แผนการนี้โจวมี่ไม่กล้าพูดว่าต้องสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ขอแค่อิ่นกวานหนุ่มไม่ระวังก็จะต้องพ่ายแพ้ทั้งกระดาน
และในช่วงเวลาระหว่างนี้ อันที่จริงบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นได้ทำเรื่องพังไปมากมาย เดิมทีควรเป็นฝีมือเทพเซียนที่ชุยฉานและโจวมี่ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหารร่วมกัน ตอนนั้นการที่โจวมี่สั่งให้หลีเจินมอบหนังสือเล่มนี้ออกไป ให้เฉินผิงอันที่เบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุดได้ยืมอ่าน ก็เพราะโจวมี่รู้สึกว่านี่คือโอกาสที่จะทำลายสถานการณ์ที่ชะงักค้างลง อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้จิตใจของเฉินผิงอันเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม คิดไม่ถึงว่ากลับทำให้จิตแห่งมรรคาของเฉินผิงอันยิ่งมั่นคงแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ราวกับว่าแค่อ่านตำรารอบเดียวก็เข้าใจเจตนาของซิ่วหู่ชุยฉานแล้ว
บัณฑิตหนีพ้นกรงขังของคำว่าผลประโยชน์ไปได้ แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะหนีพ้นฟ้าดินของอักษรคำว่า ‘ชื่อ’ ไปได้
ดังนั้นตอนที่หลีเจินมอบบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นออกไป อันที่จริงโจวมี่ก็ได้หลอมตัวอักษรหกตัวแล้วเอาแสงศักดิ์สิทธิ์สี่ดวงไปซุกซ่อนในบันทึกก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะเอาไปอ่านแล้ว ซึ่งแยกไปซ่อนไว้ในตัวอักษรสี่ตัวคำว่า ‘นกขมิ้น’ ‘ปลามังกร’ ของบทที่สี่ ก็เพื่อป้องกันชุยฉาน นอกจากนี้ยังมีคำว่า ‘หนิง’ และ ‘เหยา’ สองคำที่ยิ่งซุกซ่อนดวงจิตเสี้ยวหนึ่งที่โจวมี่ดึงออกมา ก็เพื่อเล่นงานจิตใจของอิ่นกวานหนุ่ม นึกไม่ถึงว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันกลับไม่เคยเอาตัวอักษรไปไว้ในทะเลสาบหัวใจ เพียงแต่ใช้วิชาอภินิหารของหยกดิบปลอมมาเก็บมันไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อเท่านั้น
ตอนนั้น ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ที่ได้ผสานมรรคากลายเป็นจิตหยินของโจวมี่ไปแล้วยอมแหกกฎปรากฏตัว ไปคุยเล่นกับเฉินผิงอันบนหัวกำแพงเมือง เป้าหมายหนึ่งในนั้นก็เพื่อทำลายแสงศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณเหล่านั้นให้สิ้นซาก จากนั้นค่อยยืมใช้การไหลทวนกระแสของแม่น้ำแห่งกาลเวลาทำให้เฉินผิงอันไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าซิ่วหู่ไม่เห็นชีวิตของศิษย์น้องเล็กคนนี้อยู่ในสายตาเลยจริงๆ เพราะขอแค่มีจุดเชื่อมต่อใดเกิดช่องโหว่ขึ้นมา เฉินผิงอันก็จะไม่ใช่เฉินผิงอันอีกต่อไป
หรือควรจะบอกว่าสถานการณ์ถามใจของ ‘เฉินผิงอัน’ และ ‘ทะเลสาบชิ่งจู๋’ ในบันทึกเล่มนั้นก็ถือเป็นการปกป้องมรรคาอย่างน่าเหลือเชื่อของชุยฉานอย่างหนึ่งด้วย? ปล่อยให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ห้อมล้อมไปด้วยอันตรายของจิตใจคนอันชั่วร้าย และจิตแห่งมรรคาของตัวข้าเองก็อาจแหลกสลายได้ทุกเมื่อเร็วขนาดนั้นเลยหรือ?
การหล่อหลอมโชคชะตาสามทวีปที่อยู่บนชุดคลุมอาคมบนร่างของเซียวสวิ้น จั่วโย่วปล่อยกระบี่ออกไปก็เท่ากับว่าฟันลงบนร่างของอาจารย์ แต่จั่วโย่วกลับยังฟันแล้วฟันอีก ออกกระบี่อย่างไร้ความลังเล
แล้วฉีจิ้งชุนก็ยังเป็นขอบเขตสิบสี่เช่นนี้อีก
บวกกับอิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซิ่วหู่ชุยฉานแห่งแจกันสมบัติทวีป
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่งไม่ต้องพูดถึงขอบเขตพูดถึงตบะกันเลย? ฝึกฝนจิตใจกันอย่างไร? มีสมองกันแบบไหน?
โจวมี่รู้สึกนับถือจากใจจริง ถอนฟ้าดินจิตธรรมสามแห่งที่ต้องกลับมามือเปล่าทิ้งไป
เขาเอาสองมือไพล่หลัง “หากไม่ใช่การปรากฏตัวของเจ้า วิธีการรับมือเบื้องหลังมากมายที่ข้าซุกซ่อนไว้ คนบนโลกล้วนไม่อาจได้รู้ แพ้ก็ต้องโทษที่ชะตากรรม ชนะเพราะอาศัยดวง ฉีจิ้งชุนแค่เบิกตามองเสียให้พอใจ”
มหาสมุทรตำรากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่งมองดูเหมือนเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วกลับตัดสลับกันวุ่นวาย อีกทั้งยังมีฟ้าดินน้อยใหญ่อีกไม่น้อยทับซ้อนกันอย่างลี้ลับมหัศจรรย์ จุดตัดจุดเชื่อมต่อมีความพิถีพิถันอย่างยิ่ง ท่ามกลางฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้ แม้แต่แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ยังไม่ดำรงอยู่ เพียงแต่ว่าหลังจากสูญเสีย ‘เวทอำพรางตา’ สองชั้นที่เป็นทั้งตราผนึกของฟ้าดินและเป็นทั้งผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ไป ก็มีหอเรือนแห่งหนึ่งที่เดิมทีโจวมี่เก็บซ่อนเอาไว้ปรากฎขึ้นมา เชื่อมโยงฟ้าดินเข้าด้วยกัน ก็คือหนึ่งในรากฐานมหามรรคาในใจของโจวมี่ หอเรือนแบ่งออกเป็นสามชั้น มีคนสามคนเฝ้าพิทักษ์อยู่ด้านใน หนึ่งคือบัณฑิตกระดูกขาวสวมชุดเขียวที่ร่างมีแต่โครงกระดูก คือการแสดงออกของสภาพจิตใจของเจี่ยเซิงผู้ผิดหวัง หนึ่งคือผู้เฒ่ารูปร่างผอมเพรียวตรงเอวห้อยขลุ่ยไม้ไผ่ ก็คือรูปโฉมของ ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเชี่ยอวิ้น มีความหมายแฝงถึงตัวตนใหม่ของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จุดที่สูงที่สุด ดาดฟ้าชั้นบนคือบัณฑิตหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี ทว่าดวงตาของเขากลับหม่นมัว เรือนกายงองุ้ม ทั้งฮึกเหิมเปี่ยมชีวิตชีวาทั้งเอ่อท้นไปด้วยกลิ่นอายความชราภาพในเวลาเดียวกัน ภาพปรากฎการณ์สองอย่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงผลัดกันปรากฏตัว ประหนึ่งตะวันจันทราหมุนเวียนสับเปลี่ยน เจี่ยเซิงในอดีต โจวมี่ในวันนี้ ผสานรวมเป็นหนึ่ง
ฉีจิ้งชุนไม่จำเป็นต้องเพ่งตามอง ภาพในหอเรือนหลังนั้นก็ปรากฎแจ่มชัดทุกเส้นสาย ชั้นหนึ่งวางตำรากองซ้อนกันเป็นภูเขา การจัดวางนั้นมีความพิถีพิถันตั้งใจอย่างยิ่ง ภูเขาตำราลูกหนึ่งเป็นลักษณะของภูเขาสุ้ยซาน นอกจากจะวางตำราภูเขาห้าลูกที่มาจากฝีมือของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวแล้ว ยังถือว่าเป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งเก่าแก่ที่สุดอีกด้วย จากนั้นโจวมี่ยังจินตนาการบรรเจิดหลอมตัวอักษรไว้นับไม่ถ้วน มีจำนวนนับพันนับหมื่น อยู่ในชั้นหนึ่งของหอเรือน ตั้งตระหง่านกลายเป็นหอพิทักษ์เมืองเก้าแห่ง หอสยบกระบี่และหอสยบป๋ายเจ๋อมีการเรียงซ้อนอย่างตั้งใจมากที่สุด หนังสือที่เลือกมาต้องใช้ความรู้อย่างสูง
ชั้นที่สองของหอเรือนมีพิณจื่อเวยวางอยู่ กระดานหมากที่เล่นไว้ไม่สมบูรณ์ เทียบอักษรส่วนหนึ่ง ตำรารวมกลอนห้าพยางค์สี่บรรทัดโดยฉพาะ กลอนคู่ในห้องหนังสือของปัญญาชนลอยตัวอยู่ ด้านข้างกลอนคู่มีกระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่งห้อยเอียงๆ
ฉีจิ้งชุนไม่สนใจโจวมี่ เพียงแค่ปล่อยจิตใจล่องลอยไปพลิกเปิดตำราสามล้ามเล่มพวกนั้นอย่างสบายอารมณ์
ใช้อักษรจิ้งรวบรวมเป็นสมาธิ ใช้ลมวสันต์พลิกเปิดหน้าหนังสือ
ฟ้าดินน้อยใหญ่สามร้อยแห่งที่สูงต่ำตัดสลับทับซ้อนกัน ตำราอริยะปราชญ์ผู้ล่วงลับเล่มเล็กเล่มใหญ่ที่วางเอนเอียงกองซ้อนกันไว้ มีหนังสือโบราณหายากที่ตอนยังมีชีวิตอยู่ฉีจิ้งชุนก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เปิดอ่านอยู่ไม่น้อย
โจวมี่ยิ้มบางๆ “กลอนห้าพยางค์สี่บรรทัดที่ชื่นชอบที่สุดในชีวิต อักษรยี่สิบคำ ประหนึ่งเซียนยี่สิบท่าน หากหลิวชาเอาแต่สนใจความรู้สึกของตัวเอง ไม่ยินดีจะเชื่อฟังคำสั่งไม่ยอมออกกระบี่แม้แต่ครั้งเดียว ก็ได้แต่ให้ข้าใช้ร่างของเชี่ยอวิ้นมาช่วยเขาถามกระบี่ต่อผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปแล้ว ในใจข้ามีเซียนกระบี่จำแลงออกมายี่สิบคน ครบผสมรวมกันได้กลอนห้าพยางค์สี่บรรทัดที่บทหนึ่ง ตั้งชื่อกลอนเป็น ‘เซียนกระบี่’ ได้พอดี”
“ยุคบรรพกาลมีคนทั้งสิ้นสิบคน สามคนในนั้นอย่างเฉินชิงตู กวนจ้าว หลงจวินคือคนที่มีชีวิตอยู่ยาวนานมากที่สุด ข้าล้วนโชคดีเคยเห็นพวกเขาออกกระบี่ มือกระบี่ผู้ฝึกกระบี่สิบคนในยุคหลังยังคงไม่อาจแบ่งสูงต่ำได้ ต่างคนต่างมีความบริสุทธิ์และลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป อวี๋โต้วแห่งป๋ายอวี้จิง ป๋ายเหย่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุด จ้าวเสวียนซู่บรรพจารย์ภูเขามังกรพยัคฆ์ที่กล้าไปนอกฟ้าและยิ่งกล้าตาย จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่คนปัจจุบันที่กล้ามาเยือนใบถงทวีป ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ที่ตัดใจมอบกระบี่ให้คนอื่นยืมได้ลง ต่งซานกงตอนเป็นหนุ่มที่ออกเดินทางท่องใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง เฉินซีที่เกือบจะถามกระบี่แบ่งเป็นตายกับเฒ่าตาบอด หลิวชาจอมยุทธใหญ่เคราดก อาเหลียงที่ไม่เหมือนบัณฑิตของสายหย่าเซิ่งมากที่สุด และยังมีจั่วโย่วที่มาจากสายเหวินเซิ่งของพวกเจ้า”
“นอกจากนี้ก็มีเซียวสวิ้นที่ไร้ความดีไร้ความเลว จิตใจอิสระเสรี หนิงเหยาแห่งนครบินทะยานที่มีความหวังบนมหามรรคา หลิวไฉในอนาคต รวมไปถึงเฉินผิงอันที่เจ้าฉีจิ้งชุนฝากความหวังไว้สูง ล้วนสามารถถือเป็นตัวสำรองได้”
ดูเหมือนว่าฉีจิ้งชุนจะกำลังรับฟังถ้อยคำของโจวมี่อย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่ายังคงแบ่งสมาธิไปเปิดตำราไม่หยุด
โจวมี่มองตัวเองที่เป็นเจี่ยเซิงยามหนุ่มซึ่งอยู่บนหอเรือนชั้นบนสุด
ในห้องชั้นบนสุด มีกระถางธูปใบหนึ่งวางอยู่บนตำราเล่มหนึ่ง และตำราก็วางอยู่เหนือเบาะรองนั่งสานอีกที
โจวมี่พูดเหมือนคุยกับตัวเอง “เรือที่ไม่ถูกผูกบนโลกมนุษย์ ความคิดกำราบผีสังหารโจรข้าก็เคยมี ผู้ที่ฟ้าดินพันธนาการไว้ไม่อยู่ ใจที่อยากฝึกตนเป็นโอสถทองข้ากลับไม่เคยมี”
ฉีจิ้งชุนมองหอเรือนแวบหนึ่ง “เจ้าเลือกจะใช้ตำราเป็นศัตรูกับโลก เป็นสหายกับความเก่าแก่โบราณ เป็นมิตรกับฟ้า แค่มองดูแล้วเหมือนจิตใจอิระเสรีก็เท่านั้น อย่าได้รู้สึกว่าศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางรับสิบสองกลยุทธแห่งความผาสุกไปแล้ว โลกก็จะสงบสุขยาวนานหมื่นปีจริงๆ ไม่มีทางทำได้หรอก”
ตอนที่ชุยฉานยังเป็นหนุ่มแล้วต้องถ่ายทอดความรู้แทนอาจารย์ เคยมีคำพูดประโยคหนึ่ง เขาบอกว่าแคว้นที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็คือในยุคสันติสุขรุ่งเรือง มีศักยภาพพอที่จะรุกรานแคว้นอื่น แต่กลับเลือกที่จะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ภายในหนึ่งแคว้น สอนให้คนทำมาหากินอบรมให้คนรู้จักวางตัว จิตใจคนรวมเป็นหนึ่ง คือความซื่อสัตย์จริงใจระหว่างคนกับคนด้วยกัน คือคนเดินทางไกลทุกคนที่ใจไม่เคยออกห่างคนของบ้านเกิด ทำให้คนมากกว่าที่ไม่เคยอ่านตำราของอริยะปราชญ์ทำในเรื่องที่ต่อให้ไม่รู้หนังสือก็รู้จักมีเหตุผลมีคุณธรรม
ซิ่วไฉเฒ่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างเงียบเชียบลูบหนวดเบาๆ พลางคลี่ยิ้ม ดูท่าทางจะดีใจยิ่งกว่าชนะการโต้วาทีของสามลัทธิเสียอีก
นั่นเป็นครั้งแรกที่จั่วโย่วเป็นฝ่ายเสนอว่าวันนี้สามารถดื่มเหล้าได้
หลังจากได้ดื่มเหล้าไปในวันนั้น ซิ่วไฉเฒ่าก็อารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ แล้วก็อาศัยฤทธิ์ของสุรายกเท้าเหยียบบนม้านั่งตัวยาว ชูแขนขึ้นสูง แม้เหล้าจะหกก็ไม่สนใจ เขาเอ่ยด้วยความฮึกเหิมลิงโลดว่า เป็นการถามเองตอบเองของอาจารย์ครั้งหนึ่ง อะไรเรียกว่าจิตใจที่บริสุทธิ์? อันที่จริงไม่ได้เกี่ยวกับว่าเรื่องที่ทำเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่หรือไม่ หรือคนที่ทำอายุมากหรือน้อยสักเท่าไร ก็หนีไม่พ้นมีคนที่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน มีคนที่ยืนกรานจะปูถนนซ่อมสะพาน มีคนที่ถือถ้วยข้าวกินเสร็จวางตะเกียบด่ามารดา มีคนที่ยืนกรานจะเก็บชามและตะเกียบอยู่เงียบๆ แล้วยังสนใจว่าโต๊ะกับม้านั่งจะยังมั่นคงดีหรือไม่ มีคนที่รู้สึกว่าการเติบโตก็คือการเปลี่ยนแปลงที่ชีวิตคนต้องเผชิญ แต่บางคนกลับรู้สึกว่าข้าต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เพราะว่าข้าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อโลกใบนี้!
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่จั่วโย่วบอกว่าพรุ่งนี้ก็สามารถดื่มเหล้าได้
แต่เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า ให้เสี่ยวฉีไปวางแผงหาเงิน ข้ากับศิษย์พี่รับผิดชอบคอยหาลูกค้า เจ้าโง่ใหญ่ก็อย่าไปร่วมวงความครึกครื้นเลย มีแต่จะทำให้ลูกค้าตกใจหนีหายไปเท่านั้น
ตำราหลายเล่มถูกลมวสันต์พัดเปิดแล้วก็เริ่มสลายหายไป ฟ้าดินน้อยใหญ่ในใจของโจวมี่พลันหายไปหลายสิบแห่งในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
เปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนทั่วไป คาดว่าต่อให้ออกกระบี่อย่างเต็มกำลังโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองปราณวิญญาณแม้แต่น้อย ก็ต้องออกกระบี่นานหลายสิบปีถึงจะสามารถสลายตราผนึกของฟ้าดินได้เช่นนี้
โจวมี่คล้ายจะรู้สึกระอาใจเล็กน้อย “อาศัยสิ่งนี้มาแบ่งสมาธิสร้างความคิด บัณฑิตขโมยหนังสือก็ไม่ถือว่าขโมยแล้วหรือ?”
ฉีจิ้งชุนชำเลืองตามองหอเรือน โจวมี่เองก็อยากจะอาศัยความรู้สามลัทธิในใจของเขามาขัดเกลาจิตแห่งมรรคาเช่นกัน ใช้สิ่งนี้มาเดินทางลัด ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสิบสี่
เพื่อสร้างหอเรือนเพิ่มขึ้นอีกชั้น หอยิ่งสูงยิ่งได้เดินขึ้นฟ้า โจวมี่ต้องการเป็นคนคนเดียวที่อยู่สูงเหนือผืนฟ้า
ส่วนตำราสามล้านเล่มที่เก็บสะสมเอาไว้ หรือฟ้าดินเล็กใหญ่ จิตธรรมหอเรือนสามชั้นอะไรนั่น ล้วนเป็นเวทอำพรางตา สำหรับโจวมี่ในเวลานี้ มันจะมีหรือไม่มีก็ได้มานานแล้ว
โจวมี่ส่ายหน้า “ไม่ค่อยง่ายเท่าไร”
ฉีจิ้งชุนยิ้มบางๆ “ปลาเงินกินตำรา สามารถกินตัวอักษรไปได้มากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าหลักการเหตุผลที่กินลงไปมีน้อยเกิน ดังนั้นหลังจากเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วจึงพบว่าตัวเองเดินมาถึงทางหัวขาด นอกจากกินตัวอักษรแล้วก็ได้แต่ผสานมรรคากับปีศาจใหญ่ ในเมื่อต้องเปลืองแรงขนาดนี้ก็ไม่สู้ให้ข้าช่วยเจ้าดีกว่าไหม? ฟ้าดินแห่งนี้ของเจ้ายังขาดความสมบูรณ์ไม่ครบถ้วน (ครบถ้วนภาษาจีนคือคำว่าฉี เขียนแบบเดียวกับแซ่ของฉีจิ้งชุน)? พอดีเลย ข้ามีตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตอยู่ตัวหนึ่ง เอาให้เจ้ายืมไหมล่ะ?”
โจวมี่ส่ายหน้า “ยืมคำว่า ‘ฉี’ นั้นช่างเถิด ข้ากลัวว่าจะถูกจ้าวหลิงสวี่จวินผู้นั้นยอมสละทรัพย์สินและชีวิตของตัวเองโดยไม่เสียดาย แต่ก็ต้องร่วมมือกับชุยฉานมาทำลายตบะของข้าให้ได้ แต่ถูกเจ้ากินตำราที่สะสมไว้สามล้านเล่ม ทั้งยังควบรวมฟ้าดินทั้งหมด จากนั้นค่อยสลายหายไปจากฟ้าดินของใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง หรือว่าข้าค่อยกินขอบเขตสิบสี่ที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ฝ่าทลายคอขวด เจ้าและข้าทั้งสองกลับลองเดิมพันกันดูได้จริงๆ”
ในที่สุดฉีจิ้งชุนก็เริ่มตรวจสอบตำราของสามลัทธิ เขาเลือกตำราที่มีเพียงเล่มเดียวและตำราฉบับสมบูรณ์มาก่อน จากนั้นไม่ว่าจะเป็นตำราที่เคยอ่านหรือไม่เคยอ่านก็ล้วนถูกลมวสันต์พัดผ่าน หนังสือแต่ละเล่มจึงหายไปนับแต่นี้ ผสานรวมเข้ากับมหามรรคาของฉีจิ้งชุนขอบเขตสิบสี่
โจวมี่ขมวดคิ้วน้อยๆ
พอฉีจิ้งชุนเปิดตำรามากเข้า กายธรรมด้านหลังก็เริ่มปริแตกแล้วสลายหายไป ข้างกายสองฝั่งซ้ายขวามีเรือนกายของฉีจิ้งชุนสองคนค่อยๆ ปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งสง่างามน่าเกรงขาม อีกหนึ่งผ่ายผอมราวโครงกระดูก ฉีจิ้งชุนที่อยู่ตรงกลางยังคงเป็นปัญญาชนชุดเขียวที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา
หัวคิ้วของโจวมี่เริ่มคลายออก
รอให้ฉีจิ้งชุนผู้นี้กินตำราไปมากพอ ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ ‘สามลัทธิผสานรวมเป็นหนึ่ง’ แล้วตั้งตัวเป็นบรรพจารย์ก่อตั้งสำนักในใจของเขาโจวมี่ไปก็แล้วกัน
และฉีจิ้งชุนผู้นั้นก็เปิดตำราสามล้านเล่มจนครบถ้วน จากนั้นก็ ‘ยืมเอาไป’ ทำทั้งหมดนี้เสร็จในรวดเดียวจริงๆ
เส้นเอ็นหัวใจของโจวมี่พลันขมวดตึง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ร่ายวิชาอภินิหารอย่างสุดกำลังเป็นครั้งแรก ช่องโพรงลมปราณสามร้อยหกสิบห้าแห่งล้วนมีปีศาจใหญ่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กลับมาจุติใหม่ ล้วนถูกโจวมี่เอามาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งหมด รับผิดชอบคอยนั่งบัญชาการณ์อยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลใหญ่แห่งต่างๆ ในร่างกายมนุษย์
ที่แท้การผสานมรรคาของโจวมี่ผู้นี้ก็ได้เอาจิตวิญญาณ เนื้อหนังมังสามาหลอมเป็นภาพบรรยากาศที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเชื่อมโยงต่อถึงกันอย่างสิ้นเชิงไปแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุให้เท่ากับว่าตัวของโจวมี่เองได้กลายเป็นใต้หล้าใหม่เอี่ยมอย่างสมชื่อแห่งหนึ่ง!
หากฉีจิ้งชุนผสานสามลัทธิให้เป็นหนึ่งอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ ต่อให้ได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้า ขอบเขตก็ต้องไม่มั่นคงอย่างแน่นอน และการชิงลงมือก่อนของโจวมี่ก็ได้ยึดครองฟ้าดินคนไปหมดสิ้น โอกาสชนะของฉีจิ้งชุนจึงมีไม่มากจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรโจวมี่ก็คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้จะใช้วิธีไร้เหตุผลอย่างเสียสติเช่นนี้!
ขอบเขตสิบสี่ของฉีจิ้งชุนไม่อาจประคับประคองตัวได้นานเกินไปจริงๆ แต่หากซิ่วหู่ผู้นั้นเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ล่ะ? อาศัยตำราสามล้านเล่มของเขาโจวมี่ ขอบเขตของสองฝ่าย เลือกที่จะใช้ของเก่ามาแลกเปลี่ยนของใหม่ล่ะ?
ทางฝั่งเมืองหลวงแห่งที่สองภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ‘ซิ่วหู่ชุยฉาน’ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น สร้างตราประทับอักษรชุนขึ้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจอเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ ยังคงต้องถามลมวสันต์ของข้า”
ส่วน ‘ฉีจิ้งชุน’ ที่อยู่ในจิตธรรมของโจวมี่ในใบถงทวีปก็พลันส่ายหน้า พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่น “แผนการของเจี่ยเซิง ทำให้คนผิดหวังจริงเสียด้วย”