บทที่ 751.1 สิบเอ็ดคนบนยอดเขาหมื่นปี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เซียนเหรินกระดาษเปียก

ช่างใจกล้านัก ถึงขนาดไม่เห็นเซียนเหรินคนหนึ่งอยู่ในสายตา

หันอวี้ซู่มองพลังอำนาจที่ทะยานขึ้นสู่ฟ้าตรงหน้าประตูภูเขา รู้สึกเพียงว่าคำกล่าวของคนหนุ่มผู้นี้ทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาเสียจริง

ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เดินออกมาจากสำนักใหญ่ของแผ่นดินกลาง คำพูดคำจาน่าสนใจ วางโตไม่เบา พูดง่ายๆ ก็คือหลังจากที่ตนเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีไปแล้ว คนหนุ่มที่ตามองสูงไม่เห็นหัวใครก็ยังคงไม่รู้จักกลัวตายอยู่เหมือนเดิม

นอกจากภูเขาไท่ผิงสายของเจ้าลัทธิใหญ่ป๋ายอวี้จิงแล้ว สำนักโองการเทพของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามป๋ายอวี้จิง เฉาหรงที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาของราชวงศ์ป๋ายซวงเก่า และเทียนจวินเซี่ยสือแห่งลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดเขาพาตี้ของฮว่อหลงเจินเหริน เส้นสายคร่าวๆ ของระบบพวกเขาเป็นอย่างไร รวมไปถึงวิชาอภินิหารมรรคกถาของฝ่ายต่างๆ เป็นอย่างไร หันอวี้ซู่ล้วนรู้ชัดเจนดี

เจียงซ่างเจินยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม พูดด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว “พี่ชายคนดีคงไม่ใช่ว่าดื่มเหล้าจนเมาแล้วหรอกนะ กระดาษเปียกอะไรกัน วิชาอภินิหารสายยันต์ของเจ้าลัทธิหัน ในเวลาหกสิบปีของใบถงทวีปล้วนมีคำเรียกขานว่าบุคคลอันดับที่สองของสายยันต์ไพศาล จะดูแคลนไม่ได้ จะประมาทศัตรูไม่ได้เลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยันต์ลับสามภูเขาที่มีต้นกำเนิดมาจากสำนักดั้งเดิมของเจ้าสำนักหันที่ภาพบรรยากาศอึมครึมน่าสะพรึงกลัว พูดถึงแค่ประวัติความเป็นมาสูงต่ำก็ไม่เป็นรองให้กับเวทห้าอสนีของภูเขามังกรพยัคฆ์เลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญยันต์ดินกับยันต์น้ำ สองยันต์นี้ของเขาลี้ลับเกินจะคาดเดามากยิ่งกว่า นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคาถาเซียนสายรองฝูหลวนเจี้ยงเจินที่เรียกได้ว่าสุดยอดที่สุดเลย…”

หันอวี้ซู่ปล่อยให้เจียงซ่างเจินปากเปราะผู้นั้นเปิดเผยรากฐานของตน ปล่อยให้คนหนุ่มที่สีหน้าคล้ายจะมีการเคลื่อนไหวเงี่ยหูตั้งใจฟังเจียงซ่างเจินเปิดเผยความลับสวรรค์

หันอวี้ซู่ไม่สนใจ ทว่าหันเจี้ยงซู่ผู้เป็นบุตรสาวกลับถลึงตากว้าง “เจียงซ่างเจิน เจ้าไม่คิดจะพูดเรื่องกฎบนภูเขาบ้างเลยหรือไร?!”

เจียงซ่างเจินหยุดพูด หันมายิ้มหวานเอ่ยกับนาง “พูดสิ ไม่พูดเสียที่ไหน หากไม่พูดพี่หญิงเจี้ยงซู่จะหันมามองข้าตาหวานเช่นนี้หรือ?”

หันอวี้ซู่โบกชายแขนเสื้อหนึ่งทีบอกเป็นนัยแก่บุตรสาวว่าไม่จำเป็นต้องเดือดดาล เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกก็เป็นคนปลิ้นปล้อนไม่มีสาระจริงจังเช่นนี้อยู่แล้ว

พอเซียนเหรินอย่างเขาโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ ก็ทำลายยันต์ขุนเขาสายน้ำในบริเวณใกล้เคียงที่คนหนุ่มซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ทิ้งไป คิดจะมาใช้ค่ายกลต่อหน้าข้าหันอวี้ซู่ก็เหมือนสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ น่าขันสิ้นดี

แน่นอนว่าหันอวี้ซู่เองก็กริ่งเกรงอดีตเจ้าสำนักกุยหยกอยู่บ้างจริงๆ ยิ่งกริ่งเกรงใบหลิวที่ได้รับความเสียหายของเจียงซ่างเจินใบนั้น ตอนที่เจียงซ่างเจินยังเป็นขอบเขตหยกดิบก็มีคำกล่าวที่น่าพรั่นผวาว่าหนึ่งใบหลิวสังหารเซียนเหรินแล้ว นี่ยังไม่ใช่ว่าเจียงซ่างเจินชมตัวเองด้วย คนผู้นี้ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตบินทะยานมายังขอบเขตเซียนเหริน หากไม่เป็นเพราะแน่ใจแล้วว่าทุกวันนี้เจียงซ่างเจินไม่สะดวกจะเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาใช้ วันนี้หันอวี้ซู่ก็คงทำเพียงแค่ช่วยบุตรสาวออกมา จากนั้นก็จะรีบออกไปจากอาณาเขตของภูเขาไท่ผิงทันที

สรุปก็คือขอแค่เจียงซ่างเจินไม่ลงมือเอง ถ้าอย่างนั้นเจียงซ่างเจินจะเปิดเผยความลับของเขาหรือไม่ เขาหันอวี้ซู่ ทั้งตัวคนและมรรคกถาก็ล้วนอยู่ในจุดสูง ลอยอยู่เหนือหัวของคนหนุ่มผู้นั้น

อาจเป็นเพราะถูกหันอวี้ซู่ทำลายแกนกลางค่ายกล คนหนุ่มจึงเก็บยันต์ที่คีบตรงปลายนิ้วมาอย่างขุ่นเคือง

หันอวี้ซู่รู้สึกสะใจเล็กน้อย อาจารย์ค่ายกล? เป็นตัวตลกต่อหน้าคนอื่นแล้วยังไม่รู้ตัวอีก! คิดว่าหันเซียนเหรินบุคคลอันดับสองของสายยันต์คือคำพูดล้อเล่นที่เซียนดินของใบถงทวีปพูดคุยกันไปอย่างนั้นเองจริงๆ หรือ?

เจียงซ่างเจินมองพี่หญิงเจี้ยงซู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น สายตาก็ยิ่งฉายแววเวทนา

“ฝูลู่อวี๋เซียน สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ยังจะมามีเซียนยันต์อีกคน? ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เคยได้ยิน แต่ได้เห็นกับตา ดูเหมือนว่าจะธรรมดามาก พอจะเป็นเด็กก่อไฟให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าอี๋ได้อยู่ หรือจะเป็นเด็กรับใช้คอยส่งพู่กันให้เขาก็นับว่าพอถูไถ”

หันอวี้ซู่เพียงแค่ยิ้มรับ

เจียงซ่างเจินปรบมือเบาๆ “แพ้ที่ตัวคนไม่แพ้ที่มาด ไม่เสียแรงที่เป็นพี่ชายคนดีของข้า ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยดูแลพี่หญิงเจี้ยงซู่ให้”

แต่เจียงซ่างเจินยังมีข้อสงสัยเล็กน้อย วันนี้เฉินผิงอันกลับไม่ได้เปิดฉากต่อยตีโดยตรง? นี่ไม่เหมือนนิสัยของเจ้าขุนเขาคนดีบ้านตนเลยนะ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็น่าเสียดายที่ทุกวันนี้อวี๋เสวียนยังคงผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ ไม่อย่างนั้นถ้อยคำด้วยความซื่อสัตย์จริงใจนี้ของเฉินผิงอัน ฟังแล้วคงสบายอุรามากนัก ประหนึ่งได้ดื่มเหล้าหมักชั้นดี ชวนให้สีหน้าเปล่งเปล่งมีชีวิตชีวา ประเด็นสำคัญคือหากไม่ผิดไปจากที่คาด เฉินผิงอันก็น่าจะไม่เคยเจอฝูลู่อวี๋เสวียนมาก่อน คำพูดจากใจจริงเช่นนี้กลับพูดได้คล่องปากเหมือนน้ำมาคลองสำเร็จถึงเพียงนี้ เป็นธรรมชาติเสียเลยเกิน เจียงซ่างเจินรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ เรียนรู้ไม่เหมือน หากจงใจทำ คาดว่าไม่ว่าจะคนพูดหรือคนฟังก็คงกระอักกระอ่วนกันทั้งคู่ ดังนั้นคาดว่านี่ก็คงเป็นพรสวรรค์ เป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่งของเจ้าขุนเขาเฉินกระมัง?

ตาเฒ่าอวี๋ผู้นั้นก็สมกับเป็นลูกผู้ชายจริงๆ ศึกป๋ายเหย่ถามกระบี่ต่อบัลลังก์ราชาที่ฝูเหยาทวีปครานั้นก็เป็นอวี๋เสวียนที่ข้ามทวีปไปช่วยเหลือเพียงลำพัง ภายหลังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรถึงได้รับโชคหลังประสบเคราะห์ ผสานมรรคากับธารดารา คิดไม่ถึงว่ายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ระหว่างนั้นได้หวนกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง มาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับซากปรักของภูเขาห้อยหัว ยอมให้ตบะของตัวเองถูกผลาญไปอย่างไม่เสียดาย กักขังปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งไว้ด้วยตัวเอง เล่าลือกันว่าอวี๋เสวียนยิ้มเอ่ยกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นการส่วนตัวว่า ตัวเองคิดเรื่องหนึ่งจนเข้าใจกระจ่างแล้ว การที่กลิ่นอายเซียนบนร่างไม่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ สาเหตุต้องเป็นเพราะขาดพาหนะสำหรับขี่ ทำให้ไม่มีบารมีน่าเกรงขามอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถ่วงรั้งการฝ่าทะลุขอบเขตของอวี๋เสวียนไปอย่างน้อยสามร้อยปี

หยางผู่แห่งสำนักศึกษาหิ้วกาเหล้าที่ว่างเปล่าใบหนึ่งเอาไว้ แสร้งทำเป็นนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้บัณฑิตต้องมองตาไม่กะพริบ ตั้งตัวไม่ทันเลยแม้แต่น้อย

อันที่จริงนับตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่หันอวี้ซู่ลงมือมาจนถึงตอนนี้ การที่เขาไม่รีบร้อนจัดการคนหนุ่มผู้นั้นก็เพราะว่าคอยจับสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา กังวลว่าคนหนุ่มจะมีผู้ปกป้องมรรคาที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่าซ่อนตัวอยู่ คอยรอจังหวะฉวยโอกาสลงมืออยู่ในมุมมืด บุญคุณความแค้นพัวพันบนภูเขาทำให้คนเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงใจได้มากที่สุด หากพบเจอกันโดยบังเอิญ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าไปมีเรื่องกับเด็กรุ่นเยาว์ เพราะหากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งก็จะเท่ากับว่าไปมีเรื่องกับบรรพจารย์เบื้องหลังพวกเขาด้วย

คนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามีครบทั้งสองอย่าง อายุน้อยๆ ก็ประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา ทำให้หันอวี้ซู่รู้สึกเหลือเชื่อ คาดว่าอายุของเขาคงยังไม่ถึงครึ่งร้อยด้วยซ้ำ ไม่เพียงแต่รับเอาการประทานโชคจากโชคชะตาบู๊ที่แข็งแกร่งที่สุดมาต่อหน้าต่อตาตน ยังเชี่ยวชาญวิถียันต์ ไม่ใช่แค่คำว่าเข้าใจพื้นฐานอย่างเรียบง่ายจะอธิบายได้ ถึงขนาดทำให้บุตรสาวหันเจี้ยงซู่หลงกล น่าเสียดายก็แต่หันอวี้ซู่ไม่รู้รายละเอียดการประมือกันของทั้งสองฝ่าย ยิ่งไม่รู้ว่าเจียงซ่างเจินผู้นั้นได้ลงมือหรือไม่ หากก่อนเกิดเรื่องคนผู้นี้ได้ซุ่มวางค่ายกลไว้ก่อน หลอกล่อให้หันเจี้ยงซู่เป็นฝ่ายพาตัวเข้ามาติดกับในฟ้าดินเล็กที่ถูกพันธนาการ นั่นกลับกลายเป็นเรื่องดี แต่หากคนทั้งสองมาพบเจอกันบนทางแคบ พูดจาไม่เข้าหูก็จับคู่เข่นฆ่ากันทันที ถ้าอย่างนั้นคนหนุ่มที่เป็นผู้เยาว์คนนี้ก็มีต้นทุนมากพอที่จะบุกตะลุยอยู่ในหนึ่งทวีปอย่างกำเริบเสิบสานจริงๆ

และการที่เจียงซ่างเจินในเวลานี้มีท่าทางเยือกเย็น เลือกจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ปล่อยให้คนหนุ่มคุมเชิงอยู่กับเซียนเหรินเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินได้ลงมือกับเจี้ยงซู่ไปก่อนแล้ว ถึงอย่างไรก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าใช้อำนาจรังแกคนอื่น เพราะไม่ว่าจะสถานะหรือขอบเขต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการเข่นฆ่า เจี้ยงซู่ก็ล้วนอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเจียงซ่างเจินได้ติด ในความเป็นจริงแล้วหันอวี้ซู่ก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถงัดข้อกับเจียงซ่างเจิน ต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะตัดสินเป็นตายอะไรกับเขาได้จริงๆ

ผู้ฝึกตนของใบถงทวีป หากจะพูดถึงคุณูปการน้อยใหญ่ในการสู้รบ เจียงซ่างเจินก็นั่งครองตำแหน่งอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง อีกทั้งตำแหน่งของเก้าอี้อันดับสองก็อยู่ห่างจากเจียงซ่างเจินไปค่อนข้างไกล

หลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว เมื่อเทียบกับคนหนุ่มอาศัยความสามารถของตัวเองเอาชนะเจี้ยงซู่ หันอวี้ซู่จึงคิดว่ามีแนวโน้มไปในทางที่เจียงซ่างเจินเป็นคนลงมือมากกว่า ไม่อย่างนั้นบุตรสาวเจี้ยงซู่ ถึงอย่างไรก็เป็นขอบเขตหยกดิบจริงแท้แน่นอน ขณะเดียวกันก็ไม่ถึงขั้นให้นางต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อหน้าเจียงซ่างเจินเช่นนี้ หากก่อนหน้านั้นนางไม่เคยประมือกับเจียงซ่างเจินมาก่อน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกลียดเจียงซ่างเจินเข้ากระดูกดำ

เจี้ยงซู่เป็นคนที่มองสถานการณ์ภาพรวมมาโดยตลอด เชี่ยวชาญการเฝ้าสังเกตและประเมินหาโอกาสเหมาะ ไม่อย่างนั้นหันอวี้ซู่ก็ไม่มีทางพานางท่องไปทั่วสารทิศ สะสมควันธูปไว้กับตระกูลเซียนใหญ่บนภูเขาแห่งต่างๆ บางครั้งยังให้นางช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับสำนักว่านเหยาด้วย

มีคนเคยพูดถึงถ้อยคำล้ำค่าที่แพร่หลายบนภูเขา บอกว่ารอยยิ้มของสตรีก็คือกระบี่บินที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า หากงดงามก็เหมือนหนึ่งกระบี่แทงใจคน ไม่งดงามก็เหมือนหนึ่งกระบี่ทิ่มแทงตา

และคนผู้นี้ เวลานี้ก็กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่หน้าประตูภูเขาพอดี

หยางผู่บังเกิดความคิดเปล่งวาบขึ้นมาในหัว มองเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงและผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงมองไกลๆ ไปยังการคุมเชิงกันระหว่างผู้อาวุโสแซ่เฉินและเซียนเหรินหันอวี้ซู่อีกที หย่างผู่มักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ‘เจ้าขุนเขาเฉิน’ ผู้อาวุโสที่ก่อนหน้านี้กระชากผมของผู้ฝึกตนหญิงทะยานลมมา จากนั้นพอพลิ้วกายลงพื้นแล้วก็เลี้ยงเหล้าตน การที่เขาไม่ทันระวังเอ่ยถึงสถานะของเจียงซ่างเจินออกมาต่อหน้าหันเจี้ยงซู่ คงไม่ใช่ว่าเป็นการขุดหลุมรอให้หันอวี้ซู่ตกหลุมพรางแต่แรกหรอกกระมัง? จงใจให้เซียนเหรินคนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงเป็นคนจับตัวหันเจี้ยงซู่มา? หยางผู่สะท้อนใจนัก หากเป็นอย่างที่ตนคิดไว้จริง ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสเฉินก็ช่างอันตรายชั่วร้าย…ไม่ถูกสิ ช่างวางแผนได้รอบคอบรัดกุมเกินไปแล้ว

หันอวี้ซู่ยิ้มเอ่ย “จะช่วยป้อนหมัดให้เจ้าก่อนครั้งหนึ่ง แล้วจะปล่อยให้เจ้าค่อยๆ สร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตวิถีวรยุทธ ถือเสียว่าเป็นความอดทนสุดท้ายที่ข้ามีต่อผู้เยาว์จากต่างถิ่นอย่างเจ้า เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม หวังว่าเจ้าจะทะนุถนอมเห็นค่าชีวิตให้มาก”

เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือ โบกดาบแคบเบาๆ พูดด้วยสีหน้าคลางแคลง “เจ้ากำลังยืนยันให้แน่ใจว่าข้ามีผู้ปกป้องมรรคาหรือไม่ ไม่ใช่หรือ? เซียนเหรินก็พูดจาเหลวไหลได้หน้าตาเฉย ถ้าอย่างนั้นหากเป็นขอบเขตบินทะยานจะไม่พ่นอาจมที่มีอยู่เต็มปากกระเซ็นมาเลอะตัวข้าเลยหรือไร?”

หันอวี้ซู่ยิ้มอย่างรู้ทัน

หันเจี้ยงซู่ฟังจนหน้าเขียวหน้าม่วง เจ้าคนที่สมควรโดนแทงพันครั้งพูดจาต่ำช้าเช่นนี้ เหมือนกับผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่เข้าขั้นไม่มีผิด

เจียงซ่างเจินกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก เขาชำเลืองตามองเทพธิดาแห่งสำนักว่านเหยาที่ใช้ชีวิตสูงศักดิ์สุขสบายมาจนเคยชิน สมกับเป็นพี่หญิงเจี้ยงซู่ที่ไม่มีค่าคู่ควรให้เฉินผิงอันวางแผนเล่นงานจริงๆ มิน่าเล่าเฉินผิงอันถึงได้วิจารณ์นางด้วยประโยคว่า ‘ชะตาชีวิตดีเกินไปถึงได้เป็นขอบเขตหยกดิบ’ ฟังดูเหมือนไม่ใช่ถ้อยคำที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย

เจียงซ่างเจินขยับเส้นสายตามองไกลๆ ไปยังเฉินผิงอัน ยากที่จะจินตนาการได้ว่า นี่ก็คือเด็กหนุ่มที่ครานั้นจับผลัดจับผลูหลุดเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว หวนนึกถึงหันอวี้ซู่ แล้วก็มานึกถึงตัวเอง เจียงซ่างเจินก็ยิ่งรู้สึกโชคดีในการไม่ตีไม่รู้จักกันของตัวเองยิ่งนัก

ภาษากลางของใบถงทวีปที่เฉินผิงอันจงใจพูดให้สำเนียงไม่ชัด อันที่จริงยังนับว่าพูดได้คล่องแคล่ว ดังนั้นจึงมองดูเหมือนเป็นคนต่างถิ่น มีเพียงการออกเสียงที่ชัดเจนในบางครั้งเท่านั้นที่เผยพิรุธออกมาอย่างยากจะจับสังเกตได้ เพราะมันคือท่วงทำนองที่มีเฉพาะของภาษากลางทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

เห็นได้ชัดว่าเป็นการ ‘พูดมากจึงผิดพลาด’ ที่จงใจเผยให้เห็น

ซึ่งก็หมายความว่าการคุยเล่นที่ ‘เกินความจำเป็น’ ระหว่างเฉินผิงอันและหันอวี้ซู่ต้องรับรองว่าสมเหตุสมผล ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งมีโอกาสได้สืบสาวเบาะแส ต่อให้จะไม่มั่นใจว่าต้องใช่แน่อน แต่ก็ต้องกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หากหันอวี้ซู่ที่มาจากพื้นที่มงคลสามภูเขาไม่เชี่ยวชาญภาษากลางของแผ่นดินกลาง การกระทำของเฉินผิงอันก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าคือการทิ้งสายตาให้คนตาบอดดู เพียงแต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องของการคุยเล่นไม่กี่คำ ไม่ต้องใช้ความคิดจิตใจอะไรมากนัก เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสขอบเขตเซียนเหรินที่ช่วยป้อนหมัดให้ตัวเอง มารยาทเพียงเท่านี้ยังต้องมีอยู่บ้าง ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ถึงอย่างไรกาลเวลาก็ไหลรินไปอย่างเชื่องช้าอยู่แล้ว อีกทั้งความคิดของตัวเองก็มีมากและเร็วเกินไป ทุกวันจึงได้แต่ใคร่ครวญขบคิดส่งเดชอยู่กับตัวเอง ไม่มีคำกล่าวที่ว่าตะกละมากย่อมเคี้ยวไม่ละเอียดอะไรทั้งนั้น ดังนั้นอย่าว่าแต่ภาษากลางของเก้าทวีปเลย ต่อให้เป็นภาษาทางการดั้งเดิมของราชวงศ์ใหญ่สิบแห่งของใต้หล้าไพศาล คาดว่าเฉินผิงอันคงพูดได้คล่องปากยิ่งกว่าคนในท้องถิ่นเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอักษรบางตัวที่ต้องออกเสียงให้ชัดในจุดที่เล็กละเอียดที่ยิ่งแม่นยำอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เมื่อคนนอกมั่นใจในความจริงบางอย่างแล้ว และเฉินผิงอันยังมีใจคิดจะเล่นงานอีกฝ่าย เขาก็จะมอบความจริงเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยประคับประคองเส้นสายนี้ออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

เจียงซ่างเจินยิ่งนับถือในญาณที่ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าและความฉลาดที่มีเฉพาะของตนที่ทำให้เขายินดีลงเดิมพันกับภูเขาลั่วพั่วตั้งแต่เนิ่นๆ แค่ต้องจ่ายเงินเทพเซียนมากหน่อยก็ได้ตำแหน่งผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อมา ต่อจากนี้ก็แค่ต้องช่วงชิงตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาให้ได้ก็พอ

หันอวี้ซู่กังวลว่าจะเกิดเรื่องแทรกซ้อนไม่คาดฝัน จึงไม่ยินดีสิ้นเปลืองเวลากับคนหนุ่มอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นอาจมีคนนอกที่เป็นอุปสรรคขัดขวางมาร่วมวงความครึกครื้น บังคับเรือตามลม แสร้งทำตัวนอบน้อมต่อเจียงซ่างเจิน เกินครึ่งคงบอกว่าขอบเขตมีความต่าง เจ้าสำนักคือผู้อาวุโสหรือหาเหตุผลห่วยๆ อะไรสักอย่างมาขัดขวางไม่ให้ตนลงมือสั่งสอนผู้เยาว์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้

หันอวี้ซู่จึงไม่คิดจะเปลืองน้ำลายกับคนหนุ่มอีกแม้แต่ครึ่งคำ ตบน้ำเต้าที่เปล่งประกายแสงสีม่วงวาววับตรงเอวเบาๆ พลังอำนาจไม่ยิ่งใหญ่ไพศาลเท่าก่อนหน้านี้ เพียงแต่มีอัคคีสมาธิกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมากในน้ำเต้า คล้ายงูไฟตัวเล็กบางตัวหนึ่งที่เลื้อยออกมา เพียงแค่สะบัดหัวสะบัดหางหนึ่งครั้ง ชั่วพริบตาบนท้องฟ้าก็มีเชือกเปลวเพลิงยาวหนึ่งร้อยจั้งกว่าปรากฎขึ้นแล้วฟาดโฉบเข้าหาคนหนุ่มชุดเขียว เชือกเปลวเพลิงวาดตัวเป็นเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งมีองค์เทพที่ยังไม่ปรากฏตัวถือแส้โบยลงบนขุนเขาสายน้ำมาจากบนฟ้า

เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกไป คว้าดาบแคบพิฆาตที่ปักเอียงอยู่บนพื้นมากุมไว้ในมือ งอเข่าสองข้างเล็กน้อย ดีดตัวหนึ่งครั้ง ฝุ่นผงตลบคละคลุ้ง นาทีถัดมาก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากประตูภูเขาไปหลายลี้ ใช้การก้าวเดินของเรือนกายผู้ฝึกยุทธร่ายวิชาอภินิหารที่ได้ผลลัพธ์เหมือนเซียนดินหดย่อพื้นที่ เรือนกายสูงเพรียวของคนชุดเขียวหยุดชะงักเล็กน้อย เงื้อดาบฟันลงบนเชือกเปลวเพลงที่พุ่งเข้ามาแสกหน้าอย่างดุดัน หันอวี้ซู่มองเห็นภาพนี้ สายตาก็เยียบเย็น ส่ายหน้าเบาๆ เจี้ยงซู่ถึงกับพ่ายแพ้ให้คนบุ่มบ่ามเช่นนี้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็ช่างเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ เขาหันอวี้ซู่และสำนักว่านเหยาไม่อาจเสียหน้าเช่นนี้ได้