บทที่ 751.2 สิบเอ็ดคนบนยอดเขาหมื่นปี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

คมดาบของดาบแคบพิฆาตถึงกับไม่ได้ฟันลงบนเชือกงูอัคคีเส้นนั้น หนึ่งดาบฟันลงบนความว่างเปล่า เชือกเปลวเพลิงม้วนพันบนมือของเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที ประหนึ่งมีงูตัวยาวเลื้อยขดอยู่ อัคคีสมาธิพลันหดรวบเข้ามาในรัศมีสิบกว่าจั้ง กักแขนทั้งแขนที่ถือดาบของเฉินผิงอันเอาไว้ นาทีถัดมาจิตของหันอวี้ซู่ขยับไหวเล็กน้อย ภาพบรรยากาศของมังกรเพลิงเดินลงน้ำก็พลันบังเกิด ใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณเป็นเส้นทาง ปราณวิญญาณในช่องโพรงใหญ่แห่งต่างๆ คล้ายต้นไม้ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในผืนป่า ที่ใดที่พุ่งผ่านล้วนถูกมังกรเพลิงเผาไหม้จนสิ้นซาก

ดวงตาของหันเจี้ยงซู่ทอประกายวาววับ การกระทำนี้ของบิดา เห็นได้ชัดว่าใช้อัคคีสมาธิกลุ่มที่บริสุทธิ์ที่สุดในน้ำเต้าซึ่งเป็นของตกทอดจากยุคบรรพกาลลูกนั้น ในถ้ำสวรรค์เล็กของน้ำเต้ามีอีกหนึ่งจักรวาล ปรมาจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยของสำนักว่านเหยาจะต้องนำสมบัติหายากอย่างพวกน้ำลายมังกรมาช่วยเพิ่มพลานุภาพให้กับเปลวเพลิง เปลวเพลิงโหมซัดสาดทอดยาวมาหลายพันปี ระหว่างนั้นของล้ำค่าที่มีคุณสมบัติเป็นวัตถุวิเศษที่ถูกนำหล่อหลอมก็ยิ่งมีมากอย่างถึงที่สุด เปลวเพลิงที่แท้จริงในระดับขั้นนี้ ด้านในของน้ำเต้าโบราณที่มีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งมีเปลวเพลิงแท้จริงที่บริสุทธ์ซึ่งถูกฟูมฟักออกมาให้มีขนาดเท่าไส้ตะเกียงอยู่แค่สามกลุ่มเท่านั้น สมบัติหนักในการโจมตีไม่อาจทำลายได้ ต่อให้เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งก็ไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่ทำลายอาคมนี้ได้

นอกจากจะทำลายได้ยากและยากจะตอแยแล้ว ความลี้ลับมหัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดของวิชาที่ไม่ใช่สายของยันต์วิชานี้ ก็คือสามารถพันธนการสามจิตเจ็ดวิญญาณของผู้ฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ผู้ฝึกตนสะสมมาอย่างยากลำบากมาเป็นท่อนฝืนที่ถูกไฟเผาไหม้ ยิ่งเป็นคนที่จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง ก็ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง แค่ไม่ระวังเพียงน้อยก็จะเหมือนเขื่อนยาวพันปีที่ถล่มลงมาได้เพราะมดรังเดียว เปลวเพลิงเหมือนสะเก็ดดาวที่เผาลามทั่วท้องฟ้า ฟ้าดินเล็กของผู้ฝึกลมปราณจะตกอยู่ในสภาพการณ์น่าเวทนาที่ถูกมหาอัคคีเผาไหม้ สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าธุลี ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไรก็ยิ่งตายเร็วมากเท่านั้น

