บทที่ 752.6 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันถาม “บ่อไข่มุกมรกตแห่งนั้นสามารถคงความงามของสตรีได้จริงหรือ?”

ไต้หยวนเอ่ยเสียงเบา “บอกกับผู้อาวุโสตามตรง ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งสิ้น ก็แค่ว่าทุกปีจะไปเอาหิมะที่สะสมอยู่ในทะเลสาบหิมะบนยอดเขามาหลายร้อยจิน เป็นเหตุให้น้ำในบ่อมีโชคชะตาน้ำเข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน จากนั้นแอบโปรยพืชพรรณดอกไม้หายากลงไปในบ่อ สีของบ่อน้ำจึงสดใสกว่าเดิมมาก จากนั้นจึงเชิญผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง และฮองเฮาทุกพระองค์ของราชวงศ์สกุลอวี๋ให้มาช่วยพูดจาดีๆ ถึงบ่อไข่มุกมรกตสองสามคำก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ราชวงศ์สกุลอวี๋ไม่นับว่าอยู่ใกล้ที่นี่ ตระกูลโหวแห่งนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีปที่พวกเจ้ากอดขาใหญ่เอาไว้ก็ไม่ใช่สำนักชั้นสูงอะไร เป็นเพียงแค่หนึ่งในแซ่สกุลใหญ่ไม่กี่สกุลของนครมังกรเฒ่าเท่านั้น แต่กลับทำให้สหายไต้มีความกล้าถึงขนาดเดินทางไกลเป็นพันลี้มาหวังครอบครองภูเขาไท่ผิงเช่นนี้ เพราะคิดจะงัดข้อกับสำนักว่านเหยาและเสี่ยวหลงชิวหรือ?”

ไต้หยวนรีบอธิบายให้ชัดเจนทันที “นี่คือความต้องการของบรรพจารย์เกา ข้าน้อยเองก็เลอะเลือนมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าบรรพจารย์มีคำสั่งจึงไม่กล้าไม่ทำตาม”

ไต้หยวนยังคงให้ความร่วมมือด้วยการอธิบายให้ผู้อาวุโสข้างกายผู้นี้ฟังต่อไปด้วยความอดทน “ส่วนตระกูลโหวของนครมังกรเฒ่านั้นมีบัณฑิตคนหนึ่งที่ได้ดิบได้ดี พลังการรบแกร่งกร้าว ทุกวันนี้ได้กลายเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูแล้ว และยังมีวิญญูชน ‘เจิ้งเหริน’ อีกคนหนึ่งที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะมารับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาในใบถงทวีปเรา! อันที่จริงสำนักของพวกเราและฮ่องเต้สกุลอวี๋ต่างก็ได้ยินข่าวกันมาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาวิญญูชนสำนักศึกษาผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับทางตระกูลมาโดยตลอด แต่ว่าเรื่องแบบนี้เราไม่กล้าไม่เห็นเป็นสำคัญจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากผู้ฝึกตนใบถงทวีปอย่างพวกเจ้าจริงๆ ไม่คิดว่าจะตกต่ำถึงขั้นที่ต้องไปสืบข่าวเล็กๆ น้อยๆ จากแจกันสมบัติทวีปแล้ว”

ไต้หยวนถอนหายใจ “แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ร้ายกาจมากนี่นา”

เฉินผิงอันเอ่ย “เอาเถอะ ตามนี้แหละ เรื่องในวันนี้สหายไต้ก็แสร้งทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน ไม่แน่ว่าวันใดข้าอาจไปเยี่ยมเยือนที่ภูเขาของเจ้า สหายไต้เล่ามามากมายถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าได้รับประโยชน์มากเลยทีเดียว”

ไต้หยวนค้อมเอวก้มหัว ประสานมือคารวะ “ผู้อาวุโสก็แค่เป็นดั่งเทพเซียนที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์แล้วสอบถามเทพแห่งผืนดินเท่านั้น ผู้เยาว์ได้ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีช่วยเหลือท่าน ช่างเป็นบุญกุศลที่สะสมมาเมื่อชาติปางก่อนจริงๆ”

