บทที่ 742.2 สหายเฉินผู้นั้นของข้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากเข้าสู่ช่วงราตรี ภูเขาฝูหรงก็มีลมหิมะพัดตก

อวี๋เจินอี้สู้ไม่ถอยอยู่นานมาก ไม่ว่าจะเป็นปราณวิญญาณ เรือนกายหรือจิตวิญญาณล้วนเป็นม้าตีนปลายทั้งหมดแล้ว ได้แต่เรียกใช้วิชาก้นกรุ เป็นเหตุให้พวกเถาเสียหยางสามคนตกอยู่ในฟ้าดินเล็กสระบัวแห่งหนึ่งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ

อวี๋เจินอี้ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดขี่กระบี่โงนเงน ร่างทั้งร่างพลัดตกไปจากหน้าผาเกือบจะหมดสติหัวทิ่มอยู่ในกองหิมะ กวานเต๋าเอียงกะเท่เร่ ฟ้าดินเล็กไม่อาจประคับประคองตัวได้อีกต่อไป ตราผนึกจึงคลายออกโดยอัตโนมัติ ด้านหลังคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของลู่ไถที่ไล่ตามมาฆ่าถึงที่นี่ บ้างก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่ ‘พลิกแผ่นดิน’ บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนที่ทะยานลม

ลู่ไถหรี่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นลง โบกไม้ปัดฝุ่นหางกวางบอกเป็นนัยแก่พวกหวนอินสามคนว่าอย่างได้โรมรันอวี๋เจินอี้ไม่เลิกไม่ราอีก ให้หยุดมือแต่เพียงเท่านี้

ลู่ไถชำเลืองตามองเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ที่ราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง หันหน้ามายิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ทั้งสามว่า “ไม่เลวๆ ตามหลักแล้วควรต้องให้รางวัล ต่างคนต่างกลับไปรอที่บ้านของตัวเองเถอะ”

คนทั้งสามคารวะกลับคืน ก่อนจะพากันไปจากภูเขาฝูหรง

ลู่ไถที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะเอนตัวนอนอยู่บนเตียงหยกขาวที่เขาตั้งชื่อเองว่าป๋ายอวี้จิง เอามือเท้าคางมองไกลไปพันลี้

สำหรับภัยพิบัติที่มาเยือนอย่างไม่คาดฝันในวันนี้ ดูเหมือนว่าอวี๋เจินอี้จะไม่มีถ้อยคำแสดงความไม่พอใจใดๆ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มีรูปโฉมเป็นเด็กชายเพียงแค่ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้านิ่งสงบ เอากระบี่วางพาดไว้บนหัวเข่าก่อน แล้วค่อยประคองกวานเต๋าให้ตั้งตรง เริ่มสูดลมหายใจเข้าฌานรักษาบาดแผล

ลู่ไถเห็นอวี๋เจินอี้ที่นั่งนิ่งเหมือนโครงกระดูกก็อดไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา “ในนี้มีความหมายของชีวิตที่แท้จริง อยากจะอธิบาย แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร (ประโยคภาษาจีนคือ 此中有真意,俞辨已忘言 ซึ่งมีอักษรที่เป็นชื่อของอวี๋เจินอี้ซ่อนอยู่ในประโยค) ที่แท้ก็ทึ่มทื่อเหมือนไก่ไม้”

ลู่เฉินเดินขึ้นเขามาช้าๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ พอมาถึงบนยอดเขาก็ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องนี้ก็ถูกเจ้าค้นพบด้วยหรือ?”

