ท่ามกลางราตรีที่มีลมหิมะ คนผู้หนึ่งที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำออกอย่างง่ายดาย เดินออกมาจากช่องโพรงแห่งหนึ่ง เขายืนอยู่ที่ปากประตู หันหน้าไปมอง บนหน้าผาสลักคำว่า ‘ถ้ำแห่งโชควาสนา’
เกาะหลูฮวา? ถ้ำแห่งโชควาสนาที่เคยมีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งซ่อนตัวอยู่?
ทอดสายตามองไปไกล หิมะใหญ่ยังไม่ตกไม่หยุด เกล็ดหิมะใหญ่เหมือนเสื่อ ระหว่างฟ้าดินเปี่ยมไปด้วยความงดงาม พันลี้มีแต่สีหิมะขาวโพลน ควบด้วยแสงจันทร์กระจ่างจ้า
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันฝันไปสามอย่าง จากนั้นตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าสรุปว่าตื่นแล้ว หรือว่าเพิ่งจะเริ่มฝันกันแน่?
เมื่อเฉินผิงอันเปิดประตูก็เกิดริ้วกระเพื่อม
จวนตระกูลเซียนบนมหาสมุทรที่รายล้อมไปด้วยสถานการณ์อันตรายล่อแหลมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที
แสงกระบี่ แสงเรืองรองของวัตถุวิเศษพากันเปล่งประกายเจิดจ้าแหวกผ่าม่านราตรี เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วกะพริบตาก็พากันพุ่งจากทิศทางต่างๆ มายังถ้ำแห่งโชควาสนา พร้อมกับผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่โอบล้อมเข้ามา
เฉินผิงอันรีบยื่นนิ้วไปแตะไปบนชุดคลุมอาคมเบาๆ ทันที ชุดคลุมอาคมสีแดงสดพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนสีหิมะ จากนั้นจึงแปะหน้ากากแผ่นหนึ่งทับลงบนใบหน้า
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปรับหิมะ ราวกับต้องการอาศัยสิ่งนี้มายืนยันว่าตัวเองยังอยู่ในความฝันจริงหรือไม่
ผู้ฝึกตนโอบล้อมสร้างเป็นขบวนทัพ ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งที่ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ อยู่ตรงกลางเป็นผู้นำฝูงชนก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด กลัวว่าจะเป็นปีศาจใหญ่ที่แฝงตัวอยู่บุกมาก่อคดีบนมหาสมุทร คิดจะทุ่มเดิมพันอย่างเต็มที่ หลายปีที่ผ่านมานี้จำนวนของจวนเซียนและสำนักน้อยใหญ่บนมหาสมุทรที่ต้องดับสูญไปถึงขั้นมีมากกว่าช่วงที่เกิดสงครามใหญ่ด้วยซ้ำ ล้วนเป็นฝีมือของพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่หลบจากแผ่นดินห้าทวีปเข้ามายังมหาสมุทรทั้งสิ้น
ข้างกายของผู้เฒ่าสวมกวานสูงยังมีชายหนุ่มหญิงสาวอีกสองคน ต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ประหนึ่งคู่กุมารทองกุมารีหยกอย่างไรอย่างนั้น หากไม่เป็นคู่รักเทพเซียนกันก็น่าเสียดายแล้ว
ตรงเอวของผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามใช้พู่ยาวสีทองผูกตราประทับหยกไว้ชิ้นหนึ่ง แกะสลักตัวอักษรโบราณ ลายน้ำ และรูปกระบี่บินเล็กจิ๋วหนึ่งเล่ม
อยู่ดีๆ ได้พบเจอคนมากมายขนาดนี้ คือเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ถึงขั้นทำให้เฉินผิงอันปรับตัวไม่ทัน กำเกล็ดหิมะไว้ในมือจนฝ่ามือรู้สึกถึงความเยียบเย็น
เฉินผิงอันรู้รากฐานของผู้ฝึกกระบี่สามคนนั้นแล้ว เป็นคนต่างถิ่นของเกาะหลูฮวา แยกแยะตัวตนของพวกเขาโดยดูจากลักษณะของหยกประดับ น่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดทำเนียบวงศ์ตระกูลในสำนักต้าหรางสุ่ยของทักษินาตยทวีป