เฉินผิงอันตบไหล่ของผู้ฝึกตนโอสถทอง “สหายไต้กลับคืนไปยังบ้านเกิดได้อย่างสบายใจ แค่ต้องจำไว้ว่าอะไรที่ไม่ควรพูด ต่อให้ถูกตีตายก็อย่าได้พูด หาเหตุผลสักข้อกลบเกลื่อนให้ผ่านด่านไป ส่วนทางฝั่งของผู้อาวุโสก่อกำเนิดที่เสี่ยวหลงชิวนั้น ข้าจะช่วยไกล่เกลี่ยให้เจ้าเอง จะไม่ยอมให้เขาเคียดแค้นเจ้าแม้แต่นิดเด็ดขาด”

ไต้หยวนมีสีหน้ามึนงง จากนั้นหัวใจก็พลันบีบรัดตัวแน่น

ไกล่เกลี่ยอะไรกัน? ไม่ต้องสักหน่อย เวลาปกติข้าผู้อาวุโสกับผู้อาวุโสก่อกำเนิดจากเสี่ยวหลงชิวผู้นั้นพูดคุยกันอย่างถูกชะตามากเลยนะ ไม่ว่าจะมีธุระไม่มีธุระก็จะต้องชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วยกัน มีชีวิตดั่งเทพเซียนยิ่งนัก

เฉินผิงอันเหล่ตามองโอสถทอง

ไต้หยวนรีบยกมือขึ้นกุมกันอีกครั้งทันใด “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโสแล้ว ผู้เยาว์ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

เห็นว่าสีหน้าของผู้อาวุโสยังคงไม่เป็นมิตร ไต้หยวนก็พลันกระจ่างแจ้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอายใจ รีบหยิบก้อนหมึกโบราณส่งกลิ่นหอมก้อนหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ ประคองถือไว้ด้วยสองมือ “ผู้อาวุโสโปรดรับเอาไว้ นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของผู้เยาว์ ได้ยินเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นของสกุลอวี๋บอกว่าวัตถุชิ้นนี้มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา มีชื่อว่า ‘หมึกนักพรตเต๋าสนใต้ดวงจันทร์’ เนื่องจากทุกๆ คืนที่มีแสงจันทร์ บนหมึกโบราณก็จะมีนักพรตน้อยตัวหนึ่งเดินไปเหมือนแมลงวัน คอยสอบถามคำถาม คำตอบก็คือ ‘ทูตสนดำ ขุนนางแก่นหมึก’ คือบุคคลเก่าแก่ในพระราชวังของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ว่ากันว่าฮ่องเต้จะประทานให้แค่ขุนนางฝ่ายบุ๋นของสำนักฮั่นหลินที่อายุน้อยมีความสามารถมากเท่านั้น”

เฉินผิงอันรับก้อนหมึกมาแล้วโบกมือ

ไต้หยวนขอตัวจากไปด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นสุขุม แรกเริ่มเขาทะยานลมจากไปอย่างไม่รีบร้อน กระทั่งเร่งทะยานลมอย่างเต็มกำลัง เพียงไม่นานเรือนกายก็หายวับไป

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักบนนิ้วเล็กน้อย เตรียมจะขยี้ก้อนหมึกให้แหลกสลาย

เจียงซ่างเจินกลับเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ต้องการ สามารถขายให้ข้าได้”

เฉินผิงอันยิ้ม หยุดการกระทำบนมือลง หมึกโบราณก็ไถลเข้าไปในชายแขนเสื้อ

เจียงซ่างเจินค่อนข้างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าทางจิตใจของเฉินผิงอัน จึงลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่ก่อกำเนิดจากเสี่ยวหลงชิวผู้นี้ ข้าจะช่วยไล่ไปให้เอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เจียงซ่างเจินทำอะไร มีแต่จะรอบคอบรัดกุมยิ่งกว่าตน

เขาเดินมานั่งลงบนขั้นบันไดหน้าประตูภูเขา

เฉินผิงอันค้นพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจการถามใจในความฝันที่สองของชุยฉานบ้างแล้ว

หยางผู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกาเหล้าใบนั้นขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอำลา “เจ้าขุนเขาเฉิน ผู้เยาว์คิดว่าจะกลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว”

เฉินผิงอันรีบเก็บความคิดกลับคืน ลุกขึ้นยืนกุมหมัดเอ่ย “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่งไกลๆ”

เฉินผิงอันเก็บมือมาแล้วก็ยื่นหมึกโบราณก้อนนั้นให้กับหยางผู่ ยิ้มเอ่ยว่า “จะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้”

