ตอนที่ 1699 : ความแข็งแกร่งของเฉินเจี้ยน

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1699 : ความแข็งแกร่งของเฉินเจี้ยน

เสียงของโม่หยุนเย็นชาขึ้นมา เขาไม่ได้ข้อสรุปที่ดีกับโม่ชาน ในการพูดคุยก่อนหน้านี้รวมกับการที่นายน้อยได้รับบาดเจ็บ ในความเห็นเขาแล้วตระกูลโม่นั้นได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

หากเป็นแต่ก่อน ก่อนที่ซีหยูจะเติบโต นิกายจุลกระบี่นั้นจะไม่มีทางที่จะพยายามคุกคามตระกูลโม่ แม้ว่านายน้อยจะได้รับบาดเจ็บดังเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางจบสัมพันธ์กับตระกูลโม่เพราะเรื่องคน ๆ เดียว พวกเขาจะพยายามจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีที่ดีที่สุด แต่เมื่อตระกูลโม่ได้เผชิญหน้าภัยจากตระกูลลู่และตระกูลอันโดแล้ว ตระกูลโม่ก็จะเสียหายอย่างมากถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงภัยจากสองตระกูลนั้นได้ ภายใต้เงื่อนไขนี้แล้ว มันไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องมากลัวตระกูลโม่เลย

นี่เพราะพวกเขามั่นใจว่าตระกูลโม่จะไม่มีทางตัดความสัมพันธ์กับนิกายจุลกระบี่ นี่ไม่ต้องนับเรื่องการคุกคามนิกายจุลกระบี่เลย

ผู้นำตระกูลรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจ เขาฮึดฮัดออกมาอย่างเย็นชา “ยู่ฟานลงมือกับหยานเอ๋อก่อน ข้าควรปล่อยให้ หยานเอ๋อบาดเจ็บและป้องกันไม่ให้นายน้อยของเจ้าบาดเจ็บมากกว่างั้นรึ ? นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ยู่ฟานเสียไปแค่แขน มันไม่ได้หนักหนาอะไร การฟื้นฟูแขนนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย”

“ท่านผู้นำ เจ้าจะบอกว่าเจ้าคิดจะปกป้องคนที่ทำให้นายน้อยบาดเจ็บงั้นรึ ? ” เสียงของโม่ชานเย็นชาขึ้นมาเช่นกัน มันส่งผลต่อเกียรติและความยิ่งใหญ่ของนิกายพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจจะปล่อยให้ผู้นำตระกูลโม่ทำเช่นนี้ได้ ยังไงซะถ้าตระกูลโม่ล่วงเกินนิกายจุลกระบี่ พวกนี้ก็จะโดนรายล้อมไปด้วยศัตรูภายในแคว้นนี้

“เจี้ยนเฉินคือแขกของตระกูลข้า แค่พวกเจ้าสองคนไม่อาจเอาคนจากตระกูลข้าออกไปได้ เอาตัวยู่ฟานไป แล้วกลับไปเสีย” ผู้นำตระกูลพูดขึ้น

ซีหยูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เองก็ฮึดฮัดออกมา นางหงุดหงิดอย่างมาก นิกายจุลกระบี่ต้องรับผิดชอบกับการทำร้ายโม่หยานก่อน แต่พวกนี้กลับมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นและไปหงุดหงิดกับเรื่องการที่ยู่ฟานบาดเจ็บแทน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตระกูลโม่โดนข่มเหงได้ง่ายดายขนดนี้ ผู้อาวุโสนิกายจุลกระบี่สองคนสามารถสร้างปัญหาในบ้านของพวกเขาได้ตามใจงั้นหรือ ?

“ตระกูลโม่กลัวนิกายจุลกระบี่ น่าแปลก ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลโม่แล้ว พวกเขาไม่น่าจะอ่อนแอกว่านิกายจุลกระบี่ ข้าสงสัยว่าทำไมตระกูลโม่ได้ถึงกลัวพวกนั้นมากถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของสี่กลุ่มในแคว้นนี้จะไม่ได้เรียบง่ายแบบที่เห็น” เจี้ยนเฉินคิด เจี้ยนเฉินทำราวกับว่าคิดเรื่องอื่นอยู่ ก่อนจะป้องมือให้กับผู้นำตระกูลแล้วพูดขึ้น “ผู้นำตระกูล เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ดังนั้นทำไมไม่ปล่อยให้ข้าจัดการมันเอง ? ข้าอยากจะดูว่าผู้อาวุโสขอบเขตเทพสองคนจากนิกายจุลกระบี่นี้จะจัดการกับข้ายังไง และพวกนั้นมีความแข็งแกร่งมากพอจะเอาตัวข้ากลับไปหรือไม่”

ผู้อาวุโสทั้งสองลังเลเมื่อเห็นท่าทีใจเย็นของเจี้ยนเฉิน พวกนั้นมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความแปลกใจและสงสัยเพราะพวกเขาไม่อาจจะบอกถึงความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินได้ ตอนแรกพวกเขาเชื่อว่าเขาอยู่ขอบเขตดั้งเดิม หากเป็นขอบเขตเทพแล้วคงไม่อาจจะปิดเงียบได้ ยิ่งกว่านั้นมันก็มีจอมยุทธขอบเขตเทพมากมายในแคว้นนี้ พวกเขาเคยเห็นภาพของทุกคนมาแล้ว และเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้อยู่ในหมู่พวกนั้น แต่เมื่อเห็นท่าทีใจเย็นของเจี้ยนเฉิน ทั้งสองคนก็เริ่มไม่มั่นใจ

จู่ ๆ โม่ชานก็คิดถึงบางอย่างขึ้นมา เขาบอกกับโม่หยุนผ่านทักษะสื่อสาร “จอมยุทธขอบเขตเทพที่ซึ่งทะลวงผ่านเมื่อไม่นานมาในในตระกูลโม่ดูเหมือนว่าจะเป็นสหายที่ดีของเขา ข้าคิดว่าชายคนนี้ชื่อเจี้ยนเฉิน ใช่เขารึไม่ ? ”

โม่หยุนสีหน้าเปลี่ยนไปและตอบกลับ “ข้าจำได้แล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ดูหมือนว่าเจี้ยนเฉินจะสบายใจกับการรับมือกับเราเพราะเขามีชายที่ชื่อว่าเฉินเจี้ยนคอยช่วย” หลังจากที่บอกกับโม่ชาน โม่หยุนก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาและบอกกับเจี้ยนเฉินว่า “งั้นความสบายใจของเจ้าคงมาจากสหายที่เพิ่งจะขึ้นเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ หากสหายเจ้ามีความแข็งแกร่งขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลาย งั้นเราก็ไม่อาจจะทำอะไรเจ้าในวันนี้ได้ แต่มันน่าเสียดายที่เขาอยู่แค่ช่วงต้น เจ้าคิดว่าขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้นคนเดียวจะปกป้องเจ้าได้หรือ ? ชัดเจนแล้วว่าเราไม่อาจจะทำอะไรเขาได้หากเขายังอยู่ในที่พักของตน แต่หากเขากล้าออกมาปกป้องเจ้า ข้าคงต้องสั่งสอนบทเรียนเขา ข้าจะให้เขาเข้าใจว่าถึงแม้จะเข้าถึงขอบเขตเทพแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจจะหาเรื่องคนอื่นไปทั่วได้ สำหรับเจ้าแล้ว เจ้าต้องกลับไปนิกายจุลกระบี่กับเราและถูกตัดสินโดยหัวหน้านิกาย” ตอนที่พูดนั้น โม่หยุนก็ได้จับไหล่เจี้ยนเฉินเอาไว้

“กล้าดีจริง ๆ ข้าอยากเห็นว่าเจ้าที่อยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลางจะสั่งสอบบทเรียนให้ข้าที่อยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้นยังไง โม่หยุน รับการโจมตีของข้า หากเจ้ารับการโจมตีของข้าไม่ได้ ข้าก็จะเอาแขนเจ้าไปเช่นกัน” แต่ตอนที่โม่หยุนพูดจบนั้น มันก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากที่พักแห่งหนึ่ง มันดังราวกับเสียงฟ้าผ่า

ก่อนที่จะพูดจบ ปราณกระบี่ก็แผ่ออกมา กระบี่เหล็กสีดำพุ่งออกมาจากห้องโถงผู้อาวุโสด้วยความเร็วแสงพร้อมกับปราณกระบี่ มันได้พุ่งเข้าใส่โม่หยุนและเฉือนมือของโม่หยุนที่ใช้จับไหล่ของเจี้ยนเฉิน

ผู้นำตระกูลและซีหยูต่างก็ตกตะลึง นัยน์ตาพวกเขาหดลงและจ้องมองไปยังกระบี่ที่พุ่งเข้าใส่โม่หยุน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตะลึงและไม่เชื่อสายตาตัวเอง

มันเพราะทั้งสองคนเคยได้รับแรงกดดันแบบนี้จากกระบี่มาแล้ว แสงจากกระบี่นั้นทำให้พวกเขาใจเต้นรัวด้วยความกลัว พวกเขารู้สึกได้ถึงภัยจากแสงนั่น ไม่ว่ามันจะไปถึงระดับไหน แต่มันก็เพียงพอที่จะเป็นภัยต่อชีวิตพวกเขา

ทั้งผู้นำตระกูลและซีหยูต่างก็ตะลึง พวกเขาต่างก็อยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลาย ส่วนเฉินเจี้ยนเป็นคนที่เพิ่งขึ้นมาถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่คนที่เพิ่งจะทะลวงผ่านขึ้นมาแบบเขากลับสามารถใช้การโจมตีที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้ออกมาได้

โม่หยุนไม่ได้สนใจมันในตอนแรก เขาไม่คิดว่าคนที่อยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้นได้ไม่นานนั้นจะสำคัญอะไร แต่สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปทันที เขาแสดงสีหน้าเคร่งเครียดและตกตะลึงออกมา

โม่หยุนชักกระบี่ออกมา กระบี่นั้นส่องประกายแสงสีเหลือง สิ่งที่เขาเข้าใจมาคือกฎของดิน

โม่หยุนเหวี่ยงกระบี่และแสงสีเหลืองก็ส่องประกายมากกว่าเดิม ร่างภูเขาขนาดใหญ่ลอยอยู่ด้านหลังเขา ตอนนี้เขาเหมือนหลอมรวมกับพลังของมันอย่างสมบูรณ์ เขาแผ่พลังอันน่ากลัวออกมาและแทงกระบี่ออกไปให้แรงที่สุดเท่าที่ทำได้

กระบี่ของโม่หยุนปะทะกับกระบี่เหล็กที่พุ่งเข้ามาจนเกิดระเบิดขึ้น การโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ก็ทำให้โม่หยุน หน้าซีดแล้ว ภูเขาด้านหลังเขาแตกออกและมีเลือดจากปากที่กระจายไปทั่ว เขาเซถอยกลับไป แต่ละก้าวนั้นทำให้พื้นดินสั่นไหว รองเท้าของเขาได้กลายเป็นผงไป เท้าเปล่านั้นจมลึกไปที่พื้น

กระบี่เหล็กยังคงเดินหน้าต่อไม่อ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย มันพุ่งผ่านแขนของโม่หยุนพร้อมกับปราณกระบี่ที่แผ่ออกมา จากนั้นกระบี่ก็พุ่งกลับไปยังที่พักผู้อาวุโสโดยไม่มีเหลือติดอยู่เลยแม้แต่น้อย

โม่หยุนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมใบหน้าที่ซีดเผือด แขนขวาที่เขาใช้กวัดแกว่งกระบี่นั้นถูกตัดไปแม้แต่กระบี่อันมีค่าของเขาก็ยังร่วงลงไปที่พื้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาราวกับน้ำพุ

โม่ชานมองไปที่โม่หยุนด้วยความสับสนหลังจากที่เสียแขนไป เขาตะลึงกับมัน

ดวงตาของผู้นำตระกูลและซีหยูเบิกกว้างและมองไปยังโม่หยุนที่เสียแขนไป พวกเขาเองก็ตะลึงเช่นกัน

“โม่หยุน เจ้ารับการโจมตีจากข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าคิดจะมาสั่งสอนบทเรียนอะไรข้า ? ” ประตูห้องโถงที่เจ็ดเปิดออกและเฉินเจี้ยนก็ได้เดินออกมา กระบี่เหล็กสีดำนั้นลอยอยู่ข้าง ๆ เขาพร้อมกับเสียงฮัมดังออกมา

แต่สิ่งที่ทุกคนในตระกูลโม่ได้ยินนั้น เสียงจากกระบี่นี้ราวกับเสียงจากการต่อสู้ครั้งใหญ่

ในเวลาเดียวกันประตูไปยังห้องโถงอีกห้าห้องก็เปิดออก ผู้อาวุโสทั้งห้าคนต่างก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูของตนเองและมองไปที่เฉินเจี้ยนด้วยความตกตะลึง ใจพวกเขาต่างก็พากันเต้นรัว