ตอนที่ 1705 : ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลาง

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1705 : ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลาง

ในเสี้ยวพริบตาเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินได้อยู่กับตระกูลโม่ แม้ว่า เฉินเจี้ยน จะยังไม่ได้เป็นผู้อาวุโสคนที่เจ็ดของตระกูลโม่อย่างเป็นทางการ แต่ผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลต่างก็ยกย่องเขาหลังจากที่เขาได้แสดงความแข็งแกร่งออกมา พวกนั้นก็ชื่นชมและสุภาพต่อเขามากกว่าเดิม

ด้วยฐานะที่ยกระดับขึ้นมานี้ ผู้อาวุโสในตระกูลโม่จึงมักจะมายังห้องโถงที่เจ็ดเพื่อพบเขา แต่หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอันใด พวกนั้นต่างก็ไม่ได้พบกับเฉินเจี้ยน แม้แต่เจี้ยนเฉินเองก็ยากจะปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งสองคนเข้าเก็บตัวบ่มเพาะ ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสจึงได้แต่กลับบ้านมือเปล่า

ในหมู่คนตระกูลโม่ มีแค่ผู้นำตระกูลและบรรพชนตระกูลโม่เท่านั้นที่รู้ว่าเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้เข้าใจว่าเจี้ยนเฉินที่มักจะไม่ทำตัวโดดเด่นนั้นแข็งแกร่งที่สุด

แต่ผู้นำตระกูลและบรรพชนก็ปกปิดความลับนี้ไว้อย่างดี พวกเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้แม้แต่ซีหยูก็ตาม

นี่เพราะตัวตนของเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนนั้นคือไพ่ลับของตระกูลโม่ พวกเขาคือต้นเหตุของความมั่นใจและเป็นที่พึ่งในการจัดการกับตระกูลลู่และตระกูลอันโด

เฉินเจี้ยนยังคงบ่มเพาะไปทั้งเดือนเพื่อขึ้นเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลาง สำหรับเจี้ยนเฉินแล้ว เขาทำการบ่มเพาะเพื่อทำความเข้าใจเส้นทางแห่งกระบี่เพราะเขาไม่อาจจะพัฒนาร่างบรรพกาลของเขาได้

“ข้าสร้างปราณกระบี่ลึกซึ้งในส่วนความสำเร็จขั้นกลางของต้นกำเนิดกระบี่ได้และพลังทั้งสองสายที่ขั้นสมบูรณ์แบบ ข้าสามารถสร้างสายที่สามที่ขั้นความสำเร็จขั้นกลางส่วนใหญ่ของจิตวิญญาณกระบี่, สายที่สี่ที่ขั้นสมบูรณ์แบบของจิตวิญญาณกระบี่, สายที่ห้าที่ความสำเร็จขั้นกลางของอมตะกระบี่และอื่น ๆ แต่หากข้าต้องการจะสร้างสายที่เก้าขึ้นมา ข้าต้องขึ้นเป็นเทพกระบี่” ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายขึ้นมา

“จิตวิญญาณกระบี่บอกว่าเทพกระบี่นั้นไม่ได้แบ่งเป็นพื้นฐานขั้นต้น, ความสำเร็จขั้นต้น, ความสำเร็จขั้นกลางและสมบูรณ์แบบ เทพกระบี่คือข้อจำกัดของเส้นทางแห่งกระบี่ มีผู้อมตะนับไม่ถ้วนในโลกอมตะที่ใช้กระบี่ แต่มีแค่เจ้าของเดิมของกระบี่คู่และอมตะกระบี่นิพพาน ที่สามารถขึ้นเป็นเทพกระบี่ได้ ดูเหมือนว่าเทพกระบี่นั้นเท่าเทียมกับความสมบูรณ์ของกฎในโลกเซียน” เจี้ยนเฉินคิด การทำความเข้าใจกฎทั้งหมดได้นั้นคือข้อจำกัด หากใครทำได้แบบนั้นก็จะหลอมรวมเส้นทางเข้ากับตัวเองจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกและสามารถแสดงมันออกมา พวกเขาจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด

“เทพกระบี่นั้นยังคงห่างไกลนัก ข้าหวังแค่ว่าจะขึ้นถึงความสมบูรณ์แบบของต้นกำเนิดกระบี่ให้ได้ก่อน เมื่อข้าไปถึงระดับนั้นแล้ว ข้าจะสามารถใช้ปราณกระบี่ลึกซึ้ง 2 ครั้งได้ ไม่ใช่แค่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังส่วนแรกแต่ข้ายังสามารถใช้ปราณกระบี่ลึกซึ้งได้ 2 ครั้ง ย้อนกลับไปแล้วบรรพชนตระกูลลู่หนีรอดจากปราณกระบี่ลึกซึ้งสายแรกของข้าไปได้ด้วยความแข็งแกร่งขั้นเทพช่วงต้นและเสียสมบัติป้องกันไปหลายชิ้น หากเขาไม่ได้มีสมบัติป้องกัน ปราณกระบี่ลึกซึ้งสายแรกของข้าอาจจะฆ่าเขาได้ หากข้าบรรลุถึงความสำเร็จขั้นกลางของต้นกำเนิดกระบี่ ปราณกระบี่ลึกซึ้งของข้าก็จะทรงพลังมากพอที่จะจัดการกับบรรพชนตระกูลลู่ แม้ว่าเขาจะมีสมบัติป้องกันแต่พวกมันก็ไม่อาจจะหยุดปราณกระบี่ลึกซึ้งของข้าได้ตราบใดที่ไม่ได้แข็งแกร่งพอ หากข้าใช้ปราณกระบี่ลึกซึ้งได้ 2 ครั้ง ข้าอาจจะฆ่าได้แม้แต่ขั้นเทพช่วงกลางได้” เจี้ยนเฉินคิด เขากระตือรือร้นอย่างมาก ในสถานการณ์ที่ซึ่งเขาไม่อาจจะพัฒนาร่างบรรพกาลได้ มีทางเดียวที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้คือทะลวงผ่านความเข้าใจในเรื่องกฎของกระบี่

หากเขาขึ้นถึงขั้นสมบูรณ์แบบของต้นกำเนิดกระบี่และสร้างปราณกระบี่ลึกซึ้งสายที่สองขึ้นมาได้ มันก็จะมีคนไม่ถึงหยิบมือในแคว้นตงอันที่เป็นภัยต่อเขา

“ข้าอยู่ที่ความสำเร็จขั้นกลางของต้นกำเนิดกระบี่มาสักพักแล้ว ขั้นสมบูรณ์แบบห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ข้าไปถึงขั้นนั้นได้หากมีเวลามากพอ” ตาของเจี้ยนเฉินดูเด็ดเดี่ยว มันยากที่คนอื่นจะก้าวหน้าเรื่องความเข้าใจที่มีต่อกฎและพวกเขาก็ต้องใช้เวลายาวนานเพื่อทำความเข้าใจ แต่เจี้ยนเฉินนั้นใช้เวลาแค่ช่วงเดียวซึ่งน้อยนิดสำหรับคนอื่น ๆ หากเขาต้องการพัฒนากฎของกระบี่

ยังไงซะพรสวรรค์ของ เจี้ยนเฉิน ก็ยอดเยี่ยม เขาเข้ากันได้กับเส้นทางแห่งกระบี่ โดยพื้นฐานแล้วมันทำให้เขากลายเป็นมือกระบี่ชั้นยอด

ตอนนั้นเองก็ได้มีพลังอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาใกล้ ๆ ในเวลาเดียวกันพลังงานดั้งเดิมรอบ ๆ ก็เริ่มที่จะก่อตัวเป็นวังวนพลังงานดั้งเดิมบนห้องโถงที่เจ็ดของตระกูลโม่

“เฉินเจี้ยนทะลวงผ่านได้แล้ว ! ” ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายและได้ออกจากการบ่มเพาะทันที

ในเวลาเดียวกันตาของผู้อาวุโสทั้งหกคนก็ลืมขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขามองไปยังห้องโถงที่เจ็ดและต่างก็พากันตะลึง

“พลังของเฉินเจี้ยนผู้นี้ เขาทะลวงผ่านอีกแล้วรึ ?”

“เฉินเจี้ยนบ่มเพาะได้เร็วแบบนี้ได้ยังไงกัน ? เขาอยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนแต่ตอนนี้กลับทะลวงผ่านขึ้นมาเป็นช่วงกลางแล้ว”

“เฉินเจี้ยนบ่มเพาะยังไงกัน ? มันแค่ไม่กี่เดือนแต่เขาได้ยกระดับมาจากขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้นมาเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลางได้ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป มันคงไม่นานที่เขาจะได้กลายเป็นขั้นเทพ พรสวรรค์ที่เขามีน่าประทับใจยิ่งกว่าซีหยูอีกหรือ ? “

….

ผู้อาวุโสไม่อาจจะสงบสติอารมณ์ได้อีก พวกเขาต่างก็มองไปที่ห้องโถงที่เจ็ดด้วยความตะลึง มีแค่ผู้นำตระกูลที่ยังใจเย็นราวกับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว

หัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสทั้งหกได้ไปรวมตัวกันที่ด้านนอกที่พักของ เฉินเจี้ยน เพื่อมาแสดงความยินดีกับการทะลวงผ่านครั้งนี้

มันมีผู้อาวุโสมากมายในตระกูลโม่ สำหรับพวกเขาแล้ว การพัฒนาในด้านความแข็งแกร่งนี้เป็นเรื่องยาก เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนทะลวงผ่านขอบเขตเทพได้ มันก็เป็นเรื่องพิเศษที่ทั้งตระกูลจะมาแสดงความยินดี

เจี้ยนเฉินยืนอยู่ที่ใจกลางห้องโถงในชุดสีขาว แม้ว่าเขาจะไม่ได้แผ่พลังใดออกมาแต่เขาก็เหมือนกับกระบี่ที่แหลมคม ตาของเขาไม่ได้สงบดังเช่นปกติ พวกมันเฉียบคมราวกับกระบี่ที่ส่องประกาย

เขาได้รอมาหลายเดือนเพื่อให้เฉินเจี้ยนขึ้นถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลาย

เจี้ยนเฉินมองไปด้านนอก สายตาเขามองทะลุอุปสรรคต่างไป ปากเขากระตุกและส่งข้อความให้กับยามด้านนอก “บอกพวกเขาให้กลับไป บอกพวกนั้นว่าเฉินเจี้ยนทำการบ่มเพาะต่อและไม่อยากจะพบใคร”

ยามขั้นแลกเปลี่ยนช่วงสูงที่ได้ยินเสียงเริ่มลังเลขึ้นมา คนที่เขาต้องไปบอกข้อความนี้คือผู้อาวุโสของตระกูลโม่ที่อยู่ขอบเขตเทพและมันถึงกับมีผู้นำตระกูลอยู่ด้วย แต่ยามก็ลังเลไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเดินออกไปและส่งต่อข้อความจากเจี้ยนเฉินให้กับพวกนั้น

ผู้นำตระกูลไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากที่หัวเราะออกมา เขาก็ป้องมือมาทางห้องโถงก่อนจะกลับไปกับซีหยู เขาไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาเลย

ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มก่อนจะกลับไปยังที่พักของตน

“เฉินเจี้ยนผู้นี้ทำตัวยโสยิ่งกว่าข้า..” ซีหยูค่อนข้างไม่พอใจ นางไม่ได้รังเกียจความจริงที่ว่าเฉินเจี้ยนไม่ต้องการจะพบกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ยังไงซะเขาก็แข็งแกร่ง แต่เขาทำเกินไปที่จะไม่พบกับพ่อของนาง

ยังไงซะพ่อของนางก็เป็นผู้นำตระกูลในตอนนี้

“หยูเอ๋อ อย่าหยาบคาย” แต่ก่อนที่ซีหยูจะพูดจบ สีหน้าของผู้นำตระกูลก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและได้ดุนางออกมา

ซีหยูตะลึง นางไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าพ่อนางเคร่งเครียดเช่นนี้

“ ท่านพ่อ ? ” ซีหยูอึ้ง แม้ว่าเฉินเจี้ยนนั้นจะแข็งแกร่งโดยตัดแขนโม่หยุนได้ในคราวเดียวแต่มันไม่จำเป็นที่พ่อของนางจะต้องมีท่าทีเช่นนี้

ผู้นำตระกูลได้บอกกับซีหยูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หยูเอ๋อ เจ้าต้องสุภาพต่อน้องเจี้ยนเฉินและน้องเฉินเจี้ยนในอนาคต อย่าทำให้พวกเขาไม่พอใจ เข้าใจรึไม่ ? ” เมื่อพูดจบผู้นำตระกูลก็ได้กลับไปทันที

เขาเฝ้าดูการเติบโตของซีหยูมาตลอด เขาเชื่อในตัวนาง แม้ว่าเขาจะบอกนางตรง ๆ ไม่ได้เรื่องความแข็งแกร่งของ เจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยน แต่เขาก็ได้บอกใบ้หลายอย่างแบบลับ ๆ

ซีหยูมองไปที่แผ่นหลังของหัวหน้าตระกูล คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในหัวนางจนนางแปลกใจและสงสัยขึ้นมา