มองดูเหมือนเป็นคำชม แต่แท้จริงแล้วกลับไปเป็นการเหยียดหยาม

อารมณ์ของลู่ไถเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ในทันใด ตนอยากเจอลู่เฉินผู้เป็นบรรพบุรุษมาโดยตลอด แต่ผลล่ะเป็นอย่างไร? ตนได้พบเจอมานานแล้ว อยู่ตรงข้ามแต่ดันไม่รู้จัก

ส่วนเจิ้งห่วนบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ก็คือหนึ่งในการจำแลงบนมหามรรคาของลู่เฉิน

ลู่ไถถาม “ห้าความฝันเจ็ดจิตธรรม หนึ่งในนั้นที่ใต้หล้ามืดสลัวมีเจินเหรินกระดูกขาวของลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่คาดเดาได้ง่ายมาก ถ้าอย่างนั้นเยวียนฉูล่ะ? คืออันไหน? ถูกเจ้าพาไปที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือว่ายังอยู่ในใต้หล้าไพศาลมาโดยตลอด? หรืออยู่ในใบถงทวีปที่ข้าเคยเดินทางผ่าน?”

เยวียนฉู (นกประเภทหงส์ในตำนาน) ถือกำเนิดที่มหาสมุทรทักษิณ และบินอยู่ที่มหาสมุทรอุดร ไม่ใช่อู๋ถงไม่หยุดพัก ไม่ใช่ผลเลี่ยนสือไม่กิน ไม่ใช่น้ำพุหลี่เฉวียนไม่ดื่ม อริยะปราชญ์ยุคโบราณได้ให้คำอธิบายไว้ว่า ‘สิ่งนี้คือเผ่าพันธ์ของหงส์’

และใบถงทวีป ตามหลักแล้วแน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดและดีเยี่ยมที่สุดให้ลู่เฉินเอาสถานะบนมหามรรคานี้มาเก็บไว้

หลี่ ในอดีตชุดคลุมที่เฉินผิงอันสวมใส่คือชุดคลุมจินหลี่

และชุดคลุมจินหลี่ตัวนั้นเฉินผิงอันก็ได้มาจากร่องเจียวหลง ส่วนเจียวหลงก่อกำเนิดตัวนั้นก็ได้มันมาจากถ้ำตระกูลเซียนแห่งหนึ่งบนทะเลบ้านของตัวเอง เล่าลือกันว่าเป็นของตกทอดของผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์

เซียนจากจวนเทียนซือคนหนึ่ง เหตุใดตระกูลถึงแตกแยก สุดท้ายกายดับลาจากโลกนี้ไปบนมหาสมุทรได้? ถึงขั้นที่ว่าจะตายแล้วก็ไม่ยินดีหวนกลับไปยังภูเขามังกรพยัคฆ์?

น่ารำคาญหรือไม่? พอคิดถึงเส้นสายพวกนี้อย่างลึกซึ้ง ลู่ไถก็จะต้องหงุดหงิดสุดขีด ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเส้นสายที่ลู่เฉินฝังกลบไว้ไกลพันลี้ แต่ใครเล่าไม่กลัวหนึ่งในหมื่น? เมื่อก่อนเป็นเฉินผิงอันที่กลัว ลู่ไถไม่กลัวแม้แต่น้อย กระทั่งลู่ไถได้เจอกับลู่เฉิน ก็กลายเป็นว่าเขาไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป เริ่มเปลี่ยนมาเป็นกลัวเสียแล้ว

“เด็กหนุ่มหน้าตางดงามชุดเขียว เทพเซียนน้อยเข็มขัดเหลือง สีดอกท้อดุจดั่งอาชา ผลต้นอวี๋ดุจเหรียญเงิน เจ้าลองดู เจ้าลองฟัง เงินอวี๋เฉียนของถนนเรียกสวรรค์สำนักฝูจี เทพเซียนน้อยมอบให้เด็กหนุ่มไปเป็นขุนนาง นี่ก็ไปเป็นอิ่นกวานอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่หรือ?”

ลู่เฉินตอบไม่ตรงคำถาม เขาพูดเองเออเองพลางโบกไม้เท้าเดินป่าสีเขียวในมือปัดลมหิมะรอบด้านอุตลุดไปด้วย “เด็กหนุ่มใกล้ปราณกระบี่ จอมยุทธผู้กล้าต้านหมื่นศัตรู ร้องคำรามเดือดดาล ทหารม้านับหมื่นล้วนสะพรึงหนี”

เมื่อมหามรรคามิอาจดำเนินไปในใต้หล้า ก็นั่งเรือพายล่องไปยังมหาสมุทร

ในอดีตตอนอยู่ใต้หล้าไพศาลอันเป็นบ้านเกิด ลู่เฉินให้คนพายเรือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อช่วยพายเรือให้ คนทั้งสองล่องเรือออกทะเลเดินทางไกล แน่นอนว่าลู่เฉินย่อมต้องเคยขึ้นฝั่งไปเที่ยวชมอารามกวานเต๋าแห่งนั้นมาก่อน

ส่วนแจกันสมบัติทวีป ลู่เฉินก็ย่อมต้องเคยไป เจียวหลงของแคว้นสู่โบราณ แคว้นเสินสุ่ย สายของผีสาวสือโหรว เมล็ดพันธ์ดอกบัวม่วงทองที่เว่ยป้อเก็บรักษาไว้ ล้วนเป็นโชควาสนาที่ลู่เฉินมอบให้ตามโอกาสทั้งสิ้น ปล่อยให้เรื่องราวและบุคคลถือกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วเก้าทวีปของไพศาล ลู่เฉินล้วนเคยไปเยือนมาหมดแล้ว แต่ก็เป็นแค่การเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ ล่องเรือเดินทางอย่างเสรี ไม่มีร่องรอยบนภูเขาหรือเรื่องเล่าลือของตระกูลเซียนใดแพร่ต่อมาก็เท่านั้น

ก็เหมือนกับร้านของตรอกฉีหลงที่ในอดีตมีเถ้าแก่น้อยอยู่คนหนึ่งชื่อว่าสือชุนเจีย มัดผมแกละ อายุน้อยๆ ก็เชี่ยวชาญเรื่องการทำการค้า ยืนอยู่บนมานั่งหลังโต๊ะคิดเงิน ดีดลูกคิดรางเล็กเสียงดังป้อกๆ แป้กๆ จนคนมองตาลาย แล้วก็มักจะพกลูกคิดสีทองอันจิ๋วไว้ในชายแขนเสื้อข้างหนึ่งอยู่เสมอ เป็นของที่นางได้มาตอนพิธีเสี่ยงทายจับของในยามเยาว์ ในความเป็นจริงแล้วลูกคิดเล็กอันนั้นก็เป็นลู่เฉินที่แอบมอบให้แก่ตระกูลสือ

เพียงแต่ว่าการกระทำที่เป็นไปตามแต่ใจเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ลู่เฉินคนเดียวที่ทำ ยกตัวอย่างเช่นภายหลังเมื่อเซียวสวิ้นเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ได้นำชุดคลุมอาคมที่โจวมี่หลอมโชคชะตาที่เหลืออยู่ของสามทวีปแห่งไพศาลโยนทิ้งไปในมหาสมุทรใหญ่ แล้วมันก็จมลงสู่ใต้มหาสมุทรไปทั้งอย่างนี้ รอคอยให้คนมีวาสนามาเก็บเอาไป ไม่รู้ว่าอีกกี่ร้อยกี่พันปีถึงจะปรากฏตัวบนโลกอีกครั้ง ส่วนเฝ่ยหรานที่อยู่ท่าเรือใบท้อ หลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วก็ไม่ได้เก็บตราประทับหนังสือที่โจวมี่มอบให้เอาไว้ แต่โยนลงไปในน้ำของท่าเรือใบท้อราชวงศ์ต้าเฉวียน แต่จุดที่ลู่เฉินไม่เหมือนกับพวกเขาก็คือลู่เฉินสามารถปล่อยไปได้ก็สามารถเก็บกลับมาได้เช่นกัน

