ลู่ไถเอ่ยเนิบช้า “ความงดงามยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ ความบางเบาของฟ้าดิน สัจธรรมอันแจ่มชัดของหมื่นสรรพสิ่ง การแปรเปลี่ยนบนมหามรรคา อริยะบุคคลไม่ปกครองด้วยกฎหมายอันเข้มงวด สามารถพิศมองฟ้า”
ลู่เฉินลุกขึ้นยืนพลางพูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “ในที่สุดก็เอ่ยคำพูดที่ลูกหลานสกุลลู่สมควรเอ่ยบ้างแล้ว มาเยือนครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว”
ลู่ไถคล้ายจะกระจ่างแจ้ง เหมือนมีแสงสว่างเปล่งวาบขึ้นในหัว เขาเองก็หัวเราะเสียงก้องเช่นกัน “คนโกหก! จงใจแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนกับข้า! หากท่านตัดใจจากจิตธรรมเจ็ดวัตถุไม่ลงแล้วละเมิดจิตแห่งมรรคาของตน ไม่แน่ว่าอาจต้องขอบเขตถดถอยเพราะเหตุนี้! และนี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าท่านยังไม่อาจมองทะลุความฝันทั้งห้าได้เข้าใจอย่างปรุโปร่ง เห็นชัดๆ ว่ท่านต้องการใช้เจ็ดวัตถุในจิตธรรมมาช่วยไขความฝันของตัวเองไปทีละอย่าง! โดยเฉพาะฝันที่กลายเป็นผีเสื้อ อาจารย์ข้าบอกว่าฝันนี้ทำให้ท่านปวดหัวเป็นที่สุด เพราะตัวท่านเองตัดใจตื่นจากฝันนี้ไม่ลง…ดังนั้นปีนั้นฉีจิ้งชุนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับแผนการที่ซ่อนเร้นอำพราง แผนการที่มองดูเหมือนลี้ลับเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบนี้ของท่านแม้แต่น้อย!”
ลู่ไถส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านจะสามารถทำลายสภาพจิตใจเขาได้จริงๆ”
“ลูกหลานสกุลลู่ของข้า ในที่สุดก็มีคนที่มีสมองเหมือนบรรพบุรุษบ้างแล้ว”
ลู่เฉินปรบมือเบาๆ หรี่ตาพยักหน้ายิ้ม “หวนนึกถึงวิธีการของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว แล้วหวนนึกถึงสรรพชีวิตในพื้นที่มงคลของใต้หล้า แล้วก็นึกไปถึงพื้นที่มงคลกระดาษขาว สุดท้าย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ฝันกันได้ทั้งนั้น ฝันของตัวเอง ฝันของคนอื่น ฝันของหมื่นสรรพสิ่ง หากแท้จริงแล้วเจ้าและข้าในเวลานี้ล้วนอยู่ในฝันที่ไม่รู้ว่าเป็นฝันของใครล่ะ?”
ลู่ไถส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ลู่เฉินเก็บฝ่ามือกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จำไว้นะ คราวหน้าต้องพูดจาดีๆ โดยเฉพาะเวลาที่พูดคุยกับบัณฑิตต้องหัดเกรงใจกันสักหน่อย หัดเรียนรู้เอาอย่างเฉินผิงอันที่เจ้าคิดถึงอยู่ตลอดเสียบ้าง เจ้าดูวาสนากับผู้อาวุโสของเขาสิ ดีกว่าเจ้ามากมายนัก ปีนั้นข้าก็เห็นดีในตัวเขาอย่างมากแล้ว ยังสอนให้เขารู้จักตัวอักษรด้วย เขาไม่ยอมรับอาจารย์อย่างข้า แต่ข้ายอมรับลูกศิษย์อย่างเขานะ วันหน้ารอให้เขาไปถึงใต้หล้ามืดสลัวจะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ น่าสนใจอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ”
ลู่เฉินพลันตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียวซึ่งน่าขันยิ่ง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปยังม่านฟ้า ตะโกนดังลั่นว่า “หนึ่งฝันพันปี กระบี่บินหมื่นลี้ อากาศแห้งแล้ง ระวังไฟไหม้!”
ลู่ไถขมวดคิ้ว “เล่นอะไรของท่าน?”
ลู่เฉินเก็บมือกลับมา ปล่อยกระบวนท่าของชาวยุทธในหมู่ชาวบ้าน แล้วทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน “ค่ำคืนลมหิมะที่ไม่ได้พบเจอมานานมักทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบายเช่นนี้แล”
สภาพจิตใจของลู่ไถกลับคืนมาสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว ถามพร้อมหัวเราะคิกคัก “ท่านบรรพบุรุษยังไม่พาอวี๋เจินอี้ไสหัวไปด้วยกันอีกหรือ? ไม่สู้พาลู่เฉินตัวนั้นไปด้วยกันเลย ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ลูกหลานอกตัญญูมอบให้ท่านบรรพบุรุษเพื่อแสดงความเคารพก็แล้วกัน”
ลู่เฉินคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ชุดเขียวเข็มขัดเหลือง อันที่จริงเข้าคู่กันดีมาก”
ลู่ไถสีหน้ามืดทะมึน
ลู่เฉินถอนหายใจ “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวันหน้าเจ้าต้องอ่านหนังสือให้มาก ทุกวันนี้เฉินผิงอันพูดมากกว่าเจ้าแล้ว หากเอาไปใส่ไว้ในลำดับรายชื่อของยอดฝีมือในถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เขาก็สามารถเบียดอันดับรายชื่อกับหม่าหลันฮวาแห่งตรอกซิ่งฮวา สตรีหม้ายแห่งตรอกหนีผิง และยังมีแม่ของหลี่ไหวได้แล้ว ขนบธรรมเนียมของเมืองเล็กเรียบง่ายซื่อสัตย์ สมกับคำเล่าลือจริงๆ ปีนั้นข้าเคยได้เรียนรู้กับตัวเองมาก่อน”
……
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ถือไม้เท้าไม้ไผ่สวมรองเท้าสาน ข้างกายมีเด็กรับใช้สะพายหีบหนังสือคนหนึ่ง กับสาวใช้สะพายห่อสัมภาระอีกคนหนึ่ง ตอนที่นางเดินมีเสียงกระทบกันของขวดไหมากมาย
คนสามคนมาถึงอารามเสวียนตูใหญ่ ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กรับใช้และสาวใช้ที่ทำท่าหมายมั่นปั้นมือด้วยความรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เขาผงกศีรษะเบาๆ สาวใช้ก็หยิบเอาเทียบขอเข้าพบที่เตรียมมานานแล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้กับคนเฝ้าประตูของอาราม วัสดุของเทียบเชิญทำจากไผ่เขียวทั่วไป เขียนด้วยหมึกทั่วไป แต่กลับไม่เขียนชื่อบอกเอาไว้ แค่ใช้หมึกเข้มลงน้ำหนักเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘ตัวอักษรที่ข้าเขียนเน้นอารมณ์ไม่มีวิธีการที่ตายตัว’
นักพรตหญิงสะพายกระบี่รับเทียบขอพบเอาไว้ เรื่องของการเขียนตัวอักษรไม่ใช่สิ่งที่นางถนัด เพียงแต่มองดูแล้วน่าจะใช้พลังอย่างมาก ใช้การตวัดแปรงโดยเน้นหนักตรงกลางตัวอักษรทั้งหมด ใช้น้ำหมึกชุ่ม พลิกกลับไปกลับมาอ่านอยู่สองรอบก็ยังมองอะไรไม่ออก นางอึ้งตะลึง สุดท้ายได้แต่แน่ใจว่าไม่ใช่คนสนิทคุ้นเคยอะไรของอารามบ้านตน จึงแค่เอ่ยกับผู้เฒ่าอย่างเกรงใจว่า “ตอนนี้ทางอารามปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ต้องขอโทษด้วย”
มองผู้เฒ่าที่ดูเหมือนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง นักพรตหญิงก็ให้รู้สึกสงสารเล็กน้อย “หากรู้จักเจ้าอาราม ต่อให้จะแค่เคยเห็นหน้ากันไกลๆ ข้าก็จะช่วยไปแจ้งให้สักคำ นอกจากนี้แล้วก็ไม่สามารถเข้าไปในอารามได้เลยจริงๆ”
นักพรตหญิงชุนฮุย ชื่อเดิมคือหานจ้านหราน มีตบะขอบเขตหยกดิบอย่างแท้จริง ก็คือคนที่ลู่เฉินยุแยงให้ไปเป็นแม่บุญธรรมของเจียงอวิ๋นเซิงแห่งนครชิงชุ่ย
ตามคำกล่าวของบรรพจารย์เจ้าอารามบ้านตน คนเฝ้าประตูของอารามเสวียนตูใหญ่ ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้ ต้องเป็นสตรีที่หน้าตาดี รั้งแขกเอาไว้ได้ แล้วยังต้องต่อสู้เก่ง ขวางคนไว้ได้
มองภาพบรรยากาศรอบกายผู้เฒ่าคนนี้ คือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ส่วนเด็กรับใช้และสาวใช้กลับไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนอะไรด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ผู้เฒ่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตูใหญ่ที่แม้กระทั่งสามเจ้าลัทธิของป๋ายอวี้จิงยังไม่กล้าบุกเข้ามาโดยพลการ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นขอบเขตอะไร อยู่ที่นี่ล้วนมีใครเห็นความสำคัญนัก
เด็กหนุ่มพลันตื่นเต้นดีใจ เขากระแอมหนึ่งที หยิบม้วนภาพขนาดจิ๋วออกมาจากชายแขนเสื้อ คลี่ออกเล็กน้อย เผยให้เห็นตัวอักษรสี่ตัวว่าซีหยวนหย่าจี๋ที่อยู่บนภาพแรก เอ่ยเตือนนักพรตหญิงเสียงเบา “หนึ่งในสามการรวบรวมวรรณกรรมใหญ่ของยุคปัจจุบัน ก็คือสิ่งที่วาดอยู่บนม้วนภาพนี้ พี่หญิงเทพธิดาน่าจะรู้จักกระมัง คนที่อยู่ในภาพก็คืออาจารย์ของข้า”
เด็กสาวพึมพำ “อาจารย์ไม่ทันระวังเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน เจ้าโอ้อวดอะไรเหลวไหล”
พวกเขาสองคนเดิมพันกันว่าอารามเสวียนตูใหญ่จะเคยได้ยินชื่อแซ่ของอาจารย์บ้านตนหรือไม่ คนหนึ่งอาศัยตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบขอเข้าพบ อีกคนหนึ่งอาศัยม้วนภาพรวบรวมวรรณกรรม
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูออกมาพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน แล้วก็ไม่คารวะตามแบบพิธีเต๋า แต่กุมหมัดเขย่าแรงๆ เหมือนชาวยุทธ “ไม่ได้ออกไปต้อนรับแต่ไกล เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว! ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก!”
นักพรตหญิงชุนฮุยรู้สึกกังขาเล็กน้อย
สรุปแล้วเป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ ถึงสามารถทำให้บรรพจารย์เจ้าอารามออกจากประตูมาต้อนรับได้?
ใต้หล้ามืดสลัวแห่งหนึ่ง อย่างมากก็มีคนแค่สองมือนับเท่านั้น
นักพรตเฒ่าตำหนิชุนฮุย “กูไหน่ไน (คำเรียกหญิงสาวที่คนในบ้านเรียกหญิงสาวที่แต่งงานไปแล้ว) มัวอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบรับเทียบขอพบและม้วนภาพเอาไว้อีก จากนั้นไปเตรียมพู่กันและหมึกดีๆ มา จำไว้ว่าเอากระดาษเซวียนจื่อระดับสูงสุดจากภูเขาเซียนจั้งมาด้วยสามมีด (กระดาษเซวียนจื่อหนึ่งมีดเท่ากับหนึ่งร้อยแผ่น) และยังมีแท่นฝนหมึกพักมังกรที่ข้ายืมมาจากอารามสุ้ยฉูด้วย ก่อนหน้านี้ไม่ทันระวังทำหายไปไม่ใช่หรือ วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดี ลองไปหาดูอีกที ไม่แน่ว่าอาจไม่ทันระวังหาเจอก็ได้ และยังมีพู่กันเกิดบุปผาที่ข้าซื้อมาจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผากับก้อนหมึกซูฮว่าโจวด้วย เอามาพร้อมกันเลย ถึงเวลานั้นเจ้าคอยฝนหมึกอยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง ชายแขนเสื้อแดงเพิ่มความหอม (เปรียบเปรยว่ามีสาวงามคอยอยู่เคียงข้างยามอ่านตำรา) นี่นะ เจ้าก็อย่าได้รู้สึกอยุติธรรมไปเลย นี่เป็นเกียรติใหญ่เทียมฟ้า ดีกว่าไปเป็นแม่บุญธรรมให้ลู่เฉินที่ป๋ายอวี้จิงเสียอีก หากจะว่ากันจริงๆ จ้านหรานชื่อนี้ของเจ้าตั้งได้ดีนัก มิน่าเล่าถึงได้มีโชควาสนาเช่นวันนี้ ช่างเถิดๆ เจ้ามันหัวทึบ ข้าทำเองแล้วกัน…”
อันที่จริงไม่ต้องให้นักพรตหญิงชุนฮุยทำอะไร ระหว่างที่นักพรตเฒ่าเอ่ยก็มือไวตาไว ใช้สองนิ้วของมือข้างหนึ่งคีบเทียบขอพบมาไว้แล้ว สาวใช้กำปลายอีกด้านหนึ่งของเทียบไผ่เขียวเอาไว้แน่น ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมมอบออกไป เดิมทีก็แค่เอาออกมาตากแดดเท่านั้น ไม่ได้คิดจะมอบให้ใครเสียหน่อย ส่วนอีกมือหนึ่งของนักพรตเฒ่าก็คว้าม้วนภาพเอาไว้แล้ว เด็กรับใช้กลับใช้สองมือจับปลายอีกด้านของม้วนภาพ ดึงยื้อจนร่างเอนไปด้านหลัง ราวกับกำลังชักคะเย่อกับนักพรตเฒ่าอย่างไรอย่างนั้น เด็กรับใช้ติดตามอาจารย์ออกเดินทางท่องไปครึ่งใต้หล้ามืดสลัวแล้ว ยังไม่เคยเห็นนักพรตที่ไหนหน้าไม่อายเท่านี้มาก่อนเลย
ผู้เฒ่ายืนอยู่บนริมขอบของขั้นบันได ยิ้มเอ่ยว่า “ของทั้งสองชิ้นมอบให้เจ้าอารามซุนก็แล้วกัน”
สาวใช้กับเด็กรับใช้จึงได้แต่ปล่อยมืออย่างไม่ยินยอม จากนั้นก็ถอยกลับไปยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ นักพรตเฒ่าหัวเราะร่าพลางเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ ซูจื่อผู้นี้เกรงใจกันเกินไปแล้ว มาเยือนถึงที่ก็มาสิ ยังจะต้องมอบของขวัญอะไรให้อีก
เด็กทั้งสองมองสบตากัน แล้วก็หันไปมองอาจารย์ของตัวเองอย่างเป็นกังวลพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย กังวลว่าจะถูกนักพรตเฒ่าหลอกเอากระดาษเซวียนจื่อสามมีดไปจริงๆ
แต่ว่ากระดาษเซวียนจื่อภูเขาเซียนจั้ง แท่นฝนหมึกพักมังกรของตำหนักสุ้ยฮู พู่กันเกิดบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา รวมไปถึงก้อนหมึกซูฮว่าโจวที่หายสาบสูญไปนานแล้วนั้น สี่สมบัติแห่งห้องหนังสือรวบรวมได้ครบถ้วนเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากจริงๆ
นักพรตหญิงชุนฮุยคิดเป็นร้อยตลบก็ไม่เข้าใจ หรือว่าจะเป็นแขกที่เดินทางมาไกลซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสองใต้หล้า คือหลิ่วชีที่เคยทิ้งทางลัดในการฝึกตนขอบเขตรั้งคนไว้ให้กับใต้หล้าไพศาลคนนั้น? ไม่เหมือนเลยนี่นา เล่าลือกันว่าหลิ่วชีหลางมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับยาก หล่อเหลารูปงาม ไม่มีทางหน้าตาแก่ชราเหมือนผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้ได้แน่นอน
หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือเก็บตัวสันโดษที่ไล่ตามเบาะแสมาตามหาเด็กชายสวมหมวกหัวเสือ? เวลาเพียงไม่กี่วันอารามเสวียนตูใหญ่ก็ยกพวกต่อยตีไปสองรอบแล้ว แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งมาคนเดียว ส่วนอีกฝ่ายมาเป็นกลุ่ม
ประเด็นสำคัญคือทางฝั่งของอารามเต๋าแห่งนี้ พอตีกันเสร็จก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่ตีกันคืออะไร ก็แค่ว่าพอบรรพจารย์ผู้คุมกฎของอารามกวานเต๋าออกคำสั่งมา พวกเขาก็กรูกันออกไปทันที มีห้าขอบเขตบนนำพาเซียนดินมาคอยคุมอยู่ด้านหลัง ผู้ฝึกตนเซียนดินสั่งให้พวกเด็กรุ่นเยาว์ห้าขอบเขตล่างโบกธงร้องให้กำลังใจ ตอนที่กลับมาพวกนักพรตน้อยทั้งหลายฮึกเหิมตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร บอกว่าหมัดนี้ของอาจารย์ปู่มีมรรคกถายอดเยี่ยม เท้านั้นของอาจารย์ลุงมีจิตวิญญาณอย่างยิ่ง แต่ว่าต่างก็ไม่มีใครสู้มาดของจอมยุทธใหญ่ที่ใช้กระบี่แทงร่องก้นของอาจารย์ปู่น้อยได้…สำหรับเรื่องนี้ชุนฮุยไม่รู้สึกแปลกใจมานานแล้ว เพราะถึงอย่างไรปีนั้นนางก็เคยผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน กระบี่ปลิ้นปล้อนที่คล้ายคลึงกับของ ‘อาจารย์ปู่น้อย’ ที่พวกนักพรตน้อยเรียกกันนั้น อารามเสวียนตูใหญ่มีอยู่ทั้งหมดสิบแปดกระบวนท่า หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่ชุนฮุยยังเป็นเด็กสาวก็ได้คิดค้นกระบวนท่าหนึ่งให้กับอารามเต๋าบ้านตนโดยบังเอิญ
นักพรตซุนเอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “ใจเหมือนไม้ที่ถูกเผาไหม้ ร่างเหมือนเรือที่ไม่ถูกผูก ดีจริงๆ ยอดเยี่ยม ซูจื่อที่สามารถเขียนถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้ มิน่าเล่าบทความถึงเหมือนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว บอกตามตรง ทางฝ่ายของพวกเราแม้แต่บทความคำเขียวที่ควรจะเป็นความสามารถประจำตัวกลับยังเขียนสู้บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลไม่ได้เลย ต้องโทษที่ป๋ายอวี้จิงไม่เอาไหน”
‘ซูจื่อ’ ที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่เพียงแค่ยิ้มไม่ต่อคำ
ชุนฮุยตื่นตกใจอย่างหนัก
ซูจื่อท่านนั้นของใต้หล้าไพศาล?! คนผู้นี้มาเยือนใต้หล้ามืดสลัวตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเหตุใดถึงได้ไม่มีข่าวแพร่ออกมาแม้แต่นิด?
อันที่จริงใต้หล้ามืดสลัวไม่ค่อยคุ้นเคยกับความรู้ของเมธีร้อยสำนักในใต้หล้าไพศาลเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็มีมรรคกถาเป็นหลัก เตะโด่งสองลัทธิและร้อยสำนักไปไกล ยกตัวอย่างซูจื่อผู้นี้ ชุนฮุยก็รู้แค่ว่าเขามีความรู้มาก คือสำนักแห่งวลีของใต้หล้าแห่งนั้น มีการช่วงชิงบนมหามรรคาอย่างที่มองไม่เห็นกับป๋ายเหย่และหลิ่วชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเหย่กับซูจื่อที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลเหมือนกันที่การช่วงชิงบนมหามรรคายิ่งชัดเจนมากกว่า แต่สรุปแล้วซูจื่อเขียนกวีบทใดบ้างกันแน่ ชุนฮุยกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ในใต้หล้ามืดสลัวทั้งไม่มีคำเล่าลือถึง และนางเองก็ไม่ถือว่าให้ความสนใจสักเท่าไร
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้ม “เหมยซาน (คิ้วภูเขา) ซูจื่อ เทียนสุ่ย (น้ำสวรรค์) ป๋ายเหย่ ต่างก็อยู่ต่างบ้านต่างเมือง พอภูเขามาน้ำก็ตามมาด้วย ซูจื่อมาพบป๋ายเซียน! อารามเต๋าขนาดเท่าแค่ฝ่ามือของข้าแห่งนี้ ช่างเป็นบ้านเก่าโทรมที่โชคดี รู้สึกมีเกียรติจริงๆ”
ซูจื่อเอ่ยอย่างจนใจ “นักพรตซุนกล่าวหนักไปแล้ว”
นักพรตซุนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันใด “ซูจื่อสำรวมตนเกินไป เห็นเป็นคนอื่นคนไกลกันใช่ไหม? ไป พวกเราสองพี่น้องไปกอดคอร่ำสุราพูดคุยกันให้เบิกบานเถอะ ลากป๋ายเหย่ไปด้วย ทุกวันนี้เจ้าหมอนี่ดื่มเหล้าคอแข็งนัก…”
ซูจื่อถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าลากแขนกระชากพาเดินเข้าไปในประตูใหญ่ ด้วยกลัวว่ากระดาษเซวียนจื่อสามมีด แท่นฝนหมึกพักมังกร และพู่กันเกิดบุปผาจะไม่ได้นำมาใช้
นักพรตซุนบุคคลอันดับห้าของใต้หล้ามืดสลัวที่ไม่ว่าอะไรก็มาสะเทือนตำแหน่งไม่ได้ ผู้นำสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าผู้นี้ เมื่อเทียบกับที่เขียนในรายงานขุนเขาสายน้ำว่า ‘มรรคกถาลึกล้ำ บรรพยากาศรอบกายเคร่งขรึม’ หรือ ‘เงียบขรึมพูดน้อย ถนอมคำพูดดุจทองคำ’ อะไรนั่น ก็ราวกับเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น
นักพรตซุนบ่นพึมพำ “ป๋ายเหย่คอแข็ง น่าเสียดายที่มาดใหญ่โตไปหน่อย บอกว่าคนบนโลกที่ยุให้เขาดื่มเหล้าได้มีแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่เขาไม่ได้บอกว่าเป็นห้าคนไหนบ้าง หากในบรรดานั้นมีซูจื่อด้วยย่อมดีที่สุด พวกเราสามพี่น้องจะได้ดื่มเหล้าด้วยกัน แต่หากไม่มีก็เกินไปหน่อยแล้ว ยิ่งควรต้องดื่ม…”
แน่นอนว่าซูจื่อรู้ดีว่าป๋ายเหย่ไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้แน่นอน
นักประพันธ์ในโลกยุคหลังของใต้หล้าไพศาล เกี่ยวกับการถกเถียงเรื่องกวีและวลี อันที่จริงอย่างน้อยก็ต้องมีครึ่งหนึ่งที่โต้เถียงกันว่าชอบป๋ายเซียนหรือซูเซียนมากกว่ากัน
กระทั่งซูจื่อเขียน ‘เทียบกวีป๋ายเซียน’ ที่มากพอจะทิ้งชื่ออันโด่งดังไว้ยาวนานเป็นพันปีกับมือตัวเอง แสดงความเลื่อมใสนับถือที่ตัวเองมีต่อป๋ายเหย่อย่างตรงไปตรงมา สถานการณ์ถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะยังมีพวกคนบางส่วนที่เลื่อมใสซูจื่อที่ในเมือซูจื่อพูดเองแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมัวมาโต้เถียงถึงความสูงต่ำระหว่างกวีและวลีของทั้งสองฝ่ายแล้ว หันไปชื่นชมการเขียนตัวอักษรพู่กันจีนของซูจื่อแทน บอกว่าการที่ป๋ายเหย่ไม่มีเทียบตัวอักษรลายมือจริงที่ถ่ายทอดสืบต่อไปอย่างเป็นระบบระเบียบ ต้องเป็นเพราะเขียนตัวอักษรไม่ได้เรื่อง และพวกคนที่เลื่อมใสป๋ายเหย่อย่างถึงที่สุดก็ยากที่จะหาผลงานลายมือของป๋ายเซียนได้จริงๆ ช่วยไม่ได้ จึงเริ่มหันมาพูดว่าตัวอักษรจีนของซูจื่อพวกเจ้าเหมือนคางคกโดนหินทับที่ลมหายใจรวยริน ไม่อย่างนั้นก็เป็นหมีดำขวางทาง ตัวเบ้อเริ่มเทิ่มน่าสะพรึงกลัว…ถึงอย่างไรป๋ายเหย่ก็มีเพื่อนน้อย อีกทั้งยังปิดด่านอ่านตำราอยู่บนเกาะนอกมหาสมุทรอันโดดเดี่ยวห่างไกล จึงไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ได้เลย ลำบากก็แต่ซูจื่อที่มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมืองที่ต้องทนความรำคาญ บนภูเขาเล่าลือกันว่าซูจื่อถือโอกาสนี้พาเด็กรับใช้ ‘จั๋วอวี้หลาง’ และสาวใช้ ‘เตี่ยนซูเหนียง’ สองคนที่เกิดจากการจำแลงของโชคชะตาบุ๋นออกเดินทางไกลไปด้วยกัน ไปปลีกวิเวกหาความสงบอยู่ที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล
เพียงแต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าการเดินทางไกลครั้งนี้ของซูจื่อจะบินทะยานมาถึงใต้หล้ามืดสลัวโดยตรง สุดท้ายไปหาหลิ่วชีและเฉาจู่สองคนที่จับมือกันบินทะยานเดินทางไกลมาก่อนหน้าในพื้นที่มงคลซืออวี๋ หรืออีกชื่อหนึ่งคือพื้นที่มงคลสือไผที่ไม่ได้ติดอันดับเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล