ตอนที่ 1702 : ข้อมูลเรื่องสมบัติ

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1702 : ข้อมูลเรื่องสมบัติ

ผู้นำตระกูลมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงที่เจ็ด เขาไม่ได้เข้าไปแต่กลับบอกยามให้ส่งข้อความไปให้เฉินเจี้ยนแทน เขาได้พาชายชุดดำด้านหลังเข้าไปหลังจากที่เฉินเจี้ยนอนุญาต

เจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนนั่งอยู่ในห้องโถง มันเหมือนพวกเขาได้รอมาสักพักแล้ว มันมีเก้าอี้อีกสองตัวที่ว่างตรงหน้าพวกเขา

“เชิญ” เฉินเจี้ยนผายมือให้กับทั้งสองคนที่เข้ามา

แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็มองไปที่ชายชุดดำเช่นกัน

ผู้นำตระกูลหัวเราะออกมาและป้องมือ “น้องเฉินเจี้ยน น้องเจี้ยนเฉิน ดูเหมือนพวกเจ้าจะรู้อยู่แล้วว่าเราจะมา ข้าต้องขอโทษที่มากันสายจนพวกเจ้าต้องรอ”

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก ผู้นำตระกูล เรารบกวนท่านมาหลายเดือนรวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่เป็นปัญหาเช่นกัน ผู้นำตระกูลถือว่าเมตตาพอที่ไม่ไล่เราไป” เฉินเจี้ยน ป้องมือให้กลับ

ผู้นำตระกูลหัวเราะออกมาและพูดขึ้นว่า “น้องเฉินเจี้ยนพูดเกินไป มันแพราะเจ้าสองคน ลูกของข้าจึงไม่โดนรังแก อันที่จริงแล้วเป็นข้าต่างหากที่ควรขอบคุณ” ผู้นำตระกูลเงียบไปเมื่อพูดถึงจุดนี้ เขามองไปที่คนข้างกายและเผยสีหน้เคารพออกมาก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “น้องเฉินเจี้ยน น้องเจี้ยนเฉิน ข้าอยากแนะนำให้พวกเจ้าให้รู้จักกับบรรพชนตระกูลโม่”

ชายชุดดำดึงเอาผ้าออกเผยให้เห็นหัวที่ล้านของเขา หัวล้านนี้เป็นประกายจนทำให้ดูสะดุดตา

ชายคนนี้คือขั้นเทพของตระกูลโม่ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องบอกใครก่อนที่จะเข้าห้องโถง เขาถึงกับเข้ามาได้เลยหากเขาต้องการและยามก็จะไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อแสดงความเคารพต่อเฉินเจี้ยน เขาจึงเข้ามาด้วยวิธีปกติ

“ข้า โม่หลิง แขกทั้งสองนี้สุภาพเกินไปแล้ว” บรรพชนป้องมือให้กับเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยน เขาไม่ได้แสดงท่าทีอวดเบ่งแต่อย่างใด

เจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนต่างก็ลุกขึ้นทักทายกลับก่อนจะเชิญให้อีกฝ่ายนั่ง

“ข้าใช้เวลาหลายปีในการเก็บตัวบ่มเพาะเพื่อที่ข้าจะเข้าใจกฎของโลกให้มากกว่าเดิมและทะลวงผ่านเป็นขั้นเทพช่วงกลาง มันนานแล้วตั้งแต่ที่ข้าสนใจเรื่องของตระกูลโม่ ตอนที่น้องเฉินเจี้ยนได้ลงมือในวันนี้ กฎแห่งกระบี่ที่แข็งแกร่งของเจ้าทำให้ข้าตื่นและหลังจากที่ออกจากการเก็บตัว ข้าถึงได้รู้ว่าตระกูลโม่ของเรานั้นมีแขกอย่าง น้องเฉินเจี้ยน ข้าทำตัวหยาบคาย ยกโทษให้ข้าด้วย” บรรพชนพูดขึ้นด้วยความจริงใจ เขาพูดความจริง หากเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเฉินเจี้ยนก่อนหน้านี้ งั้นเขาก็ต้องออกมาจากการเก็บตัวก่อนหน้านี้เพื่อต้อนรับเฉินเจี้ยนด้วยตัวเอง

“พี่โม่หลิงสุภาพเกินไปแล้ว พูดไปแล้วเราสองคนก็ถูกคุณหนูของตระกูลท่านช่วยเอาไว้ เรายังไม่ได้ขอบคุณนางเรื่องนี้เลย” เฉินเจี้ยนพูดขึ้น

“ มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นด้วยหรือ ? ” โม่หลิงจงใจแสดงท่าทีแปลกใจออกมา เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาและถามขึ้น “ความเข้าใจกฎของโลกที่น้องเฉินเจี้ยนมีนั้นสูงกว่าข้า ข้าเชื่อว่าไม่มีขั้นศักดิ์สิทธิ์คนไหนเป็นคู่มือของเจ้าได้ ใครกันคือคนที่ทำให้น้องเฉินเจี้ยนให้บาดเจ็บได้หรือว่าจะเป็นขั้นเทพ ? ”

เฉินเจี้ยนไม่ได้ตอบกลับ เขามองไปที่เจี้ยนเฉินราวกับถามอีกฝ่าย

เจี้ยนเฉินคิดทุกอย่างให้ถี่ถ้วนก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ

แต่ท่าทีของเฉินเจี้ยนนี้ไม่หลุดพ้นสายตาของบรรพชนตระกูลโม่ เขาแอบมองไปที่เจี้ยนเฉินและพยายามเดาว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นเพราะเขาบอกความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินอย่างแม่นยำไม่ได้ หากดูจากพลังที่แผ่ออกมาแล้วเขารู้สึกว่าเจี้ยนเฉินนี้อยู่ที่ขอบเขตดั้งเดิมแต่ก็ยังเหมือนขอบเขตเทพ เขาไม่อาจจะบอกได้อย่างชัดเจน

“พี่โม่หลิงพูดถูก คนที่ทำให้เราบาดเจ็บได้นั้นคือขั้นเทพจริง ๆ ” เฉินเจี้ยน พูดขึ้น

“มันมีขั้นเทพในแคว้นตงอันมากมาย ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร ? ข้าอาจจะรู้จัก ดังนั้นข้าจะได้ให้ข้อมูลหรือให้ความช่วยเหลือได้” บรรพชนพูดขึ้น ใบหน้าเขาเริ่มเครียดขึ้นมา เขาต้องระวังเรื่องการทำให้ขั้นเทพคนอื่นไม่พอใจ

“มันคือบรรพชนของตระกูลลู่” เจี้ยนเฉินพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น

“มันคือลู่เทียน ! ” โม่หลิงดีใจขึ้นมา เขาเหมือนจะยินดีกับเรื่องนี้

ผู้นำตระกูลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยิ้มออกมาอย่างพอใจเช่นกัน ตอนนั้นเขารู้สึกว่าทั้งตัวเขานั้นถึงกับเบาขึ้นเพราะความพอใจ

เขายังรู้สึกกังวลตอนที่รู้เรื่องว่าคนที่ทำให้เฉินเจี้ยนและเจี้ยนเฉินบาดเจ็บนั้นคือขั้นเทพ เขากลัวว่าจะไปคุกคามขั้นเทพขององค์กรอื่น แต่หลังจากที่รู้ว่าขั้นเทพคนนั้นคือบรรพชนตระกูลลู่ ทั้งสองคนก็โล่งใจทันที

ตอนนี้ภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ตระกูลโม่เผชิญอยู่นั้นมาจากตระกูลลู่ ตระกูลลู่นั้นได้กลายเป็นศัตรูของตระกูลโม่ แต่ เฉินเจี้ยนที่มีความเข้าใจถึงขั้นเทพช่วงกลางและมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวนี้กลับมีความแค้นกับอีกฝ่ายเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องกลัวเมื่อช่วยทั้งสองคนนี้ พวกเขาสามารถร่วมมือกันได้ด้วยซ้ำ หากเฉินเจี้ยนช่วยเหลือตระกูลโม่ แม้ว่าตระกูลลู่และตระกูลอันโดจะร่วมมือกันแต่พวกเขาก็ยังรับมือได้ไหว

เจี้ยนเฉินเริ่มสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นอีกสองคนนั่นโล่งใจและดีใจ เขาได้ถามขึ้นมาว่า “ตระกูลโม่มีความแค้นเคืองกับตระกูลลู่งั้นรึ ? ”

“ถูกต้อง ตระกูลลู่เป็นศัตรูกับตระกูลโม่ของเราจริง ๆ ” โม่หลิงพูดขึ้นมาอย่างพอใจ หลังจากที่ลังเลไปสักพัก เขาก็เผยแววตาแน่วแน่ออกมาและพูดขึ้นว่า “น้องเฉินเจี้ยน น้องเจี้ยนเฉิน ข้าจะบอกความจริงให้ฟัง ตระกูลโม่,ตระกูลลู่และตระกูลอันโดนั้นมีสมบัติ จากสมบัตินี้เราสามารถเข้าไปยังที่ลับที่มีสมบัติมากมาย ตอนแรกสามตระกูลนั้นมีพลังทัดเทียมกัน ดังนั้นเราจึงยังคงไม่ลงมือต่อกัน แต่ตั้งแต่ที่หยูเอ๋อปรากฏตัวในตระกูลโม่ สมดุลนี้ก็พังลง”

ความสนใจของเจี้ยนเฉินเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินโม่หลิงพูดถึงสมบัติเพราะเขาเองก็ได้สมบัติมามากมายจากตระกูลลู่ สายตาของเฉินเจี้ยนเองก็เป็นประกายเช่นกันแต่เขาไม่ได้แสดงมันออกมาบนใบหน้า

โม่หลิงพูดต่อ “พรสวรรค์ของหยูเอ๋อนั้นยิ่งใหญ่ นางขึ้นถึงขอบเขตเทพได้ในเวลาอันสั้นและหากนางยังรักษาความเร็วระดับนี้ต่อไป อีกไม่นานนางก็จะกลายเป็นขั้นเทพ แต่มันเพราะตัวตนของนางที่ทำให้ตระกูลลู่และตระกูลอันโดนั้นอึดอัด พวกนั้นกลัวว่านางจะเติบโตจนถึงจุดที่นางเป็นภัยต่อสองตระกูลจนทำให้พวกเขาไม่อาจจะรักษาสมบัติของตนเองไว้ได้อีกต่อไป ผลก็คือตระกูลลู่และตระกูลอันโดนั้นเริ่มที่จะร่วมมือกันมาหลายปี พวกเขาอยากจะเปิดฉากต่อสู้กับเราตลอดเวลา”

“การร่วมมือกันของตระกูลลู่กับตระกูลอันโดนั้นหมายความว่าพวกนั้นมีขั้นเทพอยู่ถึง 2 คน การยื้อไว้คนหนึ่งด้วยความแข็งแกร่งที่ข้ามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าคงได้แต่หนีหากต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งสองตระกูล”

โม่หลิงมองไปที่เฉินเจี้ยนและเจี้ยนเฉิน ก่อนจะถามขึ้นมาอย่างจริงใจ “น้องเฉินเจี้ยน น้องเจี้ยนเฉิน เนื่องจากพวกเจ้าเองก็มีความแค้นกับตระกูลลู่ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะร่วมมือกับเราเพื่อจัดการกับสองตระกูลนั่น ตราบใดที่ น้องเฉินเจี้ยนช่วยตระกูลโม่ของเรา เราจะแบ่งผลปประโยชน์ที่ได้จากสมบัตินั้นกับเจ้า”

“พี่โม่หลิง ข้าขอถามหน่อยว่าท่านจำมันได้หรือไม่ ? ” ตอนนั้นก็ได้มีกล่องหรูหราโผล่มาในมือของเจี้ยนเฉิน เขาเปิดมันออกโดยไม่ลังเลเผยให้เห็นหยกที่ไม่สมบูรณ์วางไว้อยู่ภายใน