ลู่เฉินยืนอยู่ริมหน้าผา ทิ้งไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันนั้นออกไป พอมันหล่นลงบนพื้นก็กลายร่างเป็นเส้นทางมังกรสีเขียวเส้นหนึ่ง สันหลังเขาเอนเอียงเข้าหาริมอาณาเขตของภูเขาฝูหรง ราวกับว่าดำรงอยู่มานานนับพันนับหมื่นปีแล้ว ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับลู่ไถว่า “อย่าดูถูกบรรพบุรุษบ้านเจ้า ข้าไม่คิดจะจงใจเล่นงานใคร ครั้งเดียวที่ยอมแหกกฎก็เพื่อศิษย์พี่ใหญ่จึงจำต้องไปทำตัวเป็นคนชั่วที่ถ้ำสวรรค์หลีจู นอกจากนี้โชคและเคราะห์ไร้ประตูมีแต่คนที่ไปเรียกหามันมาเอง แค่นี้เท่านั้น ตอนนั้นที่ข้าตั้งแผงดูดวงอยู่ในเมืองเล็ก อาศัยลูกค้าคนหนึ่งให้พลิกฝ่ามือกลับไปกลับมา เก็บและปล่อยโชควาสนาเล็กๆ อย่างหนึ่งมา ดังนั้นจึงเป็นการเผยเส้นทางความคิดให้แก่ฉีจิ้งชุน แน่นอนว่าฉีจิ้งชุนต้องมองเห็น แล้วก็ต้องเข้าใจ”

ลู่เฉินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “แต่เมื่อถึงคราวที่เจ้าต้องการวางแผนรับมือกับเรื่องเรื่องหนึ่ง ก็จะต้องเล่นงานคนหลายคนไปพร้อมๆ กันด้วย”

“ข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ชอบถูกมัดมือมัดเท้าเสียด้วย ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ข้ามาเยือนโลกมนุษย์รอบหนึ่งก็เพื่อสามารถยืดแขนบิดขี้เกียจอยู่บนเรือที่เดินทางยามค่ำลำนั้นได้อย่างสบายใจ”

ลู่เฉินส่ายหน้าให้ลู่ไถ สายตาฉายแววเวทนา จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ เต๋ากล่าวว่าอย่างไร แล้วจะเอาอะไรมาพูดกับข้าว่าเต๋าเป็นอย่างไร? เจ้าลองดูตัวเจ้าเองสิ เกิดมาก็มีร่างของเต๋า หายากถึงเพียงใด ผลกลับกลายเป็นว่าทำพิธีอยู่ในเปลือกหอย เป็นเทพเซียนตัวน้อยแล้วจะมีอิสระเสรีมากจริงหรือ? ส่วนจิตหยินนั้นของเจ้า ข้ากลับรู้สึกว่ามหัศจรรย์กว่าร่างจริงของเจ้าเสียอีก หากรู้อย่างนี้แต่แรกข้าก็คงไปหาคนผู้นั้น ไม่มาหาเจ้าแล้ว”

อันที่จริงลู่ไถได้ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลไปอยู่ที่ใต้มืดสลัวนานแล้ว อีกทั้งยังมีเส้นใยหนึ่งโยงใยเอาไว้ ประหนึ่งเส้นใยของสายบัวที่ทำให้ลู่ไถได้รู้เรื่องในพื้นที่มงคลดอกบัวของใต้หล้าแห่งที่ห้า แล้วก็รู้เรื่องของใต้หล้ามืดสลัวในเวลาเดียวกัน

ทุกวันนี้ลู่ไถมีขอบเขตแค่ก่อกำเนิดเท่านั้น แต่กลับไม่ต้องรับพันธนาการจากสองใต้หล้า เรือนกายปลาหยินหยางซึ่งเป็นร่างของเต๋าก็มหัศจรรย์ลี้ลับเช่นนี้เอง แทบจะใกล้เคียงกับคำกล่าวของมรรคาจารย์เต๋าที่บอกว่า ‘ไม่ออกจากบ้านก็รู้เรื่องราวในใต้หล้า’ คล้ายคลึงกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินสองคนของตำหนักสุ้ยฉูอย่างมังกรในถ้ำจางหยวนป๋อ และราชาแห่งภูเขาอวี๋โฉว เพราะว่าเพียงแค่ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลไปยังภูเขาห้อยหัว วางแผนทำเรื่องใหญ่ลับๆ เรื่องหนึ่งกับคนเฝ้าปีที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ก็ย่อมไม่มีทางทำเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน จิตหยินกับร่างจริง เนื่องจากอยู่ห่างไกลกันคนละใต้หล้า ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีการเชื่อมโยงกัน จึงแทบจะกลายเป็นคนสองคนแล้ว กระทั่งจิตหยินกลับคืนสู่ร่าง จิตใจถึงจะผสานรวมเป็นหนึ่ง

ลู่เฉินเอ่ยต่ออีกว่า “ส่วนคำกล่าวที่ว่าไม่มองนอกหน้าต่างก็รู้การเปลี่ยนแปลงของวิถีฟ้านั้น ต่อให้คุณสมบัติของเจ้าจะดีแค่ไหน ก็ยังคงอยู่ห่างไกลเกินอยู่ดี ลำพังเพียงแค่อาศัยคำว่าไม่ใกล้เคียงกับความชั่วร้ายไม่รู้จักความดีงาม ก็ยังไม่ค่อยพอสักเท่าไร จะทำอย่างไรดีล่ะ?”

ลู่ไถหัวเราะเสียงเย็น “ไม่รบกวนให้ท่านต้องเปลืองความคิดหรอก เวลานี้ควรจะไปดูแลจิตแห่งมรรคาของเจ้าทึ่มอวี๋มากกว่ากระมัง”

ลู่เฉินหันหน้าไปมองอวี๋เจินอี้ที่อาศัยแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าเสี้ยวหนึ่งคอยวกไปวนมาอยู่ในถ้ำสวรรค์นานหลายพันปี ยิ้มแล้วเอ่ยปลอบใจว่า “เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้า ข้ายังคงเป็นข้า คนฟ้าบอกลากันนับแต่นี้ ไม่เพียงแต่เจ้า บัณฑิตเจิ้งห่วนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ขจัดห้าความฝัน จิตธรรมทั้งหมดที่เหลือก็ล้วนเป็นเช่นนี้”

อวี๋เจินอี้สีหน้าซีดขาว

“เมื่อนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นตัดสินใจว่าจะตั้งชื่อของเจ้าในชีวิตนี้ว่าอวี๋เจินอี้ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนั้นมองความจริงออกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมอบกระบี่ประจำกายซึ่งเป็นของเก่าของคนโบราณถูหยวนให้กับมือเจ้า เจ้าอารามผู้เฒ่าชอบจับตามองถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาที่อยู่เหนือหัวพื้นที่มงคลตลอดเวลา เพื่องัดข้อกับอาจารย์ของข้า แต่แท้จริงแล้วข้าเองก็มองเขาจากโลกมนุษย์อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน”

ลู่เฉินดีดนิ้วหนึ่งที สลายภาพมายาของกวานดอกบัวของแทนตัวเจ้าลัทธิที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นของอวี๋เจินอี้ทิ้งไป “เจ้าคิดว่าตัวเองสวมมันไม่ได้หรือ? อันที่จริงคิดผิดไปหรือเปล่า?”

อวี๋เจินอี้ไร้คำพูดตอบโต้ เหงื่อแตกท่วมตัว ความรู้สึกว่าฟ้าดินกลายเป็นภาพมายาทำให้คนหายใจไม่ออก เหมือนมีหิมะก้อนใหญ่ทับถมเต็มทะเลสาบหัวใจของอวี๋เจินอี้

ลู่เฉินยื่นนิ้วมาจิ้มหว่างคิ้วของอวี๋เจินอี้ผ่านความว่างเปล่า “หลับไปซะ เมื่อตื่นขึ้นมา อวี๋เจินอี้ยังคงเป็นอวี๋เจินอี้ หลังจากนี้ก็จะเป็นแค่อวี๋เจินอี้เท่านั้นจริงๆ แล้ว โชคเคราะห์ได้เสีย ล้วนไม่รับรู้แม้แต่น้อย”

ความรู้สึกของลู่ไถร่วงดิ่งลงเหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทุกถ้อยคำของลู่เฉินมองดูเหมือนเป็นคำพูดเหลวไหลที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักอย่าง แต่กลับทำให้ลู่ไถรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นทบทวี

ในใต้หล้ามืดสลัว นักพรตหญิงคนหนึ่งที่เดิมทีชื่อเสียงไม่โด่งดัง หลังจากพบเจอกันก็ตกหลุมรักจิตหยินเดินทางไกลของลู่ไถทันที

แน่นอนว่าเป็นความรู้สึกของนางฝ่ายเดียว

อันที่จริงหากทั้งสองฝ่ายคิดจะพูดถึงความเกี่ยวข้องด้านสำนักการสืบทอดอย่างจริงจัง ก็มีความสัมพันธ์ที่วกไปวนมาอย่างตื้นเขินอยู่จริงๆ นางคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่หลิ่วชีและเฉาจู่สองคนในใต้หล้ามืดสลัวร่วมกันรับมาไว้ ดังนั้นนางจึงมีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลสือไผแห่งนั้น

ตอนที่ทั้งสองฝ่ายพบเจอกัน นางยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี และยิ่งเพิ่งฝึกตนได้แค่ไม่กี่ปี ก่อนหน้านี้นางหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวนานหลายปี ก่อนจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบในก้าวเดียว

นี่ทำให้นางกลายเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าในทันที

ลูกศิษย์เอาอย่างอาจารย์นี่นะ หลิ่วชีหลางนักประพันธ์แห่งไพศาล ก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ในฟ้าดินที่เปลี่ยนจากผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามขอบเขตเส้นเอ็นหลิวให้กลายมาเป็น ‘ขอบเขตรั้งคน’

เจี่ยเซิงแห่งไพศาล แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนแรกในโลกที่สร้างวีรกรรมระดับนี้ได้สำเร็จ แต่กลับเป็นหลิ่วชีที่ในภายหลังวิเคราะห์การกระทำเช่นนี้อย่างละเอียด ทำให้ผู้ฝึกตนในยุคหลังคิดจะเดินขึ้นฟ้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบโดยตรงกลายเป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริง

ส่วนหนึ่งในอาจารย์สองท่านของลู่ไถ ท่านที่ไม่ใช่โจวจื่อนั้น ก็เป็นสหายรักที่เคยออกเดินทางท่องเที่ยวโลกมนุษย์ไปพร้อมกับหลิ่วชีและเฉาจู่

ลู่ไถนั้นทำตามคำสั่งของอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างโจวจื่อ นั่นคือยามที่จะออกจากพื้นที่มงคลในอนาคตก็จำเป็นต้องมีการปล่อยจิตหยางออกเดินทางไกลไปหนึ่งครั้ง ส่วนจะไปที่ไหน ไปพบเจอใครหรือทำอะไร อาจารย์ล้วนไม่เคยบอกกล่าว แค่ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาเท่านั้น หากเอ่ยตามคำพูดของอาจารย์ก็คือให้ชะตาฟ้าเป็นผู้ลิขิต โชคต้องสร้างขึ้นเอง

การที่ลู่ไถออกเดินทางไกลไปเยือนพื้นที่มงคลสือไผเพราะได้ข่าวลับบนยอดเขาเรื่องหนึ่งของใต้หล้าไพศาล เล่าลือกันว่าตำราที่เฒ่าจันทรายุคบรรพกาลพลิกเปิดตรวจสอบอยู่ในมือเล่มนั้น ก็คือสมุดวาสนาชีวิตคู่

และสมุดบันทึกชะตาครองคู่เล่มนั้น อย่างน้อยก็มีครึ่งเล่มที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะตกอยู่ในมือของหลิ่วชี และนี่ก็คือเหตุผลหลักที่ทำไมหลิ่วชีถึงได้ออกไปจากใต้หล้าไพศาลอย่างเงียบเชียบ

จิตหยินที่ออกจากช่องโพรงของลู่ไถ ทุกวันนี้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ร่วมกับเด็กสาวคนนั้นก่อตั้งเหลาสุราในตลาดของเมืองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้น้ำ อยู่ห่างจากตลาดปลามาแค่สองลี้ เช้าตรู่ของทุกวันลู่ไถจะต้องไปเลือกอาหารสดจากแม่น้ำด้วยตัวเอง แล้วยังมีอารมณ์สุนทรีพอที่จะลงมือทำอาหารด้วยตัวเองอีกด้วย ส่วนแม่นางคนนั้น ถึงอย่างไรการฝึกตนก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง จึงยินดีที่จะร่วมหาเงินไปกับลู่ไถ ไม่ใช่คู่รักแต่ยิ่งกว่าคู่รัก

ใต้หล้ามืดสลัวมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากใต้หล้าไพศาลอย่างมาก นักพรตเต๋าล่างภูเขามีมากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังอยู่ในราชสำนักและฝ่ายของทางการ อยู่ปะปนร่วมกับชาวบ้านในโลกมนุษย์ เป็นเหตุให้เซียนซือหาได้ไม่ยาก กลับเป็นของสดในแม่น้ำและของป่าหายากที่เอะอะทางราชสำนักก็สั่งห้ามที่หาได้ยากมากจริงๆ

นอกจากนี้แล้วที่ท่าเรือของเมืองแห่งนั้นยังมีท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทางราชสำนัก หากมีสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามหรือเด็กสาวสวมชุดสีสันหรูหราผ่านมาทางนี้ จะต้องเจอกับหายนะ เพราะจะโดนลมแรงและกรวดทรายเสียดสีโฉมหน้าของสตรีให้เสียหาย

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมลู่ไถถึงยินดีเลือกตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่

ลู่ไถไม่ค่อยชอบสตรีที่หน้าตาดีเกินไปนัก

ลู่เฉินเดินมานั่งลงบนเตียงหยกขาว ส่วนลู่ไถนั้นลุกขึ้นขยับตัวไปยืนที่อื่น

ลู่เฉินพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “เยวียนฉูทิศใต้ มหาสมุทรเหนือมีปลา ขอแค่ข้ายินดี ข้าก็สามารถทำให้จิตแห่งมรรคาของเฉินผิงอันแตกสลายแล้วแตกสลายอีก ห้องหัวใจเสียหายยับเยินนับแต่นี้ไปร้อยปีพันปี แต่หากทำเช่นนี้จะมีความหมายตรงใด? ก็แค่การใช้ขอบเขตมากดข่มผู้อื่นเท่านั้น ขนาดเด็กสาวคนหนึ่งยังเอ่ยประโยคว่า ‘มหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้’ ออกมาได้ แล้วนับประสาอะไรกับข้า บอกตามตรง เรื่องราวนั้นมีมากมาย ข้ายุ่งมาก คนที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง คุณสมบัติโดดเด่น จึงได้ออกเดินทางตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มและมีชื่อเสียงเร็วมากอย่างเจ้า แน่นอนว่าต้องดีมาก แต่หากมีใครที่ประสบความสำเร็จตอนอายุมาก ก็ยิ่งหาได้ยากมากกว่า ข้าไม่เคยเชื่อคำกล่าวว่าเมล็ดพันธ์เทพเซียนอะไรนั่น ขอแค่ฝึกฝนจิตใจได้มากพอก็คือเจินเหรินแล้ว”