ลำพังเพียงแค่การปรากฎตัวของคนทั้งสามในค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันก็อนุมานสถานการณ์ไปได้ไม่น้อยแล้ว
เกาะหลูฮวากับสำนักอวี่หลงคือศูนย์กลางสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างภูเขาห้อยหัวเก่ากับใบถงทวีป แต่กลับมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเพียงคนเดียวที่เฝ้าพิทักษ์ที่นี่ อีกทั้งยังเดินทางข้ามมหาสมุทรจากทักษินาตยทวีปมาถึงที่นี่ นี่จะสามารถบอกได้ว่าใต้หล้าในเวลานี้สงบสุขแล้วจริงๆ หรือไม่? เป็นเหตุให้ทักษินาตยทวีปไม่เพียงแต่พิทักษ์ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปเอาไว้ได้ หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ยังมีกำลังเหลือพอจะดึงตัวผู้ฝึกตนให้ข้ามทวีปมาเฝ้าพิทักษ์มหาสมุทรแถบนี้ได้ด้วย? ถ้าอย่างนั้นสามความฝันของตน สรุปแล้วฝันไปนานเท่าใด ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่ที่ไหน? หรือว่าจะถูกใต้หล้าไพศาลเข่นฆ่าสังหารจนสิ้นซากแล้ว? ไม่อย่างนั้นสถานที่สำคัญอย่างสำนักอวี่หลงและเกาะหลูฮวาจะต้องมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่พลังพิฆาตโดดเด่นมารับผิดชอบเฝ้าดูแลอยู่อย่างแน่นอน อีกทั้งอย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีสองถึงสามท่าน หากอยู่ในช่วงท้ายของการทำสงคราม ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานเป็นผู้นำ ห้าขอบเขตบนยี่สิบสามสิบคนจับมือกันคอยสกัดขวางทางหนีของเผ่าปีศาจก็ยังไม่มากเกินไป
ชุยฉานพูดถูกจริงเสียด้วย ตนพลาดอะไรไปหลายอย่างเลยจริงๆ
แต่ถึงอย่างไรวิถีทางโลกก็สงบสุขแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามต่างก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยน โดยเฉพาะยามที่สายตามองมายังพวกเขาทั้งสามคนก็ดู…ใกล้ชิดสนิทสนมมากเป็นพิเศษ
นี่เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหญิงขยับตัวเข้าใกล้ผู้เฒ่าข้างกายตามจิตใต้สำนึก เด็กหนุ่มที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ผู้นี้มีรูปโฉมหล่อเหลา คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนเสเพลผู้หนึ่ง
เรือนกายสูงเพรียว ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผม สวมชุดสีขาว เพียงแต่ว่าเรือนกายคล้ายจะงองุ้มเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น
มองดูแล้วมีภาพบรรยากาศของขอบเขตโอสถทอง
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดยังคงไม่กล้าประมาท ใช้ภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่พูดไม่ค่อยคล่องนักถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มกลับยิ้มตอบด้วยภาษากลางของใบถงทวีป “เฉาโม่เค่อชิงระดับสองของสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีป เดินทางไกลมาถึงที่นี่ รบกวนทุกท่านแล้ว เลื่อมใสในถ้ำแห่งโชควาสนามานาน เดิมคิดว่าจะแอบมาแล้วก็แอบจากไป เพียงแต่อดไม่ไหวไปกระตุ้นโดนตราผนึกเข้า”
ผู้เฒ่าของเกาะหลูฮวารีบถามด้วยภาษากลางของใบถงทวีปทันที “ในเมื่อเป็นเค่อชิงของสำนักกุยหยก เคยไปที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆามาหรือไม่?”
