บทที่ 741.1 จดหมาย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในศาลาของภูเขาไฉ่จือ ชุยตงซานดื่มเหล้าของแม่นางฉุนชิงไปสองกาแล้วก็ให้รู้สึกเกรงใจ เขาโยกไหล่ขยับก้นไถลไปยังปลายอีกด้านหนึ่งของราวรั้วที่ฉุนชิงนั่งอยู่ กล่องอาหารหุ้มด้วยไม้ไผ่สานกล่องหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นมือไปปาดหนึ่งครั้ง กอบวักไอน้ำในภูเขามารวมตัวเป็นโต๊ะเมฆขาว เปิดกล่องอาหารสามชั้นออกแล้วหยิบจัดเรียงไว้เบื้องหน้าคนทั้งคู่ มีทั้งขนมหลากหลายชนิดในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง แล้วก็มีทั้งของกินเล่นของพื้นที่ต่างๆ ฉุนชิงเลือกขนมซิ่งฮวาขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มือหนึ่งคีบไว้ อีกมือหนึ่งรองประคองด้านใต้ กินเข้าไปก็ยิ้มตาหยี อารมณ์ดีอย่างมาก

ชุยตงซานที่อยู่ด้านข้างใช้สองมือจับอาหาร เอียงหัวแทะกินคล้ายกำลังแทะอ้อยท่อนเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น เคี้ยวอาหารดังกร้วมๆ หยดน้ำสีเหลืองทองไหลย้อย ท่าทางกินอาหารของชุยตงซานมูมมามไม่น้อย

ฉุนชิงถาม “คือส่านจือทอด (ของทอดทำจากแป้งสาลีหรือแป้งหมี่ผสมแป้งข้าวเหนียว ใส่เกลือเล็กน้อย นวดให้ได้ที่แล้วคลึงยืดเป็นเส้น หนาบางแล้วแต่จะทำ นำมาขดเป็นวงกลม เรียงเป็นแพ หรือพันเป็นเกลียวแล้วจึงนำไปทอด) ที่ในตำราบอกว่า ‘เข้าปากกรอบเปราะเหมือนแท่งหิมะ (หมายถึงหิมะที่ตกลงมาตามชายคาแล้วย้อยห้อยจับตัวเป็นแท่งน้ำแข็ง) หรือ?’

ชุยตงซานชี้ไปยังกล่องอาหารเบื้องหน้าตน พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดว่า “ประวัติความเป็นมาเหมือนกัน ก็วันที่สองเดือนสองต้องกัดหางแมงป่องนี่นะ (เป็นเรื่องเล่าลือในอดีตบอกว่าสมัยโบราณมีแมงป่องพิษอยู่มากมาย ผู้คนเกลียดแมงป่องพิษเหล่านั้นมาก ดังนั้นเพื่อสาปแช่งพวกมัน ในวันที่สองเดือนสองตามปฏิทินจันทรคติ ชาวบ้านจะเอาแป้งมานวดทำเป็นเส้นยาวรูปร่างคล้ายหางแมงป่อง เอาไปทอดแล้วกินให้หมด ภายหลังหางแมงป่องนี้ก็กลายมาเป็นขนมหมาฮวา หรือขนมแป้งทอดที่บิดเป็นเกลียว) แต่ว่าแตกต่างจากส่านจือที่เจ้าพูดถึงอยู่บ้างเล็กน้อย ที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเราเรียกมันว่าหมาฮวา หากโรยผงรากบัวจะถูกหน่อย แต่ถ้ามีไส้จะแพงที่สุด ข้าไปซื้อมาจากสถานที่ที่ชื่อว่าถนนกุ้ยฮวาภูเขาหวงหลีมาโดยเฉพาะ ตอนที่อาจารย์ของข้าอยู่คนเดียวบนภูเขาจะชอบกินเจ้านี่มาก ข้าก็เลยชอบตามไปด้วย”

