ตอนที่ 1694 : การทะลวงผ่านของซีหยู

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1694 : การทะลวงผ่านของซีหยู

ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลลู่หรือว่าเจี้ยนเฉิน พวกเขาต่างก็ต้องการเวลาอย่างมาก ตระกูลลู่ต้องการเวลาในการขุดเหมืองให้ได้เหรียญผลึกมากที่สุด ส่วนเจี้ยนเฉินต้องการเวลาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งฝ่ายของตัวเอง เหรียญผลึกระดับสูงที่ซ่อนอยู่ในภูเขาเมฆดำนั้นมีค่าอย่างมาก แม้แต่การที่ตระกูลลู่ปกปิดข้อมูลนี้แต่ทุกคนก็เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดความลับนี้ตลอดไป วันหนึ่งเรื่องนี้ก็จะถูกเปิดเผยอกอมา จากนั้นมันก็ไม่นานที่องค์กรทั้งสี่จะมาสู้เพื่อแย่งชิงเหมืองแห่งนี้ แต่มันก็จะทำให้ตระกูลที่แข็งแกร่งในแคว้นตงอันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

“ดูเหมือนว่าการจะยึดเหมืองนั่นจะไม่ใช่เรื่องง่าย” เจี้ยนเฉินคิด ด้วยความแข็งแกร่งที่เขามีในตอนนี้แล้ว เขาไม่ได้กดดันหากต้องสู้กับขั้นเทพช่วงต้น เขาอาจจะฆ่าขั้นเทพช่วงต้นได้ง่ายหากร่วมมือกับเฉินเจี้ยน แต่เมื่อเขาพบกับขั้นเทพช่วงกลางหรือขั้นเทพช่วงปลายแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจจะจัดการพวกนั้นได้ง่าย ๆ แม้ว่าเขาจะร่วมมือกับเฉินเจี้ยน แต่พวกเขาก็อาจจะเอาชนะขั้นเทพช่วงปลายไม่ได้

“มีแค่การที่ร่างบรรพกาลขึ้นไปถึงขั้นต่อไป ขั้น 9 ของร่างบรรพกาลได้ยกระดับการบ่มเพาะของข้าเทียบเท่ากับขั้นศักดิ์สิทธิ์ในโลกเซียน หากข้าขึ้นไปถึงขั้น 10 ได้ งั้นข้าก็จะกลายเป็นขั้นเทพ ด้วยร่างบรรพกาลแล้ว ข้าจะไร้เทียมทานไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใครในระดับที่เท่าเทียมกัน แม้แต่ขั้นเทพที่จุดสูงสุด ข้าก็สามารถจัดการได้” เจี้ยนเฉิน คิดแต่เขาก็เข้าใจว่าพลังงานที่เขาต้องใช้ในการยกระดับร่างบรรพกาลแต่ละขั้นนั้นมหาศาล เขาไม่อาจจะหาทรัพยากรในการบ่มเพาะที่เขาต้องการได้ในเวลาอันสั้น

แม้แต่เฉินเจี้ยนก็ยังต้องใช้เหรียญผลึกขั้นต่ำเป็นล้านเหรียญเพื่อยกระดับจากขั้นเทพช่วงต้นเป็นช่วงกลาง และเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เหรียญผลึกระดับต่ำอีกกี่ชิ้นเพื่อยกระดับจากช่วงกลางเป็นช่วงปลาย จำนวนเหรียญผลึกที่ต้องใช้ในการยกระดับเป็นช่วงปลายนั้นต้องมหาศาล แต่การยกระดับร่างบรรพกาลเป็นขั้น 10 นั้นต้องใช้เหรียญผลึกอย่างน้อย 10 เท่าของที่เฉินเจี้ยนต้องใช้ในการเป็นขั้นเทพช่วงปลาย