พูดง่ายๆ ก็คือขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตห่างจากเซียนเหรินหันอวี้ซู่หนึ่งขั้น เกาเจินลัทธิเต๋าที่ไม่เคยฟูมฟักปณิธานเยียบเย็นออกมาได้ หรือภิกษุที่ไม่มีเวทคาถาของลัทธิพุทธติดกาย หันอวี้ซู่ร่ายใช้เวทคาถานี้แค่กระบวนท่าเดียวก็สังหารศัตรูให้ตายคาที่ได้แล้ว

เวลาเดียวกันนั้นหันอวี้ซู่ก็เรียกดาบอาคมสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งออกมา ดาบอาคมพุ่งแหวกอากาศลากเอาลำแสงเส้นหนึ่งตามหลัง พุ่งตรงไปยังศีรษะของคนหนุ่ม ประหนึ่งเพชฌฆาตที่ลงทัณฑ์สังหาร หมายจะตัดหัวนักโทษ

ดาบอาคม ‘ชิงเสีย’ เป็นอาวุธกึ่งเซียนของแท้แน่นอนที่ด้วยวาสนานำพาบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาของสำนักว่านเหยาจึงได้มาจากถ้ำสวรรค์ชิงเสียยุคบรรพกาลที่ปริแตกไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะรูปลักษณ์ได้รับความเสียหาย ไม่อาจหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าอาวุธเซียนอย่างสมชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว ระดับความคมของมันก็ยิ่งสามารถมองเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของสำนักการทหารเป็นดั่งกระดาษแผ่นหนึ่งได้เลย ในฐานะวัตถุหลอมกลางของหันอวี้ซู่ แม้ว่าจะไม่ใช่วัตถุหลอมใหญ่แห่งชะตาชีวิต แต่ความคมนั้นก็สามารถเอามาใช้แทนกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ได้ พื้นที่มงคลสามภูเขามีแท่นสังหารมังกรขนาดเท่าหีบหนังสืออยู่ก้อนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของสำนักว่านเหยาหันอวี้ซู่ก็เคยอาศัยดาบอาคมเล่มนี้ฟันแท่นสังหารมังกรอยู่หลายครั้งจนมันแบ่งออกเป็นสองท่อน

หันเจี้ยงซู่นอกจากจะถูกใบหลิว ‘จับจ้อง’ อยู่ตรงหว่างคิ้วทำให้ไม่อาจใช้เสียงในใจพูดคุยกับบิดาได้แล้ว นอกจากนี้ล้วนทำทุกอย่างได้ไม่มีปัญหา เจียงซ่างเจินลงมือรู้จักหนักเบา ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเกินกว่าเหตุ ดังนั้นหันเจี้ยงซู่จึงมองเห็นสถานการณ์การต่อสู้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้คืออัคคีสมาธิในน้ำเต้าที่ปรากฎตัวบนโลกเป็นครั้งแรก มองดูเหมือนเพลิงโหมคล้ายน้ำทะลักออกจากเขื่อน แต่นั่นกลับเป็นแค่วิธีการที่บิดาหวังให้คู่ต่อสู้ชะล่าใจเท่านั้น การที่เรียกเปลวเพลงที่แท้จริงซึ่งเป็นหนึ่งในไส้ตะเกียงออกมา แล้วค่อยใช้ดาบอาคม ‘ชิงเสีย’ มาฟันหัว นี่ต่างหากถึงจะเป็นมาดของเซียนเหรินที่รีบรบรีบจบ สองกระบวนท่าสยบศัตรูที่แท้จริง

มือหนึ่งของหันอวี้ซู่ทำมุทราบ้างชี้บ้างแตะ รอบกายของคนหนุ่มพลันเกิดเป็นฟ้าดินเล็กยันต์พันธนาการ

เจียงซ่างเจินพยักหน้า เอ่ยชื่นชมว่า “รวดเร็วฉับไว ชักนำเจ็ดดาว เป่ยโต้วกำหนดความตาย มหัศจรรย์ตรงคำว่า ‘มีใจไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็คือค่ายกล ยันต์ไร้กระดาษก็ยังเป็นของจริง’ ไม่เสียแรงที่เป็นอันดับสองของสายยันต์ ข้าผู้แซ่เจียงโชคดีนักที่ได้เป็นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปร่วมกับเจ้าสำนักหัน ช่างมีเกียรติเหลือเกิน”

ชีวิตมนุษย์ตรงกับดวงดาว ต่างคนต่างมีค่า ฟ้าให้กำเนิดข้า โชคชะตาจะเข้าข้างข้าเมื่อใด?

เวทการจัดวางค่ายกลยันต์นี้ของหันอวี้ซู่สามารถชักนำแสงดาวมาให้ตัวเองใช้ประโยชน์ และวิชาอภินิหารที่ไม่ค่อยมีคนใช้นี้ เมื่อเทียบกับพวกที่กินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง กราบไหว้ดวงจันทร์เพื่อหลอมเรือนกายแล้ว การสืบทอดนับว่าน้อยกว่ามาก เมื่อการสืบทอดมีน้อย การเผยตัวบนโลกก็ยิ่งน้อย ยิ่งง่ายที่จะทำให้ผู้ฝึกลมปราณสามารถเอาไปใช้หากินได้ชั่วชีวิต

หันเจี้ยงซู่ที่ไม่ได้เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้สะอาดเพิ่งจะมีรอยยิ้ม สีหน้าก็พลันแข็งค้าง

เห็นเพียงว่าบนยอดเขาห่างไปไกลที่คนหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ เขาเอามือหนึ่งทำท่าลากดาบ อีกมือหนึ่งยกแขนขึ้นสูง ถึงกับใช้ฝ่ามือรับคมดาบที่คมกริบของดาบสีเขียวเข้มเล่มนั้นโดยตรง มืออีกข้างหนึ่งมีสีทองไหลริน มังกรเพลิงตัวหนึ่งที่จำแลงมาจากอัคคีสมาธิไม่เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็ถอยออกมาจากฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของคนผู้นี้อย่างน่าประหลาด ยังราวกับว่าถูกเจียวหลงสีทองตัวหนึ่งแว้งกลับมาพันธนาการเอาไว้อีกด้วย คนหนุ่มผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นั่งลืมตนของลัทธิเต๋าล้ำค่าตรงใจที่ตายแล้ว คิดจะเข้าร่วมเรียนหลักพระธรรมลัทธิพุทธ ก็ต้องยอมตายก่อน คำว่าผู้ที่ยอมตายนั้นก็หนีไม่พ้นการตัดใจยอมตายได้เท่านั้น ข้าเป็นแค่เซียนดินตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็กล้างัดข้อกับเซียนเหรินแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่กล้าตาย”

เฉินผิงอันหันหน้าไปยังประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง แสร้งพูดเหมือนคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง “เข้าใจแล้ว พ่อของเจ้าไม่เสียแรงที่เป็นผู้อาวุโสเซียนเหริน มีมาดของปรมาจารย์ ยามประลองฝีมือกับผู้เยาว์จึงชอบที่จะยอมให้ก่อนสองสามกระบวนท่าสินะ? ไม่อย่างนั้นมาเล่นลูกไม้ชั้นต่ำประเภทนี้ต่อหน้าข้า พี่หญิงเจี้ยงซู่ เจ้าว่าควรจะหัวเราะให้ดังๆ อีกครั้งหรือไม่?”