เฉินผิงอันรอคำถามนี้อยู่พอดี จึงพยักหน้า “แน่นอน สิบแปดทัศนียภาพของถ้ำเมฆาล้วนเคยไปเยือนมาหมดแล้ว”
ปีนั้นอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน บางครั้งที่มีเวลาว่างก็จะเปิดอ่านเอกสารลับประเภทต่างๆ ที่ถูกปิดผนึกมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะสำนักใบถงหรือสำนักกุยหยกก็ล้วนไม่ได้แปลกใหม่สำหรับเขา
ผู้เฒ่าเกาะหลูฮวายิ้มเอ่ย “ในเมื่อเฉาเซียนซือเคยเดินทางไปเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆามาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะรู้ว่าศาลาล่านเสิงที่ท่าเรืออวิ๋นเหมินมักจะมีแผงลอยมาวางขายอยู่ตลอด นอกศาลาขายสิ่งใด? ของที่หญิงชราขายมีความพิถีพิถันในเรื่องใด?”
เฉินผิงอันยกมือขึ้น ในมือก็มีพัดพับหยกเพิ่มมาหนึ่งเล่ม เขาเอาเคาะกับฝ่ามือเบาๆ หัวเราะพรืดตอบว่า “เป็นถึงเค่อชิงจะไปเดินเล่นที่ศาลาล่านเสิงที่หลอกเอาเงินเกล็ดหิมะของคนต่างถิ่นหรือ? ข้าเสียหน้าแบบนี้ไม่ได้หรอก ข้าผู้แซ่เฉาเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา มีแต่จะไปดื่มสุราแสงจันทร์สามชามที่เขื่อนหวงเฮ้อ จากนั้นค่อยไปนอนหลับในกองเมฆขาวบนยอดเขาอวิ๋นจี๋ ยามฟ้าสางใช้ต้นกกขาวกวาดเมฆ ข้าผู้แซ่เฉาเก็บเมฆขาวไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่ถูกห้ามว่าต้องเก็บแค่จินเดียว ทุกครั้งล้วนเก็บมาสามจิน แล้วยังลดราคาได้อีกหกส่วน อิจฉาหรือไม่เล่า?”
ผู้เฒ่าเกาะหลูฮวาถูกข่มขู่จนตกใจไม่เบา เชื่อไปแล้วเกินครึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นอายบนร่างของผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ทำให้ผู้เฒ่าคุ้นเคยยิ่งนัก ในอดีตพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของใบถงทวีปล้วนมีนิสัยเช่นนี้ กวนโมโหจนทำให้คนนึกอยากจะตั้นหน้าอีกฝ่ายหนักๆ ยิ่งอายุน้อยเท่าไร ตาก็ยิ่งไปอยู่เหนือคิ้วมากเท่านั้น แต่ยังดีที่ในบรรดาผู้ฝึกตนใบถงทวีปของทุกวันนี้ คนจำพวกนี้ล้วนไสหัวไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้ากันหมดแล้ว
ก่อกำเนิดผู้เฒ่าจากต้าหรางสุ่ยใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หู่เฉิน เจ้าลองยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าอีกฝ่ายใช่เผ่าปีศาจหรือไม่”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดนามหู่เฉินที่อยู่ข้างกายทำตามคำสั่งอาจารย์ รีบเรียกกระจกโบราณแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาทันที ในใจชายหนุ่มท่องคาถา มือหนึ่งถือกระจก มือหนึ่งทำมุทราปัดผ่านผิวกระจกเบาๆ เกิดเป็นน้ำเสียงเยียบเย็น อักขระสีทองสองวงที่แกะสลักไว้รอบกระจกโบราณเริ่มหมุนโคจร ส่องประกายแสงระยิบระยับ ‘กระจกโบราณส่องเทพ ส่องรูปกลั่นแก่นบริสุทธิ์ หล่อหลอมถึงขีดสุดกลับสู่ความจริง’ ‘ดวงจันทร์ซุกซ่อนเวทคาถาที่แท้จริง หมื่นสรรพสิ่งมิอาจซ่อนตัว’
เฉินผิงอันยังคงใช้พัดพับตีฝ่ามือ ก้มหน้าหรี่ตามองไป นั่นคือกระจกแสงจันทร์หนึ่งในกระจ่องส่องมารหกบานใหญ่ของไพศาล มองดูริ้วคลื่นลมปราณที่แผ่มาจากพลังจิตของผู้ฝึกตนหนุ่ม บวกกับร่องรอยเวทอสนีที่อีกฝ่ายร่ายใช้ น่าจะผสานรวมกับวิชาเทพสายฟ้าหนึ่งในวิชานอกรีตของเวทอสนีด้วย เอามาใช้สยบกำราบภูตผีปีศาจและภูตแห่งขุนเขาสายน้ำโดยเฉพาะ รวมไปถึงใช้สังหารพวกผีตัวประหลาดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามศาลเถื่อนทั้งหลาย
ผู้ฝึกตนหนุ่มชูมือขึ้นสูง กระจกโบราณที่เขาถืออยู่สาดประกายแสงพร่างพราว สุกสว่างเจิดจ้า ปกคลุมไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูถ้ำแห่งโชควาสนาเอาไว้
เฉินผิงอันมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ เพียงแค่กำพัดพับหยกที่อยู่ในมือเบาๆ
ในสายตาของพวกผู้ฝึกตนทั้งหลาย
เด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้แสงสีขาวจ้าของกระจกสาดส่องลงบนร่าง
ชุดสีขาวราวหิมะ เด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ รูปโฉมบุคลิกงามงด
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายท่านนี้ กระจอกแสงจันทร์บานนี้ของเจ้า อันที่จริงถูกผู้อาวุโสในตระกูลของเจ้าร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ ร่างจริงคือกระจกวานรพิศบ่องมจันทร์ที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่ากระมัง? นี่คือสมบัติอาคมที่เอามาทำเป็นอาวุธกึ่งเซียนได้ชิ้นหนึ่งเลยนะ หากข้าเป็นเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบก็ไม่อาจเก็บซ่อนร่างจริงได้แล้ว หรือว่าสหายที่มีตบะแค่ขอบเขตประตูมังกร สามารถมาฝึกประสบการณ์ที่นี่ได้ ที่แท้ก็เพราะในมือถืออาวุธหนัก เลยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สหายท่านนี้ก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดของต้าหรางสุ่ยแล้ว แล้วยังได้ครอบครองสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่ได้ทั้งป้องกันและโจมตีอีกชิ้นหนึ่ง ข้าผู้แซ่เฉาควรจะมองเจ้าเป็นโอสถทองคนรุ่นเดียวกันสินะ”
ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จ คือคนรุ่นเดียวกับข้า
เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมหมัดเขย่า ขณะเดียวกันก็ร่ายบทกลอนชวนเข็ดฟันว่า “ยามฝันงมจันทร์ในธารา ร่วมพิศขนบโบราณพร้อมวานร”
ขอบเขตประตูมังกรหนุ่มเก็บกระจกโบราณลงไป
โอสถทองผู้เฒ่าจากเกาะหลูฮวาเอ่ยอย่างจนใจว่า “ถ้ำแห่งโชควาสนาของพวกเราไม่เหลือวาสนาตระกูลเซียนอะไรอีกแล้วจริงๆ”
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะมีนิสัยไม่ยี่หระกับสิ่งใด จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากไม่เห็นกับตาตัวเองก็คงไม่ยอมถอดใจ”