หยางผู่ก้มหน้าลงมองกาเหล้าในมือตนแล้วมองก้อนหมึกในมือของเจ้าขุนเขาเฉินอีกครั้ง ก่อนจะรับมันมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะอีกรอบ

หลังจากมองส่งหยางผู่จากไป ทางฝั่งของเจียงซ่างเจินก็จัดการกับปัญหาได้เรียบร้อยแล้ว เจียงซ่างเจินย้อนก้อนหินสีดำสนิทก้อนหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน “อย่าได้ดูแคลนของชิ้นนี้ คือหนึ่งในหินเยี่ยนอวี้ในอดีต เพียงแต่เจอกับคนที่ไม่ดี จึงไม่รู้จักคุณค่าของมัน ทุกวันนี้เพียงแค่ถูกพี่ใหญ่ก่อกำเนิดท่านนี้นำมาใช้ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเท่านั้น ดีมากเลยล่ะ พอมีหินก้อนนี้ก็สามารถชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำทุกแห่งในทวีปได้ หากตาเฒ่าสวินยังอยู่ จะต้องแย่งชิงกับเจ้าแน่นอน ใช่แล้ว ช่วงท้ายการประชุมครั้งสุดท้ายในศาลบรรพจารย์ยอดเขาสินจ้วนปีนั้น ตาเฒ่าสวินให้ข้าฝากคำพูดมาบอกกับเจ้า ปีนั้นเป็นเขาที่ทำอะไรไร้คุณธรรมจริงๆ แต่เขาก็ยังคงไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป”

เฉินผิงอันพยักหน้า “สามารถเข้าใจได้ ถึงอย่างไรไม่ยอมรับ…ก็ได้แต่ต้องยอมรับแล้ว สรุปก็คือบุญคุณความแค้นส่วนตัวบางอย่าง ไม่ถ่วงรั้งการเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่แท้จริงของผู้อาวุโสสวิน”

เจียงซ่างเจินสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย “มีประโยคนี้ของเจ้าก็เพียงพอมาแล้ว ชั่วชีวิตนี้มองดูเหมือนตาเฒ่าสวินไม่สนใจหน้าตา แต่ที่จริงกลับสนใจมันมากที่สุด เพียงแต่ว่าเป็นเจ้าสำนักคนหนึ่ง เรื่องราวหลายอย่างจึงไม่อาจเป็นดังใจเขาได้เสมอไป”

เฉินผิงอันถาม “ศิษย์พี่จั่วของข้าล่ะ?”

เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ไม่มีข่าวที่แน่ชัด ข้าแค่ได้ยินว่าปีนั้นเขากับเซียวสวิ้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่เข้าไปถามกระบี่กันยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างผ่านหนึ่งในประตูใหญ่หลายแห่งที่กลายเป็นซากปรักซึ่งโผล่มาเหนือมหาสมุทร บางคนก็บอกว่าอาจารย์จั่วร่วมมือกับเซียวสวิ้นเปิดม่านฟ้าไปยังสนามรบโบราณด้านนอก แต่สรุปก็คือมีเพียงเรื่องเดียวที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังไม่กลับมา”

เฉินผิงอันถามอย่างระมัดระวัง “เทพวารีลำคลองม่ายเหอ? ตำหนักพยัคฆ์เขียวของยอดเขาเทียนแจว๋?”

สีหน้าของเจียงซ่างเจินมีเลศนัย ยิ้มเอ่ยว่า “ศาลบรรพจารย์ของตำหนักพยัคฆ์เขียวย้ายไปที่แจกันสมบัติทวีปแล้วก็มีชีวิตที่ดี รุ่งเรืองก้าวหน้า กลายเป็นผู้ถวายงานของราชวงศ์ต้าหลีแล้ว สหายเก่าของพวกเราคนนั้นเกือบจะตัดใจลงใต้กลับคืนบ้านเกิดไม่ลงเสียแล้ว ส่วนนครเซิ่นจิ่งแห่งต้าเฉวียนกับเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอท่านนั้น เจ้าไปดูเองก็แล้วกัน รับรองว่าเจ้าไม่มีทางเสียใจแน่”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

เจียงซ่างเจินเดาความคิดของเฉินผิงอันได้ จึงเป็นฝ่ายเอ่ยเองว่า “ส่วนมหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นั้น พอขึ้นฝั่งที่แจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของเจ้า จากนั้นก็หายไปแล้ว”

เจียงซ่างเจินแทบจะไม่เคยมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังเช่นนี้มาก่อน “น่ากลัวนัก มองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่กลับยังทำให้ข้ารู้สึกกลัวได้ ตอนนั้นค่ายกลใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปเปิดออก แล้วรวบตัวปกคลุมอยู่ในจุดหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สรุปก็คือเรื่องนี้กลายเป็นข้อต้องห้ามใหญ่อันดับหนึ่งของศาลบุ๋นไปแล้ว มีเพียงบุคคลอย่างพวกฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่เท่านั้นที่ถึงจะรู้ความจริง อดีตเจ้าสำนักกุยหยกอย่างข้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รู้เรื่องนี้”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วมาดันหว่างคิ้ว ใบหน้ามีความเจ็บปวดวาบผ่าน ฝันที่สามในถ้ำแห่งโชควาสนา ความฝันหนึ่งในนั้นก็คือมีคนเปิดม่านฟ้านำมาก่อน จากนั้นก็มีคนตามขึ้นไปบนฟ้า!

ด้านหลังคนทั้งสองมีคนหลายคน แล้วก็ตามมาอีกหลายสิบคน

แต่ความฝันนี้ฝันซ้ำไปซ้ำมา เฉินผิงอันกลับไม่เคยเห็นได้ชัดเจนเลยสักครั้ง แล้วก็จำใครไม่ได้เลยสักคน

เฉินผิงอันถอนหายใจยาวเหยียด อารมณ์หนักอึ้ง ถามเสียงเบาว่า “ภูเขาลั่วพั่ว? อาณาเขตขุนเขาเหนือ?”

เจียงซ่างเจินกล่าว “วางใจเถอะ ขุนเขาสายน้ำยังคงเดิม ทุกคนล้วนสบายดี ไม่อย่างนั้นข้าหรือจะมีอารมณ์มาหลบอยู่ที่ยอดเขาเสินจ้วน ป่านนี้คงไปเยือนบ้านเกิดเจ้านานแล้ว”

เฉินผิงอันใช้หลังมือดันหน้าผาก นั่งกลับลงไปบนขั้นบันได

สีหน้าเจียงซ่างเจินกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม นั่งลงด้านข้าง ถามว่า “เจ้ารู้จักแม่นางคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซอเยว่หรือไม่? ใบหน้ากลมๆ สวมชุดผ้าฝ้าย สวมรองเท้าผ้า หน้าตาน่ารักนัก แล้วนิสัยยังดีด้วย เวลาพูดจาท่าทางก็ดูซื่อๆ คาดว่าแม่นางเซอเยว่ที่เป็นคนดี ดีมากๆ คงเป็นแม่นางที่มีสถานะเป็นเผ่าปีศาจคนเดียวที่ได้รับการยอมรับจากใต้หล้าไพศาลจากใจจริงแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่ ข้ารอคอยยิ่งนัก”

ทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลต่างก็ยอมรับเรื่องหนึ่งโดยทั่วกันว่า ผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ที่พันปียากจะพานพบสองกลุ่มที่ทยอยกันปรากฎตัวเหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิแตกหน่อหลังฝนตกนั้น ถือเป็นการถือกำเนิดโดยโชคชะตาที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง มีเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดจากสงครามใหญ่ อีกทั้งแต่ละคนยังได้ฝ่าทะลุขอบเขตและมีโชควาสนาใหญ่ติดกาย พอศึกใหญ่บังเกิดขึ้น ใต้หล้าทั้งสองแห่งก็ดึงใต้หล้ามากกว่านั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไพศาลและเปลี่ยวร้างที่ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดิน โชคชะตาขุนเขาสายน้ำซึ่งเดิมทีเป็นระเบียบ การไหลรินเชื่องช้าอย่างมาก ได้กลับกลายเป็นว่าไร้ระเบียบไปอย่างสิ้นเชิง คนกลุ่มแรกมีจำนวนไม่มาก แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการผลัดฟ้าเปลี่ยนดิน กรณีที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือสิบคนรุ่นเยาว์และตัวสำรองสิบคนของหลายใต้หล้า และอันที่จริงช่วงเวลาก่อนหน้านานกว่านั้นก็คือช่วงเวลาอันดีงามยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่มีหนิงเหยาเป็นผู้นำพากันปรากฏตัวจำนวนมาก กลุ่มคนที่สอดคล้องกันก็คือร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

กลุ่มถัดมาอายุไม่ได้น้อยเท่าใดนัก แต่ก่อนเกิดศึกใหญ่บางคนก็ตั้งใจฝึกตน ไร้ชื่อไร้นาม บ้างก็ชื่อเสียงไม่เด่นชัด เพราะปิดบังตบะที่แท้จริงเอาไว้ ท่ามกลางกลียุคที่เหล่าผู้กล้าพากันปรากฏตัว พวกเขาก็ได้โผล่ขึ้นมาบนโลกแล้วลุกผงาดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายทุกคนส่องประกายแสงเจิดจ้าพร่างตา เชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ ประหนึ่งธารดาราที่อยู่บนท้องนภา

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกุยหยก เหวยอิ๋งที่เป็นเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว ในสงครามของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีเก่า ท่ามกลางการเข่นฆ่าที่ต้องทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันหลายครั้งหลายครา เขาได้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นเซียนเหริน และยังมีสวีจวิน สวีเซี่ยเซียนกระบี่แห่งเกราะทองทวีปที่ท่าเรือชวีซาน เค่อชิงสกุลหลิวแห่งธวัลทวีป เท้าเหยียบยืนอยู่บนใบถงทวีปเป็นครั้งแรก พวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นได้เริ่มรวบรวมรายงานลับจากแต่ละทวีปที่และรายงานขุนเขาสายน้ำที่มีจำกัด นำมาทำการสรุปชื่อแซ่ อายุและขอบเขตของผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์เหล่านี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงออกของพวกเขาในศึกใหญ่ครั้งต่างๆ จากนั้นก็อาศัยสิ่งเหล่านี้มาคาดเดาระดับความสูงของผลสำเร็จบนมหามรรคาในท้ายที่สุดของแต่ละคน

ใบหน้าเฉินผิงอันแสดงความกังขา ส่ายหน้าเอ่ยว่า “แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้าย? ไม่รู้จักหรอก เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเจอมาก่อน”

เป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์เหมือนเฉินผิงอัน ในอดีตตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองเขาเคยเกิดความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ กับแม่นางคนหนึ่งซึ่งสามารถมองข้ามไปได้เลย

ตอนนั้นเฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่านางคือหลิวไฉ ผู้ฝึกกระบี่ที่กระบี่บินเกิดมาก็สยบกำราบตน

เวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว ตนสมองไม่ค่อยจะดี จดจำอะไรไม่ได้แล้ว แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้าย เซอเยว่อะไรนั่น เรื่องที่ไม่ได้มีความแน่นอนอะไร พูดมากไปคิดมากไปล้วนไร้ประโยชน์ ง่ายที่จะเกิดข้อผิดพลาดมากกว่าเดิม

เจียงซ่างเจินรู้สึกเสียดายยิ่งนัก

เฉินผิงอันหยิบปิ่นหยกขาวอันหนึ่งออกมา เตรียมจะมัดผมปักปิ่นหยกอีกครั้ง

พริบตานั้นเฉินผิงอันก็เก็บปิ่นหยกขาวกลับลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงบอกให้เจียงซ่างเจินรีบออกไปให้ไกลจากที่แห่งนี้

นาทีถัดมา

เฉินผิงอันก็ก้มหัวค้อมเอว พุ่งทะยานไปด้านหน้า ชั่วพริบตาก็ออกห่างจากประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิงไปไกล

จากนั้นบนพื้นดินก็มีหลุมที่ไม่ใหญ่แต่กลับลึกมากหลุมหนึ่ง เฉินผิงอันไม่เพียงแต่คล้ายถูกหมัดหนึ่งต่อยอย่างไม่ออมแรง ยังเกือบจะต้องทิ้งชีวิตครึ่งหนึ่งไปทันที แม้แต่ชุดคลุมอาคมสองชิ้นก็ยังไม่อาจสกัดการไหลรินของเลือดสดได้ ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ก็ยิ่งเหมือนมีตาน้ำพุพุ่งออกมาจากทุกหนทุกแห่ง

เจียงซ่างเจินนั่งยองลงข้างหลุม มองให้แน่ใจว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มด้านล่างหลุมนั้น ‘เหมือนจะบาดเจ็บ’ หรือ ‘บาดเจ็บสาหัสจริงๆ’ เจียงซ่างเจินยังมึนงงไม่หาย เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจริงหรือหลอก จึงได้แต่ใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าขุนเขา เล่นอะไรน่ะ? ครั้งนี้พวกเราสองคนจะหลอกใครอีกเล่า? มีเซียนเหรินมาอีกคนหนึ่งหรือ? แถมยังไม่ใช่ประเภทที่เป็นกระดาษเปียกด้วย? บอกมาให้แน่ใจ ข้าจะได้ปกป้องมรรคาให้”

เฉินผิงอันที่นอนหายใจรวยรินเอ่ยเสียงระโหยโรยแรง “ปกป้องมรรคากับปู่เจ้าเถอะ รีบดึงข้าขึ้นไปหน่อย”

เจียงซ่างเจินรีบกระชากเฉินผิงอันออกมาจากหลุม สีหน้าเฉินผิงอันอ่อนล้า ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง พึมพำกับตัวเองว่า “หมัดดี”

เจียงซ่างเจินกวาดตามองรอบด้านแล้วจุ๊ปากด้วยความอัศจรรย์ใจ หมัดนี้หากหล่นลงบนร่างของตนคงต้านรับไว้ไม่อยู่เป็นแน่ ประเด็นสำคัญคือเจียงซ่างเจินสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่าตำแหน่งแท้จริงที่หมัดนั้นพุ่งมาคือที่ใดกันแน่

ไร้พื้นที่ให้หลบเลี่ยง ทั้งยังต้านรับไว้ไม่ไหว โชคดีที่เจ้าขุนเขาบ้านข้ามีความรับผิดชอบ

เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง สีหน้าอัดอั้นคล้ายอยากด่าคนแต่ก็ไม่กล้าด่า สุดท้ายจึงได้แต่เอ่ยอย่างจนใจว่า “ไม่อยากไปเป็นแขกที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็คงไม่ได้แล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “นี่ดีจะตายไป พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของข้าขึ้นชื่อว่ามีสาวงามเยอะนะ”

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ โยนปิ่นหยกขาวด้ามนั้นให้เจียงซ่างเจิน บอกให้เขาเก็บรักษาไว้ให้ดี จากนั้นตัวเองก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง

เจียงซ่างเจินรับปิ่นหยกขาวมาเก็บไว้ แบกเฉินผิงอันขึ้นหลัง ร่ายเวทอำพรางตาทะยานลมว่องไวกลายร่างเป็นสายรุ้งที่พุ่งไปทางทิศใต้

อะไรที่เรียกว่ามิตรภาพที่เหนือกว่าชีวิต? ก็คือแบบนี้นั่นเอง นี่เท่ากับว่าเฉินผิงอันเอาชีวิตของตัวเองครึ่งหนึ่ง รวมถึงปิ่นหยกที่ดูท่าแล้วจะมีค่าไม่น้อยไปกว่าชีวิตของเขา มอบให้เขาเจียงซ่างเจินทั้งหมด

เจียงซ่างเจินรู้สึกว่าจะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหรือไม่ อันที่จริงก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกแล้ว

เจ้าขุนเขาหนุ่มที่ถูกแบกอยู่บนหลังจิตใจไม่มั่นคงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าจนถึงท้ายที่สุด พอเขาพึมพำชื่อแม่นางคนหนึ่งในความฝันซ้ำไปซ้ำมา ถึงได้ค่อยๆ สงบลง

เจียงซ่างเจินพลันชะงักร่าง หันหน้ากลับไปมองก็เห็นเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดแล้วก็ยังไม่ยอมเช็ดออก เพราะใช้ตบะของขอบเขตเซียนเหรินฝืนใช้วิธีการของขอบเขตบินทะยานเดินทางไกลข้ามทวีป เวลานี้จึงเป็นม้าตีนปลายแล้ว เป็นเหตุให้พอพุ่งมาถึงจึงไม่อาจรั้งทั้งจิตใจและร่างกายให้มั่นคงได้ ทำเอาเจียงซ่างเจินเกือบจะใช้ใบหลิวครึ่งท่อนทิ่มเจ้าคนที่เหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรงผู้นั้นให้ตายไปแล้ว เพียงแต่ว่าพอมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดเจน เจียงซ่างเจินก็หัวเราะทันใด ช่างใจกล้าเทียมฟ้าไม่กลัวตายจริงๆ

เด็กหนุ่มเดินโซซัดโซเซพุ่งตัวมาด้านหน้าตลอดทาง สุดท้ายเจียงซ่างเจินต้องยื่นมือไปประคองไหล่อีกฝ