เฉินผิงอันกระทืบเท้าเบาๆ ปณิธานหมัดทั่วร่างแผ่ออกไปด้านนอก พุ่งกระแทกชนตราผนึกยันต์มืดฟ้ามัวดินจนเหมือนฟ้าดินเล็กแห่งนั้น แสงดาวเจ็ดกลุ่มที่เดิมทีราวกับฝังเลื่อมอยู่บนม่านฟ้าต่อให้ผ่านเวลายาวนานก็ไม่แปรเปลี่ยน เป็นราวกับตะเกียงไฟเจ็ดดวงที่เปลวไฟส่ายไหวจะดับมิดับแหล่ท่ามกลางกระแสพายุหมัด เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ไม่มีภาพบรรยากาศลี้ลับมหัศจรรย์ราวกับจะผลัดภูเขาเปลี่ยนแม่น้ำเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว

อันที่จริงหันอวี้ซู่ตกตะลึงไม่น้อย

ไม่เพียงแต่ตกตะลึงที่คนผู้นี้ทำลายค่ายกลได้อย่างผ่อนคลาย ยิ่งประหลาดใจที่ชุดคลุมอาคมไผ่เขียวบนร่างของคนหนุ่มไม่มีความเสียหายแม้สักเสี้ยว

ด้านล่างชุดคลุมอาคมไผ่เขียวของภูเขาชิงเสินบนร่างของอีกฝ่ายคล้ายจะยังมีชุดคลุมอาคมเทียนเซียนที่มีปณิธานเต๋าเปี่ยมล้นอีกตัวหนึ่งด้วย มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นชุดคลุมเต๋าที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน

ชุดไผ่ที่อยู่ด้านนอกเป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาจากตระกูลเซียนขนาดใหญ่ของแผ่นดินกลางเหล่านี้ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลอุบายจริงๆ

อัคคีสมาธิ ดาบอาคม ‘ชิงเสีย’ ตราผนึกยันต์ ทั้งสามกระบวนท่าถูกร่ายใช้พร้อมกัน ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบทั่วไปคิดจะรับมือก็ต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล

แน่นอนว่าหันอวี้ซู่สามารถปล่อยและเก็บได้ตามใจปรารถนา ไม่คิดจะสังหารคนหนุ่มผู้นั้นจริงๆ หันอวี้ซู่คิดอยากจะหยั่งเชิงรากฐานตระกูลและสายเต๋าอันเป็นสำนักของอีกฝ่ายอยู่ตลอด ยกตัวอย่างเช่นบีบให้อีกฝ่ายร่ายวิชาอภินิหารมรรคกถาเต๋าบางอย่างที่ฝังเลื่อมอยู่ในชุดคลุมอาคม หากชุดคลุมเต๋าด้านในชุดไผ่ที่คนหนุ่มใช้อำพรางตาเป็นอาวุธเซียนที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าอย่างที่คาดการณ์ไว้จริง ตนก็สามารถหาเหตุผลมาหยุดมือได้แล้ว เดินขึ้นเขาฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คิดจะหาบันไดลงจะไปยากอะไร หันอวี้ซู่ไม่ใช่คนประเภทบุ่มบ่ามชอบเอาชนะคะคาน

สำนักว่านเหยาตั้งอยู่ในพื้นที่มงคลสามภูเขา ตัดขาดกับโลกภายนอกมานานหลายพันปี สั่งสมรากฐานหนาแน่นมาได้อย่างยากลำบาก แผนการที่วางไว้ย่อมยาวไกล ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายป้ายวิญญาณศาลบรรพจารย์ออกมานอกพื้นที่มงคล มาอยู่ในใบถงทวีปของใต้หล้าไพศาลก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปหาเรื่องลัทธิเต๋าสำนักใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพราะหันอวี้ซู่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะให้สำนักว่านเหยาที่อยู่บนมือตนค่อยๆ เติบโตจนกลายเป็นผู้นำของหนึ่งทวีปอย่างสำนักใบถงในอดีตและอย่างสำนักกุยหยก