โอสถทองผู้เฒ่ากล่าว “เฉาเซียนซือบุกเข้ามาในเกาะหลูฮวาโดยพลการ แล้วยังไปแตะโดนตราผนึกของถ้ำแห่งโชควาสนา ทำลายกฎเกณฑ์ของสำนักพวกเรา ต้องไปเยือนศาลบรรพจารย์ของพวกเราครั้งหนึ่ง”
เพียงแต่ได้ยินเด็กหนุ่มเอ่ยว่า “ถามคำถามก็ถามแล้ว กระจกส่องมารก็ส่องแล้ว ไปดื่มชาที่ศาลบรรพจารย์คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มาจากต้าหรางสุ่ยแห่งทักษินาตยทวีปเอ่ยว่า “ทำผิดกฎไปแล้วครั้งหนึ่ง แนะนำเฉาเซียนซือว่าควรจะเคารพกฎสักครั้ง รอให้พวกเราส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังยอดเขาเสินจ้วน ได้รับคำตอบเมื่อไหร่ย่อมต้องปล่อยตัวเจ้าไปเอง ก่อนหน้านั้นก็ไม่สู้เฉาเซียนซือมาเป็นแขกอยู่บนเกาะหลูฮวาสักสองสามวัน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างอ่อนใจ “ข้าก็เป็นแค่เค่อชิงของสำนักกุยหยก ชื่อเฉาโม่นี่ไม่ได้แตะริมขอบของเทียบวงศ์ตระกูลขุนเขาสายน้ำของยอดเขาเสินจ้วนเสียหน่อย พอกลียุคบังเกิดก็ไม่ได้ไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า จึงได้แต่หลบซ่อนตัว ทุกวันนี้วิถีทางโลกสงบแล้ว ถึงได้กล้าลงจากภูเขามาท่องเที่ยว”
พวกผู้ฝึกตนทั้งหลายล้วนไม่มีใครมีสีหน้าที่น่ามอง
เปลี่ยนจากสายตาราวกับระวังป้องกันโจรก่อนหน้านี้มาเป็นสีหน้าเหยียดหยามดูแคลนอย่างไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย
สำนักกุยหยกที่กระดูกแข็งอย่างถึงที่สุด เหตุใดถึงรับเค่อชิงแบบนี้มาได้ คงไม่ใช่เค่อชิงของสำนักใบถงหรอกกระมัง?
ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนั้นเอ่ยว่า “ของแทนตัวของเค่อชิงล่ะ?”
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ “ปีนั้นเจ้าสำนักเจียงแห่งสำนักกุยหยกเชิญข้าและลู่ฟ่างให้ไปช่วยเหลือที่สำนักเสินจ้วนด้วยกัน ข้ากลัวตายจึงไม่กล้าไป ก็เลยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังสำนักกุยหยก แล้วยังคืนเจินกุยชิ้นนั้นไปแล้วด้วย”
โอสถทองผู้เฒ่าของเกาะหลูฮวาตกตะลึงไปเล็กน้อย “หรือว่าเซียนกระบี่ลู่ไม่เคยละสังขารจากโลกนี้ไป?”
เด็กหนุ่มคล้ายจะเสียใจที่ตัวเองพูดมากเกินจำเป็นจึงไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่จ้องพวกผู้ฝึกตนสองกลุ่มนั้นเขม็ง ลังเลอยู่พักใหญ่ถึงพูดว่า “ลู่ฟ่างเคยไปท่องพื้นที่มงคลดอกบัวร่วมกันกับข้า ต่างก็ฝึกตนอยู่บนยอดเขาเหนี่ยวคั่น เพียงแต่ว่าข้าออกมาจากพื้นที่มงคลเร็วกว่า”
เห็นได้ชัดว่าโอสถทองผู้เฒ่าเคยชินกับสำนักกุยหยกและใบถงทวีปเป็นอย่างดี เวลานี้จึงเริ่มใช้เสียงในใจสื่อสารกับผู้ฝึกกระบี่สามคนของต้าหรางสุ่ยแล้ว
สุดท้ายโอสถทองผู้เฒ่าเอ่ยว่า “คำถามสุดท้าย รบกวนเฉาเซียนซือช่วยพูดถึงเซียนกระบี่ลู่สักหน่อย หากรู้อะไรก็โปรดบอกกล่าวมาให้หมด อีกทั้งต้องระมัดระวังคำพูดด้วย ข้าเคยดื่มสุราร่วมกับทั้งเจ้าสำนักเจียงและเซียนกระบี่ลู่มาก่อน!”
เด็กหนุ่มเริ่มมีโทสะ หันขวับกลับมา ยืดคอยื่นยาวตะเบ็งเสียงกล่าว “พวกเจ้าไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือไง?! ทำไมถึงไม่ฆ่าข้าตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเล่า? มาๆๆ ใช้กระบี่บินฟันมาตรงนี้ ผู้ฝึกกระบี่ต้าหรางสุ่ยตัวดี ทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ เสียแรงยามที่เจ้าสำนักเจียงต้มเหล้าพูดถึงเหล่าวีรบุรุษกับเซียนกระบี่ลู่ผู้ติดบ่วงความรักเป็นการส่วนตัวได้พูดว่า ทักษินาตยทวีปของพวกเจ้า ท่ามกลางกลุ่มเซียนกระบี่ คนอย่างพวกเฉาซีมาถือรองเท้าให้เขายังไม่คู่ควร มีเพียงเซียนกระบี่หยวนแห่งต้าหรางสุ่ยเท่านั้นที่คนกับกระบี่ถึงจะสง่างามควบคู่กัน คู่ควรแก่การดื่มสุราคารวะจากเขา”
ผู้ฝึกกระบี่สามคนของต้าหรางสุ่ยมีสีหน้าปลาบปลื้มใจทันที
สำนักของตน ผู้อาวุโสในบ้านตน สามารถได้รับความเลื่อมใสจากเจ้าสำนักกุยหยกเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนปิติยินดีจากใจจริงได้อย่างไร
เพียงแต่ว่าจุดลึกในดวงตาของพวกเขากลับมีความหม่นหมองเศร้าสร้อยอยู่หลายส่วน
ต้าหรางสุ่ยมีทั้งสิ้นห้าสาย ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมด มีเพียงสายเดียวที่สืบทอดมาจากเซียนกระบี่หยวนชิงสู่
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อ คล้ายจะรู้สึกว่าเจ้าคนที่รักตัวกลัวตายผู้นี้ขวางหูขวางตาเกินไป ควรรีบไสหัวไปให้พ้นๆ โดยเร็ว
เฉินผิงอันเหน็บพัดพับหยกไว้ตรงเอว กุมหมัดคารวะผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามคนนั้นอยู่ไกลๆ อีกครั้ง ครั้นจึงทะยานลมออกไปจากเกาะหลูฮวา ไปเยือนใบถงทวีป ไปเยี่ยมสำนักกุยหยกดูก่อน
เจียงซ่างเจินยังมีชีวิตอยู่ แล้วยังได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักกุยหยกด้วย?
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว
บนเกาะหลูฮวา เฉินผิงอันไม่ได้ถามอะไรให้มากความทั้งนั้น
อะไรที่ควรรู้ ถึงเวลาก็ต้องได้รู้เอง
อะไรที่ไม่อยากฟังไม่อยากรู้ ต่อให้ขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของต้าหรางสุ่ยอำพรางลมปราณ ใช้วิชาหลบน้ำติดตามตนมาอยู่ไกลๆ
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่รับรู้
เพียงแต่ว่าผ่านไปหนึ่งก้านธูป จิตของเขาขยับไหวเล็กน้อย โคจรตราประทับอักษรน้ำที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุร่ายวิชาอภินิหารหลบเลี่ยงน้ำ พริบตาเดียวก็หายไปจากการมองเห็นของก่อกำเนิดผู้นั้น
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหวนกลับมายังเกาะหลูฮวา เอ่ยว่า “น่าจะไม่ใช่เผ่าปีศาจอะไร แต่พวกเรายังต้องส่งกระบี่บินแยกไปแจ้งข่าวแก่สำนักอวี่หลงและสำนักกุยหยก เฉาโม่ผู้นี้อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เกินครึ่งน่าจะเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาน้ำอย่างยิ่ง มิน่าเล่าถึงเป็นเค่อชิงของสำนักกุยหยกได้ เกินครึ่งการที่มาเยือนถ้ำแห่งโชควาสนาก็คงเพราะอยากจะครอบครองมัน”
ผู้ฝึกกระบี่หญิงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ใบถงทวีปมีคนประเภทนี้เยอะที่สุดเลยเชียว! ความสามารถในการหนีเอาชีวิตรอดเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
โอสถทองผู้เฒ่าแห่งเกาะหลูฮวาเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย รักตัวกลัวตาย หลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ถึงอย่างไรก็ดีกว่าพวกตะพาบทั้งหลายที่ไปพึ่งพิงพวกสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจ ก่อกรรมทำชั่วอย่างกำเริบเสิบสานพวกนั้น”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหัวเราะหยัน “ใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาล ภูเขาสิบลูกว่างเปล่าไปเสียเก้าลูก คนหนีไปเกินครึ่ง สมควรแล้วที่จะถูกผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปที่เดินทางลงใต้แทรกซึมเข้าไปเป็นจำนวนมาก แล้วยังมีหน้าจะไปโวยวายที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางอีกหรือ? หากเปลี่ยนข้ามาเป็นอริยะปราชญ์ในศาลบุ๋น ป่านนี้คงตบพวกเขาให้ปากแตกกันไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันเดินอยู่บนมหาสมุทร ลมหิมะบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
หิมะขาวโพลนกว้างใหญ่ไพศาล ยืนอยู่เพียงลำพังเดียวดาย กวาดตามองไปรอบด้านชวนให้สงสัยว่ายืนอยู่ในนครแห่งหยก
ตอนนี้ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันมีวัตถุจื่อชื่อเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล ชุยฉานเป็นผู้มอบให้ อีกทั้งยังไม่ได้ร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำไว้ด้วย
กวาดตามองไปรอบด้าน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ฝึกตนลอบมองอยู่ เฉินผิงอันถึงได้ปลดปิ่นหยกขาวลงมา
ต่อให้เฉินผิงอันคิดจนสมองแตกก็ไม่มีทางคิดได้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย
เมื่อเขาปล่อยดวงจิตให้จมจ่อมอยู่ภายในก็ค้นพบว่าด้านในถ้ำสวรรค์เล็กที่ปริแตก มีเด็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งอยู่อาศัย ล้วนเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ คนที่โตหน่อยก็เจ็ดแปดขวบ เด็กหน่อยก็สี่ห้าขวบ
เด็กพวกนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันดีมาก เพราะถึงอย่างไรยามอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กด้านในปิ่นหยกขาว พวกเขาต่างก็มีชีวิตพึ่งพากันและกัน
อาณาเขตของถ้ำสวรรค์เล็กไม่ใหญ่ เพียงแต่ว่านกกระจอกแม้จะเล็กก็มีอวัยวะครบถ้วน นอกจากบ้านเรือนแล้วยังมีภูเขาลำน้ำ ต้นไม้ใบหญ้า หม้อชามกระบวยอ่าง ฟืนข้าวน้ำมันเกลือน้ำส้ม ล้วนมีครบหมดทุกอย่าง
ถึงขั้นที่ว่ายังมีแท่นสังหารมังกรก้อนหนึ่งที่เอาไว้ใช้ลับกระบี่บิน มีขนาดประมานต้นเสาที่อยู่ด้านนอกศาลขุนเขาสายน้ำ มูลค่าควรเมือง
——