ตอนที่ 1704 : ร่วมมือ

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1704 : ร่วมมือ

“เพราะพรสวรรค์ที่มีจำกัด มันจึงยากที่เหนือเทพทั้งสามคนจะไปถึงขั้นราชาเทพได้ ดังนั้นพวกนั้นจึงต้องการค้นหาสุสานของราชาเทพต้วนมู่เพื่อที่จะทำการทะลวงผ่าน พวกนั้นแอบตกลงกัน หลังจากนั้นเหนือเทพทั้งสามคนก็ร่วมมือกันเพื่อเข้าไปยังสุสาน แต่ราชาเทพต้วนมู่ก็เป็นถึงราชาเทพและมีข่าวลือว่าเขาเคยเป็นหนึ่งในคนที่ก้าวขึ้นถึงบัลลังค์ของราชาเทพได้ แม้ว่าเขาจะล้มเหลวที่จะก้าวเข้าไปถึงหนึ่งพันอันดับแรก แต่ความแข็งแกร่งที่เขามีก็น่ากลัวอย่างมาก เขาถือว่าเป็นพวกระดับสูงของราชาเทพ ถึงแม้จะตายไปแต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ในสุสานก็ยังทรงพลังอย่างมากซึ่งทำให้แม้แต่เหนือเทพก็ยังยากที่จะเข้าไปด้านใน เหนือเทพทั้งสามคนได้เข้าไปยังสุสานอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจเข้าไปถึงเขตหลักได้ กลับกันแล้วพวกเขาได้รับบาดเจ็บเพราะค่ายกลภายในสุสานจนต้องหนีเอาชีวิตรอด อาการบาดเจ็บนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษา บางทีพวกเขาคงเข้าใจว่าไม่อาจจะเข้าถึงเขตหลักของสุสานได้ไปตลอดชีวิต แต่เหนือเทพทั้งสามคนไม่เต็มใจที่จะเห็นว่าทุกอย่างที่พวกเขาพยายามคว้ามาตลอดหลายปีนั้นเสียเปล่า ผลก็คือพวกเขาได้ก่อตั้งตระกูลของตนและส่งต่อข้อมูลเรื่องหยกของราชาเทพต้วนมู่ ให้กับลูกหลานคนสำคัญ”

ความสนใจของเจี้ยนเฉินเพิ่มขึ้นเมื่อบรรพชนพูดถึงตรงนี้ เขาได้พูดขึ้นมา “ตระกูลที่ก่อตั้งโดยจอมเทพทั้งสามนั้นคือตระกูลโม่, ตระกูลลู่และตระกูลอันโดงั้นหรือ ? ”

โม่หลิงพยักหน้า “ถูกต้อง มันคือตระกูลโม่ของเรา, ตระกูลลู่และตระกูลอันโด ข้อมูลเรื่องหยกนี้ถูกเก็บไว้อย่างดี มีแค่สมาชิกระดับสูงที่มีสิทธิที่จะรู้” โม่หลิงมองไปที่เจี้ยนเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่ตระกูลของพวกเขาได้บอกคนนอกถึงข่าวที่สำคัญเช่นนี้

แต่โม่หลิงไม่มีทางเลือก เจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนนั้นแข็งแกร่งจนตระกูลโม่ต้องการให้พวกนี้ร่วมมือด้วยโดยไม่สนว่าต้องเสียอะไร หรือพวกเขาไม่อาจจะรับมือกับการร่วมมือกันของตระกูลลู่และตระกูลอันโดได้

ไม่ต้องเดาเลยว่าเรื่องเกี่ยวกับหยกของราชาเทพตวนมู่ นั้นสำคัญ แต่สำหรับโม่หลิงและผู้นำตระกูลแล้ว ตระกูลสำคัญอย่างมากเช่นเดียวกัน ชัดเจนแล้วว่าหากต้องเลือกระหว่างสองอย่างนี้แล้ว พวกเขาเลือกที่จะปกป้องตระกูล

แม้ว่าพวกเขาจะเผยข้อมูลนี้ให้กับตระกูลที่แข็งแกร่งในแคว้นตงอันและขอความช่วยเหลือจากพวกนั้น แต่โม่หลิงก็กังวลว่าตระกูลเหล่านั้นอาจจะไม่ได้ช่วยพวกเขาและจะหันมาทำร้ายพวกเขาแทนเมื่อรู้เรื่องหยกของราชาเทพต้วนมู่

แต่การเปิดเผยเรื่องนี้กับเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนนั้นเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในสายตาของโม่หลิง นี่เป็นเพราะพรสวรรค์ของเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนนั้นน่าประทับใจ พวกเขาต้องกลายเป็นคนสำคัญไม่ว่าจะเข้าร่วมตระกูลไหนก็ตามด้วยความสามารถที่พวกเขามี ดังนั้นหากเขารับสองคนนี้เข้าพวกได้ เช่นนั้นมันก็มีค่ามากกว่าการได้ลงไปยังสุสานของราชาเทพ