ทุกวันนี้ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางสั่งห้ามไม่ให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาเข่นฆ่ากันเองอย่างจริงจัง หากค้นพบขึ้นมา ขอแค่เดือดร้อนไปถึงขุนเขาสายน้ำของโลกมนุษย์ ศาลบ๋นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะให้ห้าขอบเขตบนสองคนข้ามทวีปไปยังศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก่อน จากนั้นก็โบยทั้งสองฝ่ายคนละห้าสิบที แล้วค่อยตัดสินอีกที ดังนั้นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในเวลานี้ที่มองดูคล้ายเป็นแขกที่ได้รับการรับรอง แต่แท้จริงแล้วกลับถูกกักบริเวณอยู่ในสวนป่ากงเต๋อจึงมีมากถึงสองมือนับแล้ว หากกล้าไม่ไปรับโทษ แต่ละทวีปก็จะมีขอบเขตบินทะยานที่ไม่ใช่อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นรับผิดชอบหน้าที่ทำการ ‘เชิญ’ คนไปปิดประตูใคร่ครวญความผิดที่สวนเต้าเต๋อโดยเฉพาะ หากกล้าต่อต้านก็จะถูกสังหารทันที คุณูปการใดๆ ก็มิอาจไถ่ถอนได้

และสวนเต้าเต๋อที่มีอาจารย์ผู้เฒ่าต่งรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นคอยรับรองแขกด้วยตัวเองแห่งนั้นก็เล่าลือกันว่ายามที่สหายเก่าของแต่ละทวีปที่เป็นทวีปเพื่อนบ้านกันได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ก็จะมีบทสนทนาทำนองว่า ‘เจ้ามาแล้วหรือ ไม่เหงาแล้ว’ ‘บังเอิญนักๆ ดื่มเหล้าๆ’ ในบรรดาคนเหล่านี้ถึงขั้นยังมีอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่ง โจวมี่อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอวี๋ฝูรวมอยู่ด้วย

หันอวี้ซู่ตัดสินใจได้แล้ว ดูท่าการต่อสู้ครั้งนี้ ยิ่งตีกันก็ยิ่งรุนแรง การลงมือมีแต่จะยิ่งหนักมากกว่าเดิม

ไม่ต้องสนใจคำว่าหยุดแต่พอสมควรอะไรอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นตนกับบุตรสาวเจี้ยงซู่ คนหนึ่งเซียนเหริน คนหนึ่งหยกดิบก็จะต้องพากันมาขายหน้าอยู่ที่ภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ ใบหน้าหล่นลงพื้นแล้วยากจะเก็บกลับคืนมาได้อีก

จิตของหันอวี้ซู่ขยับไหวเล็กน้อย เป็นฝ่ายถอนแสงตะเกียงเสี้ยวสุดท้ายของค่ายกลยันต์ออกด้วยตัวเอง ยิ้มบางๆ ถามว่า “ดูจากโชคชะตาบู๊นั้น ตอนนี้เจ้าคือขอบเขตเดินทางไกลหรือว่าขอบเขตยอดเขากันแน่? ในเมื่อได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดไป คิดดูแล้วก็คงต้องภาคภูมิใจในวิชาหมัดของตัวเองมากกระมัง?”

เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า “พี่หญิงเจี้ยงซู่ เห็นแล้วหรือยัง วันหน้าเรียนรู้จากพ่อของเจ้าให้มาก หยิบขึ้นมาได้ก็วางลงได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง”

สีหน้าหันเจี้ยงซู่มืดทะมึน

บนสนามรบที่คนทั้งสองจับคู่เข่นฆ่ากันนั้น สีหน้าเฉินผิงอันมีเลศนัย มือขวาถือดาบ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าก็เดาดูสิ?”

อย่าว่าแต่หันอวี้ซู่เลย เกรงว่าแม้แต่เจียงซ่างเจินที่รู้รากฐานของตัวเองดีก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุ

เฉินผิงอันจงใจพูดคุยกับหันอวี้ซู่หลายประโยคหน่อย แล้วก็ไม่ใช่แค่ว่าจงใจแกล้งปั่นหัวเขาในเรื่องของการออกเสียงตัวอักษรบางคำให้ชัดเจนเท่านั้น แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันจำต้องแบ่งสมาธิ แล้วยังต้องแบ่งความคิดส่วนหนึ่งมาถ่วงเวลาหันอวี้ซู่ด้วย

