บทที่ 747.2 คนที่กลับมายามค่ำคืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันหยิบเรือยันต์ลำหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อพอดี เนื่องจากด้านในนั้นมีเรือข้ามฟากทั้งหมดสามลำ แล้วยังมีเรือหลิวเสียอีกหนึ่งลำ เฉินผิงอันเลือกเรือยันต์ที่ค่อนข้างเรียบง่ายลำหนึ่ง ขนาดของมันสามารถรองรับคนได้ประมาณสามสิบสี่สิบกว่าคน เฉินผิงอันพาเด็กๆ พวกนั้นออกมาจากถ้ำสวรรค์เล็ก จากนั้นก็นำปิ่นหยกขาวปักลงบนมวยผมอีกครั้ง

เด็กชายคนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลังเชิดหน้าขึ้นสูง ขมวดคิ้วน้อยๆ “เจ้าเป็นเทพเซียนจากที่ใด? อิ่นกวานอยู่ที่ไหน?”

“ข้าก็คือเฉินผิงอัน”

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น ยื่นมือมานวดคลึงหว่างคิ้ว “บอกชื่อมา”

เด็กชายตัวน้อยห้าคนคือ เหอกู เฉิงเฉาลู่ ป๋ายเสวียน อวี๋เสียหุย อวี๋ชิงจาง

เด็กหญิงตัวน้อยสี่คนคือ เฮ้อเซียงถิง เหยาเสี่ยวเหยียน น่าหลันอวี้เตี๋ย ซุนชุนหวัง

ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างเจ็ดคน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตสองคน ป๋ายเสวียน อวี้เตี๋ย

เฉินผิงอันเอ่ย “ข้อแรก ห้ามบอกกับใครเรื่องบ้านเกิดของตัวเอง ต่อจากนี้ทุกวันข้าจะสอนภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปแก่พวกเจ้า”

เหอกูยกสองแขนกอดอก พูดอย่างขุ่นเคือง “ทำไมถึงพูดถึงบ้านเกิดไม่ได้ ขายหน้าเจ้าหรือ? เป็นใต้เท้าอิ่นกวานได้อย่างไร หากรู้แต่แรกข้าคงเอาชื่อเจ้าไปไว้อันดับท้ายสุด เรียนภาษากลางอะไร ไม่เห็นจะอยากเรียนเลย!”

เขารึอุตส่าห์โยนเฒ่าหูหนวกในอันดับเซียนกระบี่ยอดเขาสิบคนทิ้งไปไว้ด้านข้าง เปลี่ยนมาเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุยังน้อย และขอบเขตยังไม่สูงแทน

อวี๋เสียหุยพยักหน้ารับเบาๆ พูดเหมือนคนแก่ว่า “ผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ คำพูดล้วนอยู่บนการถามกระบี่”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำบ่นของพวกเด็กๆ ยังคงเอ่ยต่อไปว่า “ข้อสอง วันหน้าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี ไม่มีอะไรแล้ว แค่เงื่อนไขสองข้อนี้เท่านั้น”

เหอกูไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีก ถลึงตาเอ่ยว่า “อะไรนะ? ไม่มีแล้ว? เป็นใต้เท้าอิ่นกวานได้อย่างไร? พวกผู้อาวุโสในตระกูลข้าต่างก็พูดกันว่าเจ้ามีอุบายมากมาย สมองหลักแหลมมีไหวพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ่านหนังสือไม่รู้จักเรียนรู้ในสิ่งดีๆ เชี่ยวชาญการหลอกต้มตุ๋นคนอื่นมากที่สุด สามารถเข้าร่วมประชุมกับสิบเซียนกระบี่ยอดเขาบนหัวกำแพงเมือง มีแต่เจ้าที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ท่านแม่ข้าเลยถามว่าอาศัยอะไร ท่านพ่อข้าบอกว่ายังจะอาศัยอะไรได้อีก ก็อาศัยปากที่หลอกคนตายไม่ต้องชดใช้ชีวิตน่ะสิ ทำไมวันนี้ถึงไม่พูดมากแล้วล่ะ เจ้าคงจะไม่ใช่ใต้เท้าอิ่นกวานตัวปลอมหรอกกระมัง?”

อ่านหนังสือไม่รู้จักเรียนรู้ในสิ่งดีๆ เชี่ยวชาญการหลอกต้มตุ๋นคนอื่นมากที่สุด?

ร้านเหล้าของข้าร้านนั้นขึ้นชื่อว่าราคายุติธรรมไม่หลอกลวงเด็กสตรีและคนอ่อนแอ ข้าเป็นเจ้ามือก็ยิ่งขึ้นชื่อว่าทุกคนช่วยกันหาเงินทุกคนก็มีเงิน ได้ส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียม

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีเขกมะเหงกลงไป เจ้าตัวป่วนน้อยกุมหัว เพียงแต่ไม่มีไฟโทสะ กลับกันยังพยักหน้ารับ บนใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม “มิน่าเล่าท่านพ่อของข้าถึงได้บอกว่าเถ้าแก่รองคือบัณฑิตชาติสุนัข เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือ ดูท่าจะเป็นใต้เท้าอิ่นกวานตัวจริงแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ต้องเป็นพวกที่เดิมพันพ่ายแพ้ ไม่ใช่หน้าม้าอย่างแน่นอน เรื่องนี้จะโทษข้าก็ไม่ได้นะ

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “บวกกับอีกข้อหนึ่ง วันหน้าเรียกข้าว่าเฉาโม่ เป็นนามแฝง หรือไม่ก็เรียกว่าอาจารย์เฉา ข้าจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาด้านเวทกระบี่ให้พวกเจ้าก่อนชั่วคราว วันหน้าพวกเจ้าตามข้าไปถึงบ้านเกิด จะเข้าสำนักของข้าหรือไม่ก็แล้วแต่วาสนา ไม่บังคับฝืนใจกัน”

เด็กๆ ที่ต่อจากนี้จะต้องเดินทางไกลไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ความเจ็บปวดรวดร้าวเกินจะกล่าวที่ต้องลาจากกับญาติใกล้ชิด คาดว่าคงค่อยๆ ถูกขัดเกลาไปในปิ่นหยกขาวแล้ว

พวกเขาต้องลาจากบ้านเกิด มีเพียงตนที่ได้กลับบ้านเกิด

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาตีมือกัน คนละที ถือว่าต่างคนต่างยอมรับแล้ว”

เฉินผิงอันสีหน้าอ่อนโยน ค้อมเอวลง ยื่นฝ่ามือออกไปตีมือกับพวกเด็กๆ คนละที มีเด็กบ้างคนตีหน้าเคร่ง ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ไม่เงยหน้าและไม่ตีมือ เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสา

เฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวเรือด้านหนึ่ง บังคับเรือยันต์ทะยานลมไม่ให้ลอยพ้นเหนือผิวทะเลมามากเกินไปนักพลางรู้สึกปวดหัวไปด้วย เดิมทีนึกว่าจะต้องไปเยือนใบถงทวีปเพียงลำพัง ไหนเลยจะคิดได้ว่าต้องมาเจอกับภาพบรรยากาศที่เสียงดังครึกครื้นเช่นนี้

พวกเด็กๆ ฟุบตัวอยู่บนราวรั้วของเรือ ซุบซิบกันเสียงเบา

บางคนก็นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มหล่อเลี้ยงกระบี่บินด้วยความอบอุ่น

“สายน้ำกว้างใหญ่ยิ่งนัก มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย เจ้าว่ามันลึกแค่ไหน? หากเอากำแพงเมืองของบ้านเกิดพวกเรามาโยนทิ้งไว้ที่นี่ พวกเราจะได้ยืนอยู่บนผิวน้ำหรือว่ายืนอยู่ใต้น้ำ?”

“ถามอิ่นกวาน…ถามเฉาโม่สิ เขาอ่านหนังสือมาเยอะ ความรู้กว้างขวาง”

เรือยันต์พุ่งฉิวไปเหนือมหาสมุทร ระหว่างนั้นเฉินผิงอันมองเห็นคนเก็บไข่มุกของเกาะหลูฮวาออกทะเลมาไกลๆ จึงร่ายเวทอำพรางตาให้กับเรือยันต์ เดินทางอ้อมผ่านพวกเขาไป

เพียงแต่ว่าเรือยันต์เดินทางไกลแบบนี้กินเงินเทพเซียนมากเกินไป เฉินผิงอันแหงนหน้ามองไป หวังว่าจะมีเรือข้ามทวีปจากตะวันตกไปตะวันออกผ่านมาบ้าง เมื่อเทียบกับการที่ตนต้องบังคับยันต์ข้ามทะเลเดินทางไกลแล้ว เห็นได้ชัดว่าอย่างหลังคุ้มค่ากว่าหน่อย อีกทั้งเด็กๆ พวกนี้ ในเมื่อมาเยือนใต้หล้าไพศาลแล้ว ก็จำเป็นต้องคบค้าสมาคมกับคนนอกของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ เรือข้ามฟากนับว่าปลอดภัย อันที่จริงคือทางเลือกที่ดีมาก แต่น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่ได้คาดหวังให้มีเรือข้ามฟากลำหนึ่งผ่านมาจริงๆ เพราะถึงอย่างไรประวัติศาสตร์ของใบถงทวีปก็ปิดกั้นการจราจรมากเกินไป ไม่มีวัตถุประเภทนี้

เฉินผิงอันเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมารัดไว้ตรงเอว ตบกาเหล้าเบาๆ เจ้าเพื่อนยาก ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ

จากนั้นจึงนำพัดพับไม้ไผ่หยกที่ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานมอบให้มาเหน็บเอียงๆ ไว้ตรงเอว

นั่งอยู่บนหัวเรือ สอบถามสถานการณ์ในปิ่นหยกขาวกับพวกเด็กๆ

แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่าน่าหลันอวี้เตี๋ยน้ำเสียงใสกระจ่าง เส้นเสียงชัดเจน นางพูดรัวเร็วราวเทถั่วออกจากระบอกไม้ไผ่ พูดเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องการ ‘ฝึกตน’ ตลอดหลายปีมานี้

ความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ด้านในช้า ด้านนอกเร็ว เป็นถ้ำสวรรค์ที่แตกต่างไปจากที่อื่นอย่างสมชื่อจริงแท้

ดังนั้นอันที่จริงเด็กทั้งเก้าคนนี้จึงไม่ถือว่าฝึกกระบี่อยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กที่ปริแตกอย่างปิ่นหยกขาวนี้นานนัก

เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน แล้วจู่ๆ ก็พลันถามว่า “อาหารมื้อดึกคืนนี้ พวกเรากินปลาตุ๋นกันดีไหม? รสชาติของปลาทะเลกับปลาแม่น้ำไม่ค่อยเหมือนกัน”

เหอกูไม่กลัวคนแปลกหน้ามากที่สุด พูดโหวกเหวกเสียงดังว่า “ไม่ค่อยอยาก แต่ก็พอจะกินได้”

อวี๋เสียหุยเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “อิ่นกวานนี่ไม่มีมาดเผด็จการแม้แต่น้อย แค่ออกคำสั่งมาตรงๆ ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”

เด็กคนนี้เอ่ยตามมาอีกคำว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอกสักหน่อย ไม่ต้องเรียกเจ้าว่าเฉาโม่”

เฉินผิงอันหัวเราะ

อวี๋เสียหุยรีบยกสองมือขึ้นทันใด “เจ้านี่กฎเยอะเสียจริง ก็ได้ๆๆ เฉาโม่ อาจารย์เฉา นายท่านใหญ่เฉา แค่นี้คงได้แล้วกระมัง”

เฉินผิงอันถอนหายใจ

เหตุใดถึงเหมือนปีนั้นที่ข้างกายมีหลี่ไหวติดตามมาด้วยเลยนะ?

เฉินผิงอันร่ายเวทน้ำให้ก่อตัวขึ้นมาเป็นเบ็ดตกปลาลักษณะคล้ายทำมาจากหยกมรกต จากนั้นจึงใช้ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธเสี้ยวหนึ่งสร้างเส้นเอ็นตกปลา ตะขอตกปลา แล้วก็ไม่ต้องมีเหยื่อ เพียงเหวี่ยงคันเบ็ดโยนไปไกลๆ ปล่อยให้จมลงสู่ทะเลเช่นนั้น

จากนั้นก็เริ่มหลับตาทำสมาธิ อาศัยแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยของคันเบ็ดเส้นบางนั้นตามหาปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำบริเวณใกล้เคียง

เสี่ยวเหยียนเอ่ยชื่นชม “เฉาโม่มีมาดแห่งเทพเซียนจริงๆ”

อวี้เตี๋ยเลิกคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นอิ่น…เป็นอาจารย์เฉาที่พี่สาวของข้ารักอย่างสุดจิตสุดใจได้หรือ?! พี่สาวของข้าสะสมเงินเทพเซียนทั้งหมดที่มีไว้อย่างยากลำบาก แล้วเอาไปซื้อตราประทับ ซื้อพัดแล้วก็ตำราสองร้อยเซียนกระบี่จากที่ร้านตระกูลเยี่ยน นางไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้ามาตั้งหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้พบอาจารย์เฉาสักครั้ง ทุกครั้งที่นางกลับมาบ้านก็ยังอารมณ์ดีอย่างมาก ท่านปู่บอกว่านางถูกผีบดบังใจแล้ว พี่สาวข้าก็ยังไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม หลอมกระบี่ยังเกียจคร้าน มักจะแอบไปฝึกเขียนตัวอักษรบ่อยๆ ตัวอักษรที่คัดลอกจากหน้าพัด นางเขียนอย่างกับวาดยันต์ผีอย่างไรอย่างนั้น”

เสี่ยวเหยียนเอ่ยเสียงเบา “เมื่อไหร่พวกเราถึงจะได้พบพี่หญิงหว่านหว่านล่ะ?”

อวี้เตี๋ยถอนหายใจ “บอกได้ยากแล้วล่ะ รู้แค่ว่าพี่สาวของข้าติดตามพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนไปที่ภูเขาห้อยหัว”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น มือถือคันเบ็ด มือซ้ายปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมากระดกดื่มเหล้าหนึ่งอึก

รสชาติของสุราที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน คือสุราเผามีดของร้านบ้านตัวเอง

อาจเป็นเพราะไม่ได้ดื่มมานานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะไม่มีผักดองแกล้มเหล้า หรืออาจเป็นเพราะไม่มีบะหมี่โรยหอมซอยให้กิน ดังนั้นเพียงแค่ดื่มจิบเล็กๆ นี้ก็ร้อนลวกจนทำให้คนแทบน้ำตาไหล ไส้แทบจะผูกกันเป็นปม

บนเส้นทางของชีวิตคนอาจจะได้เจอกับคนมากมายที่ผ่านทางมาอย่างรีบร้อนซึ่งพอผ่านทางไปแล้วก็ไม่อาจได้พบเจอกันอีก ทว่าในใจของคน แขกที่ผ่านทางมาอาจจะเป็นคนที่อยู่อาศัยมานานของคนอื่น ยังคงมีรอยยิ้ม ยังคงมีเสียงพูดคุยดัง ยังคงมีความเมามายร่วมโต๊ะดื่มสุรา ยังคงทำให้คนคนหนึ่งที่พอคิดถึงใครขึ้นมา ใครคนนั้นก็ราวกับว่ากำลังมองสบตากับตน เงียบเชียบจนทำให้คนไร้คำพูดให้เอื้อนเอ่ย

เฉินผิงอันหันหน้ามาช้าๆ มองพวกเด็กๆ ที่บ้างก็พูดคุยกันเจื้อยแจ้ว บ้างก็ฝึกกระบี่เงียบๆ

ความฝันคล้ายความจริง ความจริงคล้ายกับกำลังฝันไป

คาดว่านี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าอยู่ห่างกันคนละโลกที่บอกไว้ในตำรา

เฉินผิงอันไม่กล้าดื่มเหล้ามากนัก เขาหันหน้ากลับมา เรียกเจ้าพวกนกกระจิบน้อยที่ราวกับมาจากหัวกำแพงเมืองพวกนั้น “นี่”

พวกเด็กๆ ที่กำลังพูดคุยกันพากันหันขวับมาอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่คนที่ฝึกกระบี่ก็ยังเงี่ยหูตั้งใจฟัง

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไปถึงใต้หล้าไพศาล วันหน้าใครกล้ารังแกพวกเจ้า ข้าจะฆ่าพวกเขา”

ป๋ายเสวียนถาม “หากเจอกับเซียนเหรินในใบถงทวีป หรือถึงขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน เจ้าต้องสู้ไม่ได้แน่นอน”

เด็กคนนี้ชอบเอาสองมือไพล่หลัง แสร้งทำท่าเป็นคนโต

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

ในบรรดาผู้ฝึกตนท้องถิ่นของใบถงทวีป เกินครึ่งคงไม่มีขอบเขตบินทะยานแล้ว

ส่วนเซียนเหริน

สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้ สามารถให้เขาลองดูได้

เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่อยู่ต่อในใบถงทวีป ในเมื่อปีนั้นไม่ได้จากไป ยังคงมีชีวิตรอดอยู่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นวีรบุรุษหรือไม่ก็ผู้กล้าอย่างสมชื่อแล้ว

สู้ไม่ได้ก็อย่าสู้ หาเงินต้องหาด้วยความปรองดองนี่นะ

เมื่อเฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งอีกต่อไป ก็เท่ากับว่าเสียที่พึ่ง ขณะเดียวกันก็หลุดพ้นจากกรงขังด้วย

ส่วนชุยฉานทำได้อย่างไร สวรรค์เท่านั้นที่รู้

เพราะวิธีการของคนเย็บผ้าเหนี่ยนซิน เพราะสาเหตุจากการแบกรับชื่อจริงของปีศาจใหญ่เอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันฝึกหมัดอยู่ตลอดเวลา จึงต้องถูกมหามรรคาสยบกำราบอย่างไร้รูปลักษณ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลานาที

ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ เส้นเอ็น กระดูก เลือดเนื้อ เส้นชีพจร ช่องโพรงลมปราณ จนไปถึงจิตวิญญาณ คล้ายกับฟ้าดินเล็กขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้แห่งหนึ่ง ไม่มีที่ใดเป็นแค่ข้อยกเว้น ล้วนต้องแบกรับน้ำหนักมหาศาลที่ลี้ลับมหัศจรรย์ ล้วนสั่นสะเทือนไม่หยุดนิ่ง ล้วนมีปรมาจารย์ใหญ่หลายท่านที่ป้อนหมัดอย่างดุดันไม่ออมมือ คอยหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณให้กับเฉินผิงอัน ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้ทำให้จิตใจสงบ…อย่างที่ไม่ได้พบเจอมานาน

ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ถ้ำแห่งโชควาสนา เมื่อเขาคลายผนึกขุนเขาสายน้ำออก เฉินผิงอันไม่ทันระวัง ไม่อาจปรับตัวเข้ากับลมปราณของฟ้าดินได้ จึง ‘ขอบเขตถดถอย’ กลายไปมีภาพบรรยากาศของโอสถทองทั้งอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นด้วยความระมัดระวังของเฉินผิงอันแล้วก็คงไม่ถึงขั้นทำให้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นสัมผัสถึงร่องรอยของเขาได้

นับตั้งแต่ที่ได้พบเจอกับชุยฉานแล้วอยู่ดีๆ ก็มาโผล่บนถ้ำแห่งโชควาสนาของเกาะหลูฮวา ถึงอย่างไรก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดอยู่แล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แค่เคยชินไปแล้วก็ดีเอง

แต่เวลานี้กลับต้องให้เฉินผิงอันร่ายเวทอำพรางตา แสร้งจงใจเป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งแล้ว

‘เด็กหนุ่ม’ ชุดขาวแหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง ยิ้มพึมพำว่า “สุรามีความจุที่แตกต่าง ไม่จำเป็นต้องเติบใหญ่”

เสี่ยวเหยียนถามอย่างขลาดๆ ว่า “ปลาล่ะ?”

เฉินผิงอันพลันยกคันเบ็ดขึ้น กระชากปลาตัวหนึ่งขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากน้ำ ปลาหล่นกระแทกลงบนเรือ

พวกเด็กๆ หันมามองหน้ากันตาปริบๆ

แค่นี้?

ไม่ควรจะเป็นปลาใหญ่เหมือนภูเขาลูกย่อมหรอกหรือ?

เฉิงเฉาลู่รีบวิ่งมาจับปลาตัวน้อย ผลคือถูกสหายเรียกว่าเป็นเจ้าสุนัขรับใช้ตัวน้อย

ตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กล้วนเป็นเฉิงเฉาลู่ที่ก่อไฟทำอาหาร ฝีมือการปรุงอาหารไม่เลว

อวี๋เสียหุยเอ่ยเสียงเบาว่า “เหอกู ข้ายังคงรู้สึกว่าเขาเป็นอิ่นกวานตัวปลอมอยู่ดี พวกเราระวังหน่อยนะ ไม่ใช่ว่าถูกขายแล้วยังจะช่วยเขานับเงินด้วยล่ะ”

พวกเด็กๆ ส่วนใหญ่ล้วนพยักหน้าคล้อยตามเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หยิบเอาชุดคลุมอาคมสีเขียวครามตัวหนึ่งที่ถักมาจากเยื่อไผ่เล็กบางออกมาสวมไว้บนร่าง ปลดหน้ากากก่อนหน้านี้ออก เปลี่ยนมาสวมหน้ากากผิวหน้าของบุรุษวัยกลางคน ขณะเดียวกันก็เก็บลมปราณทั้งหมดของผู้ฝึกลมปราณกลับมา เผยให้เห็นภาพบรรยากาศของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ข้างเอวห้อยดาบแคบพิฆาต ยื่นมือออกไปคว้าก็ใช้โชคชะตาน้ำสร้างงอบไม้ไผ่ขึ้นมาอันหนึ่ง สวมไว้บนศีรษะ

กลายเป็นเฉาโม่มือดาบอย่างสมชื่อ

อีกทั้งเวทอำพรางตาของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงการโคจรของฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ หากไม่มีตบะของเซียนเหริน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมองความจริงออก

ป๋ายเสวียนนั่งอยู่บนหัวเรือ ยังคงเอาสองมือไพล่หลัง หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “ผีหัวโตตัวปลอมเช่นนี้ นี่ยังไม่ถือว่าเป็นใต้เท้าอิ่นกวานอีกหรือ? กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรามีผู้ฝึกกระบี่สักกี่คนที่เปลี่ยนโฉมหน้าอยู่ทุกวัน ถึงขั้นยังแต่งกายเป็นสตรีเดินอ้อนแอ้นไปเก็บตกของดีบนสนามรบน่ะ?”

น่าหลันอวี้เตี๋ยพยักหน้า “พี่สาวข้าบอกแล้วว่า ใต้เท้าอิ่นกวานในเวลานั้นเหมือนบุปผางามสะพรั่งผลิบาน สวยกว่า แล้วยังมีเสน่ห์ของสตรีมากกว่านางเสียอีก”

เฉินผิงอันตกปลาต่ออีกครั้ง มือถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จิบเหล้าคำเล็กๆ พลางยิ้มตาหยีเอ่ยเสียงเบาไปด้วย “จุดพักม้าโบราณหิมะตกเต็มลาน มีลูกค้าควบม้ามาถึง หิมะทับกองหนาบนหมวกสาน จอมยุทธลงจากม้าเดินเข้าห้องโถง แสงหิมะสาดเจิดจ้า ใบหน้ากลับดำคล้ำ ดื่มเหล้าเมามายไร้ถ้อยคำ โยนใบไม้สีทองทิ้งไว้ ขึ้นม้าควบตะบึง ฝ่าหิมะสังหารโจรไม่หยุด ไม่ทราบนาม”

อวี๋เสียหุยรออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคถัดไป จึงเริ่มขัดคอด้วยความเคยชิน “ปลาตัวที่สองล่ะ?”

เฉินผิงอันตอบกลับประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เร่งๆๆ จะเร่งทำไมนักหนา ปลาต้องเรียกเพื่อนมันมา เรียกบรรพบุรุษในบ้านของมันมา เดินทางไม่ต้องใช้เวลาหรือไร”

เฉินผิงอันพลันเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปไกลเท่าที่การมองเห็นจะเอื้ออำนวย วันนี้โชคดีขนาดนี้เชียวหรือ? มีเรือข้ามทวีปเดินทางมายังใบถงทวีปด้วย?

เพียงแต่ดูเหมือนว่าจะต้องทักทายปราศรัยกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินท่านหนึ่งเสียก่อน อีกฝ่ายทะยานลมมาถึงด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ใช้วิชาลับชักนำโชคชะตาน้ำตรวจสอบความเคลื่อนไหวของน่านน้ำในรัศมีร้อยลี้ คงเป็นเพราะยังตามหาเฉาโม่ที่ใช้วิชาน้ำหลบหนีไม่เจอ แต่ก็ยังไม่ถอดใจ จากนั้นนางก็สังเกตเห็นเรือยันต์ลำหนึ่ง นางจึงพุ่งมาถึงดุจสายรุ้ง แต่กลับไม่ได้ทิ้งตัวลงบนหัวเรือ อยู่ห่างจากตัวเรือไปประมาณร้อยกว่าก้าว ขยับเคลื่อนหน้าไปพร้อมกันพลางเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่า “เจ้าพาเด็กๆ มากมายขนาดนี้ออกเดินทางบนมหาสมุทรยามค่ำคืน ต้องระวังให้มาก”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง วางคันเบ็ดตกปลาลง ลุกขึ้นยืนกุมหมัดยิ้มถาม “ผู้อาวุโสไม่สงสัยในตัวตนของพวกเราหรือ?”

ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนนั้นยิ้มตอบ “เผ่าปีศาจน้อยใหญ่ที่อยู่รอบด้านล้วนถูกข้าสังหารหมดแล้ว จะสงสัยพวกเจ้าไปไย”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก

นางถาม “เจ้ารู้จักเจียงซ่างเจินจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันตอบด้วยสีหน้าซื่อสัตย์จริงใจ “ข้าย่อมรู้จักเจ้าสำนักเจียง แต่เจ้าคนหลายใจผู้นั้นอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้จักข้า”

นางผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วทะยานลมจากไปทั้งอย่างนั้น

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ทยอยตกปลาได้เรื่อยๆ พ่อครัวน้อยเฉิงเฉามู่มีฝีมือทำอาหารไม่เลวเลยจริงๆ

เฉินผิงอันคีบเนื้อปลามาหนึ่งคำ จากนั้นยกถ้วยข้าวมา หันหลังให้พวกเด็กๆ แล้วก้มหน้ากิน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ดูเหมือนเขาก้มหน้าพุ้ยข้าวอยู่ตลอดเวลา พวกเด็กๆ ต่างก็ไม่เข้าใจ ข้าวถ้วยหนึ่งกินได้นานขนาดนี้เชียวหรือ?

——