“งั้นเรื่องบรรรพบุรุษที่ก่อตั้งสามตระกูลล่ะ ? ” เจี้ยนเฉินถามขึ้นมา นี่คือเรื่องที่เขาสนใจมากที่สุด เหนือเทพเหล่านั้นเป็นตัวตนที่น่ากลัวซึ่งสามารถทำตามใจได้ในแคว้นตงอันโดยไม่มีใครหยุดพวกเขาได้ หากพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ต้องระวังตัวและเขาก็ต้องเลื่อนแผนการในการจัดการกับตระกูลลู่ออกไป

สีหน้าของโม่หลิงสลดลง “บรรพชนของตระกูลโม่และอีกสองตระกูลนั้นได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่นชีวิตจากการเข้าไปในสุสาน ดังนั้นพวกเขาจึงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หลังจากที่บรรพชนพาเราไปยังสุสานในครั้งที่แล้ว พวกนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอีก พวกนั้นได้ตายไปในสุสานราชาเทพแล้ว “

เจี้ยนเฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตราบใดที่เหนือเทพของตระกูลลู่ตายไป งั้นเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไร

“พี่โม่หลิง สุสานแห่งนี้จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีหยกทั้งสามชิ้นรวมกันใช่หรือไม่ ? ” เฉินเจี้ยนถาม

โม่หลิงพยักหน้า “ถูกต้อง ตราบใดที่เอาหยกสามชิ้นมารวมกัน เจ้าจะสามารถเข้าไปยังสุสานราชาเทพได้ แต่สุสานนี้แปลกประหลาด มันไม่ได้มีพลังงานดั้งเดิมในนั้นให้ดูดซับ ดังนั้นเมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องพึ่งตัวเอง วิธีเดียวในการฟื้นฟูก็คิดกินยาและใช้สมบัติสวรรค์ ผลก็คือทั้งตระกูลมักจะต้องเตรียมตัวก่อนที่จะเข้าไปยังสุสาน”

“เมื่อหยกของตระกูลลู่อยู่ในมือของน้องเจี้ยนเฉิน เราก็มีหยกทั้งหมด 2 ชิ้นอยู่กับฝ่ายเรา หากนับรวมอันที่เรามีแล้ว เราขาดหยกจากตระกูลอันโดเพียงอันเดียว” ผู้นำตระกูลพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

เจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนมองหน้ากัน เมื่อพวกเขารู้แล้วว่าหยกทั้งหมดอยู่ที่ไหน ทั้งสองคนจึงเริ่มสนใจที่จะร่วมมือกับตระกูลโม่ ยังไงซะมันก็คือสุสานของราชาเทพ มันมีสมบัติที่ทำให้เหนือเทพหันมาสนใจได้จนพวกเขายอมเอาชีวิตไปทิ้ง

“เจี้ยนเฉิน เจ้าต้องเข้าไปยังสุสานราชาเทพและรีบตกลงร่วมมือกับตระกูลโม่ จากนั้นก็ไปเอาหยกจากตระกูลอันโดให้ได้เร็วที่สุด” เสียงของนางฟ้าเฮายู่ดังขึ้นมาในหัวของเจี้ยนเฉิน

เจี้ยนเฉินกัดฟันแน่นและเอ่ยว่า “พี่โม่หลิง เราจะช่วยท่านจัดการกับตระกูลลู่และตระกูลอันโดหรือแม้แต่ปัญหาที่เกิดจากนิกายจุลกระบี่ เราต้องการให้ท่านพาเราเข้าไปยังสุสานราชาเทพเพื่อเป็นการตอบแทน”

“ได้ ไม่มีปัญหา” โม่หลิงตอบตกลงแทบจะทันที

ตอนนั้นเองก็เกิดการร่วมมือกันแบบชั่วคราว หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ได้บอกพวกนั้นเกี่ยวกับเหรียญผลึกระดับสูงที่ปรากฏขึ้นมาในภูเขาเมฆดำของตระกูลลู่ แต่โม่หลิงไม่อาจจะทำอะไรได้ ที่เขาทำได้ก็แค่คอยจับตาดูเพราะตระกูลของพวกเขาไม่ได้มีอำนาจที่จะไปยุ่งเกี่ยวได้

ยังไงซะตระกูลโม่ตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับในอดีต ตั้งแต่ที่เหนือเทพของพวกเขาตายไป ตระกูลโม่, ตระกูลลู่และตระกูลอันโดต่างก็ตกต่ำลง

ผู้นำตระกูลได้ออกจากห้องโถงไปพร้อมกับโม่หลิง ตอนที่พวกเขากลับไปนั้น โม่หลิงได้ใส่ผ้าปิดหน้าอีกครั้งเพื่อไม่ให้ดูสะดุดตา ไม่มีใครอื่นในตระกูลโม่ที่รู้ว่าบรรพชนของพวกเขาได้ออกจากการเก็บตัวและได้มาพูดคุยกับเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยน

ก่อนที่พวกเขาจะไป ผู้นำตระกูลได้ทิ้งของขวัญชิ้นหนึ่งเอาไว้ มันคือแหวนมิติที่มีเหรียญผลึกระดับต่ำกว่าสองล้านชิ้น

“มันมาได้พอเหมาะพอเจาะเพราะข้าต้องการเหรียญผลึก ข้าจึงได้มาหาเจ้า ไม่คิดว่าผู้นำตระกูลจะให้เรามากมายเช่นนี้ ข้าคิดว่าข้าคงขึ้นถึงขั้นเทพช่วงกลางได้ภายในไม่เกินหนึ่งเดือน” เฉินเจี้ยนไม่ได้แสดงท่าทีสุภาพต่อ เจี้ยนเฉิน เขารับเอาเหรียญผลึกกว่า 2 ล้านชิ้นเอาไว้และทำการบ่มเพาะต่อ

เจี้ยนเฉินยิ้มและไม่รังเกียจที่จะยกเหรียญผลึกพวกนั้นให้ ตราบใดที่มีเวลาและทรัพยากรมากพอ เขาหวังว่าเฉินเจี้ยนจะขึ้นถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลายได้ก่อนที่จะไปจัดการกับบรรพชนตระกูลลู่ ยังไงซะยิ่งเฉินเจี้ยนแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันยิ่งยากที่บรรพชนตระกูลลู่จะหนีไปได้เท่านั้น

ในเช้าวันต่อมา โม่หยานรับรู้ได้ว่าพ่อของนางเหมือนกับกลายเป็นคนละคน เขายิ้มตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่เขามองมาที่นางด้วยสายตาประหลาด แต่เขายังชมนางอยู่ตลอดจนทำให้โม่หยานสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น

นิกายจุลกระบี่นั้นตั้งอยู่บนสันเขาที่มีหมอกปกคลุม ตอนนี้หัวหน้านิกายและผู้อาวุโสได้ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง นี่รวมไปถึงนายน้อย, โม่ชานและโม่หยุนด้วย

แต่แขนเสื้อขวาของนายน้อยโม่หยุนนั้นว่างเปล่าซึ่งชัดแล้วว่าพวกเขาได้เสียแขนของตนเองไป

“ ฮึ่ม ตระกูลโม่หยิ่งทะนงเกินไปแล้ว พวกนั้นกลับทำให้ผู้อาวุโสโม่หยุนเสียแขนไป มันเท่ากับว่าพวกนั้นตบหน้าเรา…”

“เราไปพร้อมของขวัญเพื่อที่จะสู่ขอ มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรหากโดนปฏิเสธ แต่พวกนั้นกลับทำลายแขนของผู้อาวุโสโม่ชาน แม้แต่ยู่ฟานก็ได้รับบาดเจ็บ พวกนั้นทำเกินไปแล้ว….”

ผู้อาวุโสของนิกายต่างก็พากันพูดขึ้นมา แม้ว่าไม่มีใครชอบยู่ฟาน แต่พวกเขาก็สนิทกับโม่ชานและโม่หยุน เมื่อเห็นว่าโม่หยุนโดนดูหมิ่น พวกเขาจึงต่างก็พากันหงุดหงิด

หัวหน้านิกายบนบัลลังก์สีหน้าหม่นลง ยู่ฟานเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเขา เขาได้เลี้ยงดูลูกตนเองมาอย่างทนุถนอมและคอยตามใจอย่างมาก เขาไม่เคยด่าหรือตีลูกเลย แต่ลูกของเขาต้องบาดเจ็บกลับมาหลังจากที่ไปยังตระกูลโม่ เขาจึงหงุดหงิดเช่นเดียวกัน ความอาฆาตแผ่ออกมาจากสายตาของเขาจนเกือบทำให้ตาเขาลุกไหม้

“ไม่ว่าจะมีเหตุผลอันใด ตระกูลโม่นั้นกล้าที่จะทำลายแขนของลูกข้า เราจะตอบแทนพวกนั้นให้สาสม” หัวหน้านิกายพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา

“ถูกต้อง หัวหน้านิกาย เราต้องให้ตระกูลโม่ชดใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรานิกายจุลกระบี่นั้นไม่อาจจะข่มเหงได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งป้องมือและพูดขึ้น

หัวหน้านิกายพยักหน้าเล็กน้อย ความอาฆาตแผ่ออกมาจากตาของเขา เขาพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ไม่จบเช่นนี้แน่ ตอนที่ตระกูลลู่และตระกูลอันโดโจมตีตระกูลโม่ ข้าจะขอให้บรรพชนเข้ามาช่วยและฆ่า ซิหยู เพื่อที่ตระกูลโม่จะได้เจ็บปวดเช่นเดียวกัน ตระกูลโม่นั้นแทบจะจบสิ้นแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวพวกนั้นอีกต่อไป “