื่อเสียงอย่างดินหมื่นปีซึ่งมีชื่อว่าโยวหร่าง คือวัตถุชั้นเยี่ยมที่วิญญาณวีรบุรุษวัตถุหยินใช้ในการบุกเบิกเปิดสถานที่ประกอบพิธีกรรมเป็นของตัวเอง แล้วก็เป็นสมบัติล้ำค่าบนภูเขาที่พวกผู้ฝึกตนซึ่งเลี้ยงผีปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน

ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรใบหน้าเป็นวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินฝีเท้าเร่งร้อนผ่านเส้นทางตรงมุมกำแพงมาพอดี พอเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ชะลอฝีเท้าลง หันหน้ามามองอยู่หลายครั้ง ยิ่งมองยิ่งขมวดคิ้วมุ่น ไม่สนใจข้อต้องห้ามบนภูเขาเช่นนี้ ทั้งยังไม่มีป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางกรมอาญาของต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายให้ แล้วก็ไม่มีหยกโปรยพิรุณที่นครมังกรเฒ่าเป็นผู้สร้างแล้วให้จวนอ๋องเจ้าเมืองเป็นผู้แจกจ่าย คงไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลูกเล็กลูกใดลงจากภูเขามาหาประสบการณ์หรอกนะ? ทว่าทุกวันนี้บนภูเขาไฉ่จือมีกฎเกณฑ์เข้มงวด แล้วนับประสาอะไรกับที่จวนลู่หมิงแห่งนี้ยังเป็นสถานที่รวมตัวกันของเซียนซือบนยอดเขาในหนึ่งแคว้น จะปล่อยให้พวกเขามาก่อเรื่องได้อย่างไร เวลาปกติผู้อาวุโสในสำนักพวกเขาสองคนดูแลสั่งสอนกันอย่างไร ถึงได้ปล่อยให้เด็กสองคนมาทำตัวเกเรอยู่ที่นี่ได้?

ผู้ฝึกตนที่มีชาติกำเนิดมาจากหอถิงอวิ๋นจวนต้าเซียนผู้นี้หยุดเดิน พูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาจากภูเขาลูกไหน ไม่รู้กฎระเบียบบ้างเลยหรือ? พวกเจ้าจะบอกชื่อแซ่ตัวเองมา แล้วให้ข้าเอาเรื่องนี้ไปรายงานผู้ดูแลจวนลู่หมิง! หรือจะให้ข้าลากตัวพวกเจ้าไปพบผู้ดูแลใหญ่ฉู่?!”

ชุยตงซานแอบฟังพลางหันมาถลึงตาใส่เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนนี้ด้วย

ฉุนชิงชี้นิ้วไปที่ชุยตงซาน บอกเป็นนัยว่าเด็กหนุ่มชุดขาวข้างกายเป็นตัวการ จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน แล้วเปลี่ยนฝั่งไปนั่งยองอีกด้านหนึ่งของชุยตงซาน

ชุยตงซานไม่ขยับก้น เพียงขยับเท้าไปครึ่งก้าว เปลี่ยนเอาหน้าแนบกำแพง หันก้นให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าอายุร้อยปีที่มาจากหอถิงอวิ๋น ผู้ฝึกตนของหอถิงอวิ๋น ในยุคของบรรพจารย์สามรุ่นแรก ล้วนเป็นพวกเซียนซือที่กระดูกแข็งกันอย่างมาก ขอบเขตไม่ถือว่าสูง แต่กลับกล้าสู้กล้าด่ากล้าปล่อยให้ขอบเขตถดถอย มีนิสัยไม่ต่างจากพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน เพียงแต่ว่าวิถีทางโลกแย่ลงทุกวัน คนรุ่นถัดๆ มาสู้คนรุ่นก่อนๆ ไม่ได้ทุกที ทุกวันนี้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลแต่ละคนนับจากเจ้าหอไปจนถึงผู้ถวายงาน แล้วก็ไปจนถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ ล้วนขึ้นชื่อว่าเป็นสุนัขที่ชอบจับหนู (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นไปทั่ว) ในอดีตไปพึ่งพาเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งที่เวทกระบี่เลิศล้ำ กระบี่บินมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มคิดมากอดขาใหญ่ของภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้ว อาศัยการทุ่มเงินอาศัยการขอร้องคนอื่น อาศัยความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมมาจากรุ่นบรรพบุรุษถึงได้ทำหน้าหนามาเข้าพักอาศัยอยู่ในจวนลู่หมิงแห่งนี้ได้

และผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ปีนั้นหนีออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงก็ตายด้วยน้ำมือของหร่วนซิ่วและชุยตงซานพอดี

ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรจากหอถิงอวิ๋นเดือดดาลอย่างมาก แต่กลับไม่โวยวายว่าจะตีจะฆ่าแกง เขาคิดว่าจะไปฟ้องผู้ดูแลใหญ่ฉู่ที่รับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลของศาลเทพภูเขาไฉ่จือ ฉุนชิงชำเลืองตามองอีกฝ่าย นึกไม่ถึงว่าเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงกับไม่มีเบาะแสสักเสี้ยวให้ตามหา ไม่มีลมปราณกระเพื่อมแม้แต่น้อย นี่ประหลาดอย่างมากแล้ว ฉุนชิงเห็นเพียงว่าชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ คาดว่าคงจะถูกเก็บเข้าไปในจักรวาลชายแขนเสื้อที่มีเฉพาะในผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแล้วกระมัง นางจึงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ทำได้อย่างไร ขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปร่ายวิชาอภินิหาร ข้าต้องสัมผัสได้บ้างสิ”

ชุยตงซานเพียงแค่ยกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะขึ้นเบาๆ ฉุนชิงเพ่งสายตามองก็สังเกตเห็นตัวอักษรเล็กๆ แบบบรรจงขนาดเท่าหัวแมลงวันสองบรรทัดยาวอยู่บนชุดคลุมอาคม มองดูคล้ายพืชน้ำสองต้นที่ส่ายไหวไปตามกระแสน้ำ “วันคืนดั่งนกในกรง ล่องลอยดุจจอกแหนบนผืนน้ำ”

ฉุนชิงเองก็เคยศึกษาเรื่องวิถียันต์ นางจึงถามด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวา “เมื่อครู่เจ้ากักตัวคนผู้นี้ด้วยการใช้ค่ายกลยันต์หรือ?”

ชุยตงซานหัวเราะร่า “เปล่าสักหน่อย จับขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง ช่วยให้เขาขัดเกลาจิตแห่งมรรคา ไหนเลยจะต้องระดมกำลังใหญ่โตเพียงนั้น ก็แค่อวดชุดคลุมอาคมของข้าให้แม่นางฉุนชิงดูเท่านั้น ไม่แย่ไปกว่าชุดไผ่เขียวบนร่างของเจ้าเลยใช่ไหมล่ะ?”

ฉุนชิงไม่เอ่ยอะไรอีก

หลังจากที่คนสามคนของภูเขาตะวันเที่ยงจากไป สวี่หุนก็นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในห้องหนังสือมาโดยตลอด ทั้งไม่ซักไซ้เอาความผิดกับสตรีออกเรือนแล้ว และก็ไม่เปิดปากเอ่ยคำใด

เสื้อเกราะโหวจื่อที่อยู่บนร่างตัวนี้ อันที่จริงแตกต่างไปจากเสื้อเกราะวิเศษสำนักการทหารที่คล้ายคลึงกับเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่ผู้คนส่วนใหญ่คิดกันไว้อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่สมบัติหนักที่ใช้ในการป้องกัน แต่เป็นอาวุธโจมตีที่ลี้ลับมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง นี่ทำให้ก่อนหน้าที่สวี่หุนจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็ยิ่งยึดครองตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่งล่างห้าขอบเขตบนไว้ได้อย่างแน่นหนา

สวี่ปินเซียนทายาทของเขานั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ หยิบเอาบันทึกขุนเขาแห่งสายน้ำเล่มหนึ่งที่แพร่หลายอย่างมากบนภูเขาออกมา จะอ่านกี่รอบก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

สตรีสกุลสวี่ลุกขึ้นยืนช้าๆ ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

สวี่หุนลืมตาขึ้น ไม่เห็นว่าเขาลงมืออย่างไร ในห้องก็มีเสียงตบฉาดดังกังวาน ใบหน้าซีกหนึ่งของสตรีบวมฉึ่งทันที

สวี่ปินเซียนเงยหน้าขึ้น มองท่านพ่อทีหนึ่งท่านแม่ทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อ

ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ไม่เคยมีบันทึกถึงการลงมือเข่นฆ่าผู้นี้ ตรงเอวด้านเดียวกันห้อยทั้งกระบี่สั้นและดาบอาคม แล้วยังใช้เชือกถักสีม่วงและสีเขียวร้อยตรงปลายดาบและกระบี่สองเล่มเอาไว้

สตรีสกุลสวี่ยกฝ่ามือกุมแก้มข้างที่โดนตบ ไม่ได้มีสีหน้าขุ่นเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนสามีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สกัดกั้นฟ้าดินไว้ก่อนเถอะ หลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องที่จะพูดคุยกันต่อจากนี้ถูกบรรพบุรุษตระกูลเถาของภูเขาตะวันเที่ยงแอบฟัง ภูเขาตะวันเที่ยงชอบทำอะไรลับๆ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยกริ่งเกรงใคร ไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่กล้าทำ”

——