ที่แท้ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันใช้ขอบเขตเก้าที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ถึงได้ค้นพบว่าเรื่องของการประทานโชคชะตาบู๊นี้ได้แบ่งหนึ่งออกเป็นสอง หนึ่งแท้หนึ่งลวง ในอดีตยามฝ่าทะลุขอบเขต ผู้ฝึกยุทธแค่รับเอาโชคชะตาบู๊ของใต้หล้ามาก็จะเกิดฟ้าดินอีกแบบหนึ่ง มิน่าเล่าก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถึงสัมผัสได้ว่าโชคชะตาบู๊ไม่มากพอ

เป็นเหตุให้เฉินผิงอันจำต้องปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกล จมจ่อมอยู่กับมัน ราวกับว่าถูกคนกระชากเข้าไปในฟ้าดินใหญ่ที่เป็นภาพมายาเลื่อนลอย สุดท้ายมายืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง โชคชะตาบู๊ของฟ้าดินเข้มข้นราวกับน้ำ เฉินผิงอันอยู่ด้านในนั้นก็คล้ายกับครั้งแรกที่ได้ท่องไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา

บนยอดเขาแห่งนั้นมีตำแหน่งอยู่สิบเอ็ดตำแหน่ง สามารถมีคน ‘สิบเอ็ดคน’ มายืนได้พอดี ทุกคนยืนล้อมกันเป็นวงกลม มีเพียงแค่ ‘ที่นั่ง’ เท่านั้น ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันไม่อาจแบ่งแยกขอบเขตสูงต่ำของผู้ฝึกยุทธทุกคนได้อย่างชัดเจน

ขอบเขตสิบวิถีวรยุทธ หมื่นปีที่ผ่านมา คนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดของแต่ละขอบเขต หนึ่งขอบเขตมีแค่คนเดียวเท่านั้น

ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันของใต้หล้าทุกแห่งจะสามารถมาปักหลักหยุดยืนที่นี่ แล้วรอคอยให้ถูกผู้ฝึกยุทธรุ่นหลังมาเบียดชิงตำแหน่งไปได้

แต่ว่าคนบางคน ขอแค่ได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาหลายขอบเขตก็มากพอที่จะเป็นบุคคลที่ ‘ในอดีตไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน’ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถครอบครองได้หลายตำแหน่ง

ยกตัวอย่างเช่นคนชุดขาวคนหนึ่งได้ยืนอยู่บนสี่ตำแหน่งที่แตกต่างกัน คนคนเดียวยึดครองพื้นที่ถึงสี่แห่ง ก็คือเฉาสือผู้ฝึกยุทธในช่วงอายุที่แตกต่าง ขอบเขตที่แตกต่าง

นอกจากนี้ยังมีเผยเปยที่เฉินผิงอันรู้จัก เพียงแต่ว่าเทพีแห่งการต่อสู้ผู้นี้กลับมีแค่ตำแหน่งเดียว

ชุดคลุมอาคมสีแดงสด บุรุษที่ปล่อยผมสยาย

ก็คือตัวเฉินผิงอันเอง

เฉินผิงอันขอบเขตสิบมาพบกับเฉินผิงอันขอบเขตเก้า

ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด

และเรื่องที่ทำให้ความรู้สึกนับร้อยนับพันของเฉินผิงอันประดังประเดเข้าหากันมากยิ่งกว่าก็คือในบรรดาสิบเอ็ดตำแหน่งนี้มีแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านอายุน้อยๆ คนหนึ่งยืนสองแขนกอดอก เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดหรือกำลังมองอะไรอยู่

นอกจากเฉินผิงอันขอบเขตปลายทางที่มายังยอดเขาแห่งนี้แล้ว พวกคนอื่นๆ อย่างคู่อาจารย์และศิษย์เผยเปยเฉาสือก็ดี คนที่นอกเหนือจากพวกเขาสองคนก็ช่าง บนยอดเขาแห่งนี้ ทุกคนล้วนเป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น

เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านคนนั้น เขาค้อมเอวลงน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นคลี่ยิ้มหมายจะเขกหัวนางตามจิตใต้สำนึก

ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว ได้เจอกับอาจารย์พ่อของตัวเองแล้ว มัวเหม่ออะไรอยู่เล่า

เพียงแต่เฉินผิงอันที่ยกมือขึ้นแล้วกลับเอามือลง เป็นอาจารย์ เขาตัดใจทำไม่ลง ต่อให้แท้จริงแล้วลูกศิษย์คนนี้เวลานี้จะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ตาม

อันที่จริงการฝึกหมัดนั้นยากลำบากอย่างมาก

เฉินผิงอันเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมรู้ถึงความทุกข์ทรมานที่ต้องประสบพบเจอดีที่สุด

เฉินผิงอันเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่รู้ว่ามาเยือนที่นี่จะมีความลี้ลับอะไรรออยู่ จะจากไปก็ไม่ได้ ดวงจิตของเขาถึงขั้นไม่อาจไปจากที่แห่งนี้ได้ชั่วคราว ด้วยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เฉินผิงอันจึงได้แต่เดาว่าผู้ฝึกยุทธ ‘ขอบเขตสิบเอ็ด’ นั้น สรุปแล้วจะเป็นเผยเปย หรือว่าเขา เฉาสือ เผยเฉียนหรือคนใดคนหนึ่งนอกเหนือจากพวกเขา ถึงอย่างไรก็เหลือแค่สี่คนนี้แล้ว

เสียงหนึ่งดังขึ้น ก้องสะท้อนไปทั้งฟ้าดิน “ขึ้นมาบนยอดเขาเพื่อสิ่งใด?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบไปตามเจตจำนงเดิม “หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันรู้สึกเพียงว่าท้องนภาอยู่เบื้องบน”

เจ้าของเสียงนั้นคล้ายจะไม่ค่อยพอใจในคำตอบนี้สักเท่าไร “ไม่พอ ตอบใหม่”

……

นอกฟ้าดินที่เป็นยอดเขาแห่งนั้น หันอวี้ซู่ไม่คิดจะมีมาดของผู้อาวุโสอะไรอีกแล้ว

แม้แต่เจียงซ่างเจินยังเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน ชมศึกด้วยความเงียบ

หันอวี้ซู่ที่เก็บดาบอาคมชิงเสียกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อ ข้างกายมีของเก่าแก่ชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา คือภาชนะที่ใช้ในการทำพิธีของลัทธิเต๋าอย่างอวิ๋นอ๋าว สมัยโบราณเรียกว่าอวิ๋นตุน เล่าลือกันว่าทำเลียนแบบวัตถุที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลใช้บังคับเมฆ เป็นโครงไม้สูงใหญ่ เมื่อเทียบกับอวิ๋นอ๋าวฆ้องเล็กที่โลกยุคหลังใช้กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังมีขนาดใหญ่มโหฬารมากยิ่งกว่า โครงไม้ทำมาจากการหลอมไต้สนของต้นสนโบราณหมื่นปี เซียนเหรินหันอวี้ซู่ปล่อยจิตหยินออกเดินทาง ชุดขาวส่ายสะบัด ถึงกับกลายเป็นชุดคลุมอาคมอีกชิ้นหนึ่งที่มีอายุยาวนาน จิตหยินของหันอวี้ซู่ยืนอยู่เหนืออวิ๋นอ๋าว ในมือถือกระบองเล็กแกะสลักตัวอักษรโบราณคำว่า ‘ซ่างหยวนฮูหยินเป็นผู้สร้าง’ แล้วยังเป็นสมบัติหนักตกทอดจากพื้นที่ลับของยุคบรรพกาลอีกด้วย