” หากข้าได้เหมืองนั่นมาครอง ข้าก็น่าจะยกระดับร่างบรรพกาลเป็นขั้น 10 ได้อย่างง่ายดาย” เจี้ยนเฉินส่ายหน้าสลัดความคิดอื่น ๆ ทิ้ง ภูเขาเมฆดำนั้นเป็นเหมืองเหรียญผลึกระดับสูงเพียงแห่งเดียวที่ถูกพบในแคว้นตงอัน นอกซะจากว่าจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะไล่ขุมกำลังอื่น ๆ ในแคว้นไป ไม่เช่นนั้นเหมืองนี่ก็ไม่มีทางจะเป็นของเขาได้เลย

“ข้าหวังว่าตระกูลลู่จะขุดมันออกมาให้ได้มากที่สุด ข้าจะไปหาพวกนั้นหลังจากที่เฉินเจี้ยนทะลวงผ่านได้ ”

ตอนนั้นพลังงานดั้งเดิมรอบตัวเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังงานดั้งเดิมทั้งหมดรอบตัวในรัศมีกว่าหมื่นกิโลเมตรเหมือนจะถูกสูบด้วยแรงมหาศาลไปรวมตัวกันก่อนจะก่อตัวเป็นวังวนพลังงานเหนือตระกูลโม่ในพริบตา มันถูกสูบไปยังห้องโถงหนึ่งในเจ็ดที่ผู้อาวุโสพำนักอยู่

เหตุการณ์ผิดปกตินี้ทำให้ทุกคนในตระกูลสนใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือผู้อาวุโส 5 คนที่ทำการบ่มเพาะอยู่ต่างก็พากันลืมตาขึ้นมาและออกจากที่พักในพริบตา พวกเขาต่างก็มองไปที่ห้องโถงที่ซึ่งเกลียวพลังงานได้อัดแน่นอยู่

เจี้ยนเฉินเองก็มองไปที่นั่น เขามองไปที่ห้องโถงสักพักและพึมพำออกมา “พรสวรรค์ของซีหยูผู้นี้น่าประทับใจ นางถึงกับเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลายได้ หากข้าให้เวลานางมากกว่านี้ นางก็จะขึ้นถึงขั้นเทพได้”

ไม่ใช่แค่ขั้นเทพที่ถือว่าเป็นผู้นำในอาณาจักรนี้แต่พวกเขายังเป็นจอมยุทธระดับสูงแม้แต่ทั่วทั้งแคว้นตงอัน เจี้ยนเฉินรู้เรื่องนี้มาจากหัวหน้าตระกูลโม่ว่าไม่มีเหนือเทพในแคว้นตงอัน

“หยูเอ๋อทะลวงผ่านไปได้อีกครั้ง” ผู้นำยิ้มออกมาอย่างพอใจ ผู้อาวุโสทั้งห้าคนเองต่างก็พากันอิจฉา

“พรสวรรค์ของซีหยูนั้นโดดเด่น ตอนที่ผู้นำช่วยนางไว้ด้านนอก นางนั้นเป็นเพียงทารกที่เกือบจะตาย ย้อนกลับไปตอนนั้นข้าอยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลางแล้ว ตอนนี้ซีหยูได้ขึ้นถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลายแต่ข้าก็ยังติดอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ส่วนกลางอยู่…”

“ซีหยูได้บ่มเพาะมาแค่ 2,000 ปีเป็นอย่างมาก แม้ว่าผู้นำจะมอบสมบัติสวรรค์จำนวนมากและสมบัติอื่น ๆ ให้กับนางแต่ความเร็วในการบ่มเพาะของนางก็ยังน่าทึ่ง น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของตระกูลเรานั้นมีจำกัด หากเราส่งนางไปยังนิกายใหญ่ บางทีนางอาจจะกลายเป็นขั้นเทพตั้งนานแล้วด้วยพรสวรรค์ที่นางได้แสดงออกมาและการชี้แนะจากอาจารย์ ”

….

ผู้อาวุโสตระกูลโม่ต่างก็พากันถอนหายใจด้วยความตะลึง พวกเขาต่างก็รู้สึกเสียดาย พวกเขาเชื่อว่าการให้ซีหยู อยู่ในตระกูลโม่ต่อไปนั้นจะทำให้พรสวรรค์ของนางเสียเปล่า

เกลียวพลังงานเหนือที่พักของซีหยูได้สลายไปหลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม สักพักประตูที่พักก็เปิดออกพร้อกมับ ซีหยูที่อยู่ในชุดขาวได้เดินออกมา

” ยินดีด้วย ผู้อาวุโสซีหยู กับการทะลวงผ่านขึ้นไปขั้นใหม่” เจี้ยนเฉินป้องมือให้กับซีหยูและยินดีกับนางจากก้นบึ้งหัวใจ

“ฮ่าฮ่า ซีหยู เจ้าทื้งห่างเราไปอีกแล้ว เราไม่อาจจะยอดเยี่ยมได้เช่นเจ้าในตอนนี้ได้” ผู้อาวุโสทั้งห้าต่างก็เข้ามายืนดีเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างก็ยิ้มและยินดีจากก้นบึ้งหัวใจ

“พี่ซีหยู เจ้าแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งที่สุดได้” โม่หยานและหัวหน้าตระกูลโม่เดินเข้ามาหาจากไกล ๆ

ซีหยูพยักหน้าให้กับเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้านิ่ง ก่อนจะหันไปพูดคุยกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ นางยิ้มและพูดด้วยท่าทีสุภาพ

เจี้ยนเฉิน ไม่ได้หงุดหงิดกับท่าทีของนาง หลังจากที่แสดงความยินดีกับนางแล้ว เขาก็หันกลับแล้วเดินออกมาผ่านผู้นำไป ผู้นำป้องมือให้กับเจี้ยนเฉินอย่างสุภาพตอนที่เขาเดินผ่าน

เขาเองก็เข้าใจว่านอกซะจากว่าเขาเผยความแข็งแกร่งของเขาในขอบเขตเทพออกมา ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่มีใครในตระกูลโม่ที่จะสนใจเขา ผู้นำสุภาพต่อเขาก็เพราะเฉินเจี้ยนเท่านั้น

นี่เพราะตระกูลโม่นั้นไม่ได้ขาดจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิม พวกเขาถึงกับไม่ได้ให้ความสำคัญต่อขั้นแลกเปลี่ยนช่วงปลายเลย นอกจากว่าพวกนั้นจะทวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตเทพได้

แม้ว่าขั้นแลกเปลี่ยนช่วงปลายจะห่างจากขอบเขตพระเจ้าเพียงก้าวเดียวแต่ก้าวนี้ใหญ่พอ ๆ กับเหวลึก มันหยุดขั้นแลกเปลี่ยนได้หลายคน มันถึงกับมีขั้นแลกเปลี่ยนหลายคนที่ไม่อาจจะเข้าใจกฎและเข้าถึงขอบเขตเทพได้และจากไปเพราะอายุขัย

ชัดเจนแล้วว่าเจี้ยนเฉินนั้นไม่คิดจะเผยความแข็งแกร่งที่ตัวเองมีเพื่อจะมีสถานะในตระกูลโม่

“หืม ? เจี้ยนเฉิน เจ้าออกมาแล้วรึ ? ข้าไปหาเจ้าหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งยามบอกว่าเจ้าเก็บตัวอยู่” โม่หยานเห็น เจี้ยนเฉินและพูดขึ้นมาอย่างดีใจ สายตาของนางเป็นประกายราวกับคิดบางอย่างอยู่ นางมองมาที่เขาด้วยท่าทีประหลาดและกระซิบ “เมื่อพี่ซีหยูทะลวงผ่านไปได้ เจ้าก็ออกมาแล้ว บอกข้ามาตามตรงว่าเจ้าแอบหลงรักพี่ซีหยูอยู่หรือไม่ ? “