ที่ถูกกักขังก่อนหน้านี้ รวมถึงการยืมพลังของกระบวนค่ายกลพันผีดำเนินการป้องกัน หลินสวินก็จงใจทั้งสิ้น

เขารู้ดีว่าจู๋อิ้งคงทุ่มเทความพยายามวางกระบวนค่ายกลนี้ ย่อมมีความมั่นใจในมรรครอยสลักวิญญาณอย่างแน่นอน

ถึงขั้นไม่ตัดความคิดที่ว่าเจ้าหมอนี่คิดจะประลองมรรครอยสลักวิญญาณกับตน

เพราะฉะนั้นหลินสวินจึงโยนโจทย์ยากข้อหนึ่งออกไป เป็นเหมือนเหยื่อชิ้นหนึ่ง หากอีกฝ่ายไม่สนใจ กระบวนค่ายกลพันผีนี่ก็จะถูกวิญญาณเซียนเหินเหล่านั้นทลายออก

ถึงตอนนั้นตนก็สามารถหลุดพ้นออกไปได้อย่างง่ายดาย

จู๋อิ้งคงย่อมสามารถมองจุดนี้ขาด เขาจะทนเห็นความพยายามทั้งหมดของตนสูญเปล่าไปง่ายๆ เช่นนี้ได้หรือ

ไม่แน่นอน!

และขอเพียงเขาตัดสินใจลงมือมาแก้โจทย์ยากนี้ ก็เท่ากับ ‘ตกหลุมพราง’ แล้ว

ถึงตอนนั้น…

ก็ถึงเวลาที่หลินสวินจะใช้มรรคของเขาสะท้อนใส่เจ้าตัว!

ตามคาด ไม่ผิดจากที่หลินสวินคาดการณ์เอาไว้ จู๋อิ้งคงมาแล้ว พาเหล่ามกุฎอริยะเข้าสู่พื้นที่แห่งนี้อย่างเกรียงไกร

ท่าทางเช่นนั้นราวกับเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้ กำลังลาดตระเวนออกล่าในอาณาเขตของตน ไร้ความเกรงกลัวอย่างเห็นได้ชัด

นี่ทำให้ในใจหลินสวินอดหัวเราะเยาะไม่ได้ ทว่าสีหน้ากลับไม่เผยอารมณ์สักนิด

เขากำลังรออยู่

“พี่จู๋ ข้ารู้สึกว่าระวังหน่อยจะดีกว่า ความเชี่ยวชาญด้านมรรครอยสลักวิญญาณของเจ้าหมอนั่นเรียกได้ว่าน่ากลัว ข้าสงสัยยิ่งว่าเจ้าหมอนั่นยังซ่อนไพ่บางอย่างอยู่”

ในใจเซวี่ยชิงอีมักรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง

ทุกคนต่างจนคำพูด เซวี่ยชิงอีมองหลินสวินเป็นเหมือนภัยใหญ่มานานแล้ว ระมัดระวังจนทำให้คนหงุดหงิด

นี่ทำให้ในใจหลายคนต่างไม่ชอบใจนัก

พวกเขาทั้งกลุ่ม ทุกคนล้วนเป็นผู้กล้าแห่งดินแดนหนึ่ง พลังต่อสู้โดดเด่น พรสวรรค์น่าทึ่ง

อย่างพวกคุนเซ่าอวี่ ชืออู๋ซู่ยิ่งเป็นผู้นำแห่งดินแดนหนึ่ง มีอานุภาพเกรียงไกร มองข้ามคนรุ่นเดียวกันในดินแดน!

ตอนนี้พวกเขาต่างรวมตัวกัน เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มดาวที่ส่องประกาย สามารถกวาดล้างทั้งสมรภูมิเก้าดินแดน

แต่ตอนนี้ เซวี่ยชิงอียังคงระแวดระวังอย่างมาก ย่อมทำให้คนไม่พอใจ

“พี่เซวี่ย กระบวนค่ายกลพันผีนี่ข้าวางกับมือ วิญญาณเซียนเหินหนึ่งพันตัวนั่นก็เป็นพวกเราจับมาเอง พูดอย่างไม่เกินจริง ในภูผาธาราแห่งนี้พวกเราก็คือตัวตนระดับนายเหนือหัว”

จู๋อิ้งคงพูดเรียบๆ “แม้หลินสวินนั่นยังมีไพ่ซ่อนในมือ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่เห็นหรือว่าเขาถูกกักขังไว้แล้ว โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง”

เซวี่ยชิงอีพูดอย่างไม่พอใจ “พี่จู๋ เจ้าคิดว่าข้าใจปลาซิวมากเช่นนั้นหรือ”

จู๋อิ้งคงส่ายหน้าพูด “ที่ควรระวังพวกเราก็ต้องระวังอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชัยชนะอยู่ในมือพวกเราแล้ว เหตุใดจึงต้องวิตกกังวลจนไม่กล้าทำอะไรเช่นนี้”

ไม่รอเซวี่ยชิงอีพูดอะไรอีก จู๋อิ้งคงก็เรียกธงเล็กสีดำออกมา

ยามนี้พวกเขามาถึงที่ที่หลินสวินถูกขังแล้ว วิญญาณเซียนเหินนับพันตนกำลังโจมตีกระบวนค่ายกลสยบฟ้ากำราบมหาสมุทรรอบตัวหลินสวินอย่างบ้าคลั่ง

ฟึ่บ…

พร้อมๆ กับตอนที่จู๋อิ้งคงโบกธงเล็กสีดำ ภาพอันเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้น

วิญญาณเซียนเหินนับพันหยุดการจู่โจมในทันที แยกตัวเปิดทางราวกับกระแสน้ำ แต่ละตนยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ไอชั่วร้ายบนร่างยังคงน่ากลัวอย่างที่สุด แต่กลับดูเชื่องอย่างที่สุด

เห็นเช่นนี้ในใจพวกคุนเซ่าอวี่อดชื่นชมอีกครั้งไม่ได้ นี่ก็คือวิธีของนักสลักลายมรรค เรียกได้ว่าประหนึ่งการช่วงชิงศุภโชคได้โดยบังเอิญ มีอานุภาพที่ไม่อาจคาดเดา!

จู๋อิ้งคงจับสังเกตสีหน้าของทุกคนแล้วอดยิ้มไม่ได้ เอ่ยพูดว่า “ทุกคนคอยดูข้าทำลายที่พึ่งสุดท้ายของเจ้าหมอนี่!”

ว่าแล้วเขาก็ก้าวเท้าเข้าไป

พวกคุนเซ่าอวี่เองก็ตามไปติดๆ แม้แต่บุคคลพลิกฟ้าอย่างพวกเขา ตอนที่ผ่านตรงหน้าวิญญาณเซียนเหินมากมายเหล่านั้นร่างต่างแข็งทื่อขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

ไม่มีเหตุผลอื่น วิญญาณเซียนเหินนับพันสามารถทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ!

มีเพียงจู๋อิ้งคงที่นิ่งสงบมาก มาถึงที่ที่หลินสวินถูกขังอย่างใจเย็น ดวงตาสีม่วงคู่นั้นจับจ้องมองหลินสวินที่อยู่ในกระบวนค่ายกลจากไกลๆ มุมปากเผยแววโค้งอย่างนึกสนุกขึ้นมา

“หลินสวิน ในฐานะนักสลักลายมรรค คิดว่าเจ้าเองก็คงดูออกแล้วว่าครั้งนี้เจ้าจนหนทางแล้ว ติดปีกก็หนีไม่รอด”

เขาไม่ได้ใจร้อนสลายค่ายกล แต่พูดเนิบๆ ว่า “แต่ก่อนเจ้าตาย ข้าสามารถทำข้อตกลงกับเจ้าได้”

“ว่ามา”

ในกระบวนค่ายกลหลินสวินนั่งขัดสมาธิบนหิน นิ่งไม่ขยับ ท่าทางผ่อนคลาย

นี่ทำให้พวกคุนเซ่าอวี่อดขมวดคิ้วไม่ได้ รู้สึกขวางหูขวางตามาก เป็นฝ่ายเสียเปรียบถูกกักขังแล้ว เจ้าหมอนี่กลับกล้าทำท่าทางเช่นนี้ ช่างบ้าคลั่งอย่างที่สุด

ทว่าพวกเขาเคยได้ยินว่าหลินสวินเป็นคนบ้าระห่ำมานานแล้ว จึงรู้สึกว่าเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล หากหลินสวินเผยท่าทางตื่นตกใจกลับยิ่งจะทำให้พวกเขาเกิดความสงสัย

“ส่งมรดกสลักรอยสลักวิญญาณในตัวเจ้ามา ข้ารับรองว่าจะมอบวิธีตายที่สมเกียรติ และจะส่งเถ้ากระดูกของเจ้ากลับค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ เป็นอย่างไร”

จู๋อิ้งคงพูด ในคำพูดคือมองหลินสวินเป็นคนตายไปแล้ว

ทุกคนเพิ่งจะเข้าใจว่าที่แท้จู๋อิ้งคงก็หมายปองมรดกสลักรอยสลักวิญญาณบนร่างหลินสวินนี่เอง!

“วิธีตายที่สมเกียรติ…”

หลินสวินทวนอีกรอบ อดยิ้มพูดไม่ได้ “ประโยคนี้ข้าเองก็ขอมอบให้พวกเจ้า หากพวกเจ้าส่งสมบัติในตัวมาตอนนี้ คุกเข่ายอมรับความตายโดยดี ข้าเองก็จะส่งเถ้ากระดูกของพวกเจ้ากลับค่ายทัพของพวกเจ้าเป็นอย่างไร”

“เจ้าหมอนี่สุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์!”

ชืออู๋ซู่แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ

“พี่จู๋ เหตุใดต้องพูดจาไร้สาระกับคนบ้าคนหนึ่ง รอฆ่าเขาแล้วค่อยดึงเอาวิญญาณของเขาออกมา อยากได้อะไรก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมิใช่หรือ”

คุนเซ่าอวี่เองก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

คนอื่นๆ เริ่มหมดความอดทนแล้ว

หลินสวินคนนี้เห็นได้ชัดว่าดื้อดึงยิ่งนัก อยากใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำทำให้อีกฝ่ายก้มหัวยอมแพ้ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้

จู๋อิ้งคงสีหน้าอึมครึมลง “เจ้าคงรู้ดีว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น”

“เจ้ารู้สึกว่าข้าเหมือนกำลังล้อเล่นหรือ”

ตอนที่พูดหลินสวินก็ลุกจากก้อนหินโรยตัวสู่พื้น ดวงตาดำเย็นเยียบกวาดมองพวกจู๋อิ้งคงแล้วพูดว่า

“หรือความตายมาเยือนแล้วพวกเจ้าก็ยังไม่รู้ตัว”

ประโยคเดียวทำเอาทุกคนแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง หรือเจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วจริงๆ ขนาดนี้แล้วยังพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมา

ในกระบวนค่ายกลพันผีนี่ เหล่าผู้กล้าระดับมกุฎอริยะอย่างพวกเขารวมตัวกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีวิญญาณเซียนเหินนับพันเตรียมพร้อมลงมือ หลินสวินกลับบอกว่าความตายกำลังมาเยือนพวกเขา เช่นนี้ใครจะไม่คิดว่าเหลวไหลและน่าขัน

“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่รู้ตัวจริงๆ”

หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นเยียบเย็นมาก

เขาดูออกแล้วว่าพวกคุนเซ่าอวี่เคลื่อนกำลังทั้งหมดมาโดยไม่มีตกหล่น นี่ก็เพียงพอแล้ว!

“พี่จู๋ เจ้าก็เห็นแล้วว่าเจ้าหมอนี่เสียสติไปแล้ว เกินจะเยียวยาแล้ว รีบทำลายกระบวนค่ายกลฆ่าเขาซะจะดีที่สุด”

พวกคุนเซ่าอวี่ไอสังหารพลุ่งพล่าน แทบจะกดไม่อยู่แล้ว

จู๋อิ้งคงพยักหน้า

เขาโคจร ‘เนตรแห่งจู๋หลง’ ดวงตาสีม่วงปรากฏแสงแปลกประหลาด เผยสีขาวดำสองสี เปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์เร้นลับ กวาดมองทั้งกระบวนกระบวนค่ายกลใหญ่สยบฟ้ากำราบมหาสมุทร

หืม?

ไม่นานจู๋อิ้งคงก็สังเกตเห็นความผิดปกติ ระหว่างกระบวนค่ายกลพันผีและกระบวนกระบวนค่ายกลใหญ่สยบฟ้ากำราบมหาสมุทรถึงกับมีการตอบสนองมหัศจรรย์ ราวกับรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างไรอย่างนั้น

ให้ความรู้สึกว่าหากทำลายกระบวนค่ายกลใหญ่สยบฟ้ากำราบมหาสมุทร ก็เท่ากันทลายกระบวนค่ายกลพันผี!

“เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่”

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นสีหน้าของจู๋อิ้งคงมืดทะมึนลงทันที จ้องหลินสวินเขม็ง สีหน้าไม่เป็นมิตร หว่างคิ้วยิ่งแฝงความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง

เพราะด้วยเนตรแห่งจู๋หลงกลับยังไม่สามารถมองทะลุความลึกลับภายในได้ นี่เป็นแรงจู่โจมที่ไม่น้อยสำหรับจู๋อิ้งคงซึ่งมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในด้านมรรคสลักวิญญาณมาโดยตลอดอย่างไม่ต้องสงสัย

คนอื่นๆ นัยน์ตาหดรัดทันใด จู๋อิ้งคงถึงกับไม่สามารถสลายกระบวนค่ายกลนี้ได้เช่นนั้นหรือ

หากเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หมายความว่า แม้เจ้าหมอนี่ถูกขังอยู่ในนี้ ก็เท่ากับว่ายืนอยู่ในพื้นที่ไร้พ่ายหรือ

คิดถึงตรงนี้ทุกคนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่เซวี่ยชิงอีพูดนั้นไม่ผิด หลินสวินคนนี้เล่นงานยากอย่างที่สุดจริงๆ!

“พี่จู๋ ไม่ไหวจริงๆ หรือ”

คุนเซ่าอวี่ขมวดคิ้วพูด

จู๋อิ้งคงจะยอมรับว่าความสามารถด้านมรรคสลักวิญญาณของตนสู้หลินสวินไม่ได้ได้อย่างไร

ประโยคเดียวของคุนเซ่าอวี่ก็กระตุ้นเพลิงโกรธในใจเขาให้พุ่งสูงทันใด เอ่ยว่า “ทุกท่านวางใจได้ ครั้งนี้เจ้าหมอนี่จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”

เขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง โคจรเนตรแห่งจู๋หลงจนถึงขีดสุด อานุภาพศักดิ์สิทธิ์อริยะมรรคที่น่ากลัววนเวียนรอบตัว แสงม่วงเดือดพล่าน

ทว่าพร้อมกับเวลาที่ล่วงเลยไป ทุกคนเห็นเพียงว่าสีหน้าของจู๋อิ้งคงค่อยๆ มืดทะมึนลง เส้นเลือดเขียวตรงหน้าผากนูนขึ้นรางๆ เห็นได้ชัดว่ากินแรงอย่างมาก

“ความสามารถด้านรอยสลักวิญญาณของเผ่าจู๋หลงมีเพียงเท่านี้หรือ”

ในกระบวนค่ายกลหลินสวินส่งเสียงเย้ยหยัน

“เจ้าหุบปาก!”

จู๋อิ้งคงตะเบ็งเสียง ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าเนตรแห่งจู๋หลงไม่มีประโยชน์แล้ว นี่ทำให้เขามีความรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หลินสวินพูดเรียบๆ “โกรธจนลนลานก็เช่นนี้แหละ”

สีหน้าของพวกคุนเซ่าอวี่อึมครึมแล้ว ไอสังหารพวยพุ่ง เหยื่ออยู่ตรงหน้ากลับไม่สามารถฆ่าได้ นี่ทำให้ความอดทนของพวกเขาค่อยๆ ลดถอยลง

“คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ”

ทันใดนั้นจู๋อิ้งคงสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ราวกับได้ตัดสินใจเด็ดขาด สีหน้าเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง

ฮูม!

เขาโบกธงเล็กสีดำในมืออย่างไม่ลังเล ร้องตะโกนว่า “ฆ่า แม้ทลายกระบวนค่ายกลพันผีได้ เจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของวิญญาณเซียนเหินนับพันได้อย่างไร มีพวกข้าอยู่ เจ้ายังมีทางถอยอีกหรือ”

พวกคุนเซ่าอวี่สายตาวูบไหว

พวกเขาต่างดูออกว่าจู๋อิ้งคงไม่สามารถจัดการกระบวนค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าแน่ จึงใช้วิธีที่ดุร้ายและรุนแรงที่สุด

นั่นก็คือให้วิญญาณเซียนเหินจู่โจมพร้อมกัน หรือก็คือทำลายกระบวนค่ายกลพันผี ถึงตอนนั้นหลินสวินก็จะไม่มีพลังที่สามารถป้องกันได้อีกต่อไปแล้ว!

ตูมโครม…

ทันใดนั้นวิญญาณเซียนเหินนับพันโจมตีอีกครั้ง อานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกร

พวกจู๋อิ้งคงต่างหมายจะถอนตัวออกจากที่นี่ชั่วคราว เพื่อเลี่ยงไม่ให้โดยลูกหลง

แต่ตอนนี้เอง…

ในที่สุดหลินสวินซึ่งอยู่ในกระบวนค่ายกลก็เคลื่อนไหว เขายื่นมือออกไป มุกอริยะกำราบสมุทรขนาดประมาณกำปั้นที่ส่องแสงอร่ามพลันปรากฏในฝ่ามือ

“ครั้งนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากพี่จู๋อย่างมาก ทำให้ข้าผู้แซ่หลินได้โอกาสจัดการพวกเจ้าในคราเดียว เดี๋ยวข้าจะให้พี่จู๋ได้ตายรวดเร็ว เพื่อเป็นการขอบคุณของข้า”

ในเสียงหัวเราะเรียบง่าย พร้อมๆ กับที่หลินสวินโคจรมุกอริยะกำราบสมุทรในฝ่ามือ ทันใดนั้นพลังผนึกกระบวนค่ายกลที่ปกคลุมกลางฟ้าดินพลันเปลี่ยนไป

จู๋อิ้งคงสังเกตได้ทันทีว่าตนเสียการควบคุมกระบวนค่ายกลพันผีไปโดยสมบูรณ์แล้ว

นี่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที จิตใจสะท้านสะเทือนรุนแรง ร้องเสียงหลงออกมาอย่างอดไม่ได้

“เป็นไปได้อย่างไร!?”

——