จินตนาการไม่ออกเลยว่า เด็กคนหนึ่งที่ฟังคนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่อง วันหนึ่งจะกลายมาเป็นคนแก่ที่เล่าเรื่องให้เด็กๆ ฟัง

ปีนั้นใต้ต้นไหวโบราณก็มีเด็กชายคนหนึ่งที่ผู้คนรังเกียจนั่งขยับออกห่างมาไกลอย่างโดดเดี่ยว เงี่ยหูตั้งใจฟังเรื่องเล่าเหล่านั้น แต่กลับได้ยินไม่ชัดนัก เดินกระโดดโลดเต้นคนเดียวบนเส้นทางกลับบ้าน แต่ฝีเท้ากลับทั้งเบาและเร็ว เด็กชายที่ไม่เคยกลัวยามต้องเดินตอนกลางคืน ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรคือความโดดเดี่ยว แค่รู้สึกว่ามีแต่ตัวเองคนเดียว มีเพื่อนน้อยหน่อยเท่านั้น แต่กลับไม่รู้เลยว่านั่นก็คือความโดดเดี่ยว ไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียว

ไม่เพียงอาจารย์ตอนเป็นเด็กหนุ่มที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงชีวิตของคนส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่สมใจปรารถนา ชีวิตในแต่ละวันกว่าจะผ่านมาได้ต้องอาศัยการอดทนกับความยากลำบาก

ชุยตงซานปัดมือ วางมือสองข้างทับลงบนหัวเข่าเบาๆ เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างว่องไว ยิ้มหน้าระรื่นเอ่ยว่า “ขนมซิ่งฮวาที่แม่นางฉุนชิงกิน เป็นกรรมวิธีทำจากบ้านเกิดของพ่อครัวเฒ่าภูเขาลั่วพั่วพวกเราเอง อร่อยใช่ไหมล่ะ ไปที่ตรอกฉีหลงจะกินมากแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องจ่ายเงิน สามารถคิดลงในบัญชีของข้าได้ทั้งหมด”

ชุยตงซานพลันเงียบงัน ก้มหน้าลง

ฉุนชิงเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันหน้ากลับมา พบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปัญญาชนชุดเขียวคนหนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง ร่มเงาใบไม้และประกายแสงสีทองจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาในศาลาล้วนทะลุผ่านร่างของคนผู้นี้ ภาพเหตุการณ์นี้และคนผู้นี้สมกับคำกล่าวที่ว่า ‘ดั่งเข้ามาในสถานที่ไร้ผู้คน’ อย่างแท้จริง

ฉุนชิงอยากจะกระโดดลงมาจากราวรั้ว เข้ามาในศาลาเพื่อคารวะอาจารย์ท่านนี้ ฉีจิ้งชุนกลับโบกมือด้วยรอยยิ้ม บอกเป็นนัยให้แม่นางน้อยนั่งลงเหมือนเดิม

ชุยตงซานไม่ได้หันกลับมา ถามอย่างอัดอั้นว่า “ถูกพวกเจ้าปั่นหัวเช่นนี้ โจวมี่ต้องโมโหมากแน่ ชุยฉานจะหนีรอดไหม?”

ฉีจิ้งชุนพยักหน้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ โจวมี่มีแต่จะต้องสังเกตการณ์เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม ในเมื่อเป็นผลร้ายทั้งสองทางก็ย่อมต้องเลือกทางที่ผลเสียเบากว่า ตอนนี้ยังไม่อาจหักใจใช้วิธีปลาตายตาข่ายขาดกับชุยฉานได้ลง หากสังหารฉีจิ้งชุนอยู่ในใบถงทวีปไกลๆ ชุยฉานก็แค่ขอบเขตถดถอยเป็นขอบเขตสิบสาม กลับมายังแจกันสมบัติทวีป หนทางถอยนี้ยังพอจะเตรียมการไว้อยู่บ้าง แต่โจวมี่กลับต้องสูญเสียตบะขอบเขตสิบสี่ที่มั่นคงอย่างถึงที่สุดไป ไม่แน่เสมอไปว่าขอบเขตของเขาจะถดถอย แต่ขอบเขตสิบสี่ทั่วไปย่อมไม่อาจค้ำจุนจิตใจที่ทะเยอทะยานของโจวมี่เอาไว้ได้ การวางแผนยาวไกลนานหลายพันปี ความคิดจิตใจทั้งหมดที่ทุ่มเทไปจะสูญเปล่า โจวมี่ย่อมตัดใจไม่ลง เรื่องที่ข้ากังวลอย่างแท้จริง อันที่จริงเจ้าก็รู้ชัดเจนดี”

ชุยตงซานเอ่ย “ข้าไม่ใช่ชุยฉานอีกแล้ว เจ้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าล้วนเปล่าประโยชน์ ฉีจิ้งชุน เจ้าอย่าคิดมากเลย เก็บความคิดเอาไว้หน่อย สามารถไปพบเผยเฉียนดูได้ นางคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ข้าศิษย์น้องเล็กเจ้า ตอนนี้ก็อยู่บนภูเขาไฉ่จือ เจ้ายังสามารถไปที่ศาลขุนเขาใต้ พูดคุยกับซ่งจี๋ซินที่เปลี่ยนแปลงไปมาก กลับไปยังเมืองหลวงแห่งที่สองยังสามารถชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับหลินโส่วอีได้ มีเพียงไม่ควรมาเสียเวลาและตบะอยู่กับข้าที่นี่ ส่วนเรื่องที่ข้าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ในใจชุยตงซานย่อมรู้ดี”

ฉีจิ้งชุนยิ้มกล่าว “แต่ข้าเป็นห่วงศิษย์หลานชุยตงซานนี่นา”

ชุยตงซานที่ฝีปากด่าคนไร้พ่ายสะอึกอึ้งพูดไม่ออกเป็นครั้งแรก

ฉีจิ้งชุนยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มเด็กสาวตลอดเวลา ชุยตงซานพึมพำกับตัวเองว่า “ทัศนียภาพในโลกมนุษย์มักมองไม่พอเสมอ”

แล้วชุยตงซานก็พลันคำรามอย่างเดือดดาล “ความรู้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ฝีมือเล่นหมากล้อมสูงส่งถึงเพียงนั้น เจ้าก็หาวิธีการที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้สิ! มีปัญญาแอบเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ทำไมถึงไม่มีปัญญามีชีวิตอยู่รอดต่อไปเล่า?”

ฉีจิ้งชุนส่ายหน้าไม่พูดไม่จา

โดยไม่ทันรู้ตัวชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อที่เดิมทีมีเพียงจอนผมสองข้างที่เป็นสีขาว ตอนนี้เส้นผมทั้งศีรษะกลับขาวยิ่งกว่าชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่มแล้ว เป็นสีขาวซีดของความแห้งเหี่ยวไร้ประกายชีวิต

ชุยตงซานพึมพำ “หากอาจารย์รู้เรื่องในวันนี้ ต่อให้ปีหน้าเขาได้กลับบ้านเกิดก็จะต้องเสียใจแทบตายแน่ บนเส้นทางชีวิตของอาจารย์ต้องเดินอย่างระมัดระวังแค่ไหน เจ้าไม่รู้แล้วใครจะรู้? น้อยครั้งนักที่อาจารย์จะทำเรื่องผิดพลาด แต่เรื่องราวและบุคคลที่เขาห่วงใยสนใจ เขากลับต้องพลาดมันไปครั้งแล้วครั้งเล่า”

ชุยตงซานพลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฉีจิ้งชุนที่อยู่ข้างหลัง เขาเงยหน้า แต่กลับไม่ยินดีหันหน้ากลับไปมอง “ทางฝั่งนั้นลงมือแล้วหรือ?”

ฉีจิ้งชุนพยักหน้า “ราชครูแห่งแคว้นต้าหลี อาจารย์แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในเมื่อทั้งสองฝ่ายได้พบหน้ากันแล้ว ใครก็ไม่มีทางเกรงใจใคร วางใจเถอะ จั่วโย่ว จวินเชี่ยน เทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ล้วนจะต้องลงมือ นี่คือของขวัญจากศึกล้อมฆ่าป๋ายเหย่ที่ฝูเหยาทวีปที่ชุยฉานมอบกลับคืนให้โจวมี่”

ชุยตงซานขมวดคิ้วถาม “เซียวสวิ้นถึงกับไม่ยินดีไปตอแยเจ้าทึ่มจั่วแล้ว?”

ฉีจิ้งชุนอธิบาย “เซียวสวิ้นเห็นใต้หล้าไพศาลแล้วขวางหูขวางตา ก็เห็นใต้หล้าเปลี่ยวร้างรกหูรกตาเช่นเดียวกัน ไม่มีใครควบคุมความเอาแต่ใจของนางได้ ศิษย์พี่จั่วน่าจะตอบตกลงกับนางว่า ขอแค่ได้กลับมาจากใบถงทวีปก็จะมาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับนางให้รู้แล้วรู้รอด ถึงเวลานั้นหากเจ้ากล้าพอก็ไปเกลี้ยกล่อมศิษย์พี่จั่วเสียหน่อย ไม่กล้าก็ช่างเถิด”

ชุยตงซานไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแค่ถอนหายใจโล่งอก “ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนตำราสามล้านเล่มมาเป็นกลอนปีใหม่ปิดหน้าประตูหมดแล้ว ใช้บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่คิดและทำได้”

ฉีจิ้งชุนส่ายหน้า “เป็นความคิดที่ฉุกขึ้นกะทันหันของชุยฉาน ตามความตั้งใจเดิมของข้า เดิมทีไม่ควรลงมือทำเช่นนี้ ความตั้งใจเดิมของข้าก็คือเป็นเทพทวารบาลชั่วคราว…ช่างเถิด พูดมากไปก็ไร้ความหมาย บางทีการเลือกของชุยฉานอาจจะดียิ่งกว่า บางทีนะ ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”

ชุยตงซานกล่าว “ดังนั้นถึงท้ายที่สุด เจ้าก็ยังเลือกที่จะเชื่อชุยฉาน”

ฉีจิ้งชุนพลันเอ่ยว่า “ทั้งเป็นเช่นนี้ แล้วก็ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ข้ามองไปค่อนข้าง…ไกล”

ชุยตงซานเอ่ย “คนคนหนึ่งต่อให้มองไปไกลแค่ไหนก็สู้เดินไปไกลไม่ได้”

ฉีจิ้งชุนยิ้มตอบ “ก็ยังมีพวกเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ”

นอกศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่วมีเก้าอี้อยู่มากขนาดนั้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังจะมีอะไรให้พูดอีก

ปัญญาชนชุดเขียวที่ปรากฏตัวในศาลของลำน้ำใหญ่ เดิมทีก็คือชุยฉานที่ขอยืมตบะขอบเขตสิบสี่จากฉีจิ้งชุนไปชั่วคราว ไม่ใช่ฉีจิ้งชุนตัวจริง นี่ก็เพื่อเล่นงานการคิดจะเสริมมหามรรคาให้สมบูรณ์ของโจวมี่ เป็นทั้งแผนลับ และยิ่งเป็นแผนโจ่งแจ้ง คำนวณได้อย่างแม่นยำว่าเจี่ยเซิงแห่งไพศาลจะเอาตำราสามล้านเล่มที่สะสมไว้ออกมาอย่างไม่เสียดาย เป็นฝ่ายให้ ‘ฉีจิ้งชุน’ ได้สร้างความมั่นคงให้กับขอบเขต เป็นเหตุให้ความรู้สามลัทธิของฝ่ายหลังที่เรียกได้ว่ากว้างขวางครอบคลุม ศึกษาหาความรู้อย่างลึกซึ้งถึงแก่น มาสำแดงมหามรรคาอยู่ในฟ้าดินใหญ่ร่างกายของโจวมี่ สุดท้ายทำให้โจวมี่เข้าใจผิดคิดว่าสามารถอาศัยสิ่งนี้มาผสานมรรคา อาศัยสิ่งนี้มานั่งบัญชาการณ์ฟ้าดิน ใช้วิธีการเลิศล้ำค้ำฟ้าที่คล้ายวิธีของขอบเขตสิบห้า ใช้มหามรรคาฟ้าดินของเรือนกายตัวเองมาบดขยี้ฉีจิ้งชุนคนเดียว สุดท้ายกลืนกินรากฐานความรู้สามลัทธิของฉีจิ้งชุนที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้สำเร็จให้หมดสิ้น เป็นเหตุให้วงโคจรวิถีฟ้าของโจวมี่ยิ่งกระชับแนบแน่น ไร้ช่องโหว่ หากทำสำเร็จ โจวมี่ก็จะกลายเป็นบุคคลที่ต่อให้เป็นบรรพจารย์ของสามลัทธิก็ยังมิอาจสังหารได้ กลายเป็น ‘หนึ่ง’ ที่ใหญ่ที่สุดในหลายๆ ใต้หล้า

และหากคิดจะหลอกมหาสมุทรความรู้โจวมี่ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ฉีจิ้งชุนต้องยอมสละตบะของทั้งร่าง มอบให้แก่ซิ่วหู่แห่งต้าหลีที่มีบุญคุณความแค้นกันอย่างลึกล้ำ นอกจากนี้แล้วกุญแจสำคัญที่แท้จริงยังคงเป็นภาพบรรยากาศขอบเขตสิบสี่ที่เป็นของฉีจิ้งชุนโดยเฉพาะ เรื่องนี้เสแสร้งได้ยากที่สุด เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน ฉีจิ้งชุน ป๋ายเหย่ เฒ่าตาบอดแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ภิกษุน้ำแกงไก่ ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าแห่งอารามกวานเต๋า มหามรรคาของพวกเขามีความแตกต่างกันสูงมาก และโจวมี่เองก็เป็นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน สายตาของเขาจะอำมหิตแม่นยำถึงเพียงใด ไหนเลยจะหลอกลวงกันได้ง่ายๆ

ทว่าสายเหวินเซิ่ง ซิ่วหู่เคยถ่ายทอดความรู้แทนอาจารย์ หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์บนตำรา ความบันเทิงเริงใจอย่างพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด ชุยฉานล้วนสอนทั้งหมด อีกทั้งยังสอนได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับความรู้ของสามลัทธิและของเมธีร้อยสำนัก ตัวชุยฉานเองก็ศึกษามาอย่างลึกซึ้ง

บวกกับที่ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง ชุยฉานคือคนคนเดียวที่เคยเข้าร่วมงานโต้วาทีสามลัทธิเป็นเพื่อนซิ่วไฉถึงสองครั้ง เขาคอยรับฟังอยู่ด้านข้างตลอดเวลา อีกทั้งในฐานะลูกศิษย์คนแรก ชุยฉานจึงได้นั่งอยู่ข้างกายเหวินเซิ่ง

ดังนั้นตอนที่สยบกำราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงในยุคบรรพกาลตนที่พยายามจะข้ามมหาสมุทรขึ้นมาบนฝั่ง ชุยฉานถึงได้จงใจ ‘เปิดเผยตัวตน’ ใช้ลักษณะนิสัยของฉีจิ้งชุนตอนเป็นเด็กหนุ่มกระทืบสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นอยู่หลายครั้ง จากนั้นใช้ความรู้สามลัทธิของฉีจิ้งชุนที่ปิดด่านอยู่หกสิบปีมาเก็บกวาดสนามรบ

ส่วนความคิดส่วนหนึ่งของฉีจิ้งชุนก็ดำรงอยู่พร้อมกับชุยฉานจริงๆ ใช้ ‘บุคคลไร้ขอบเขต’ ที่เกิดจากตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตสามตัวมารวมตัวกัน สร้างสนามความรู้ขึ้นมาแห่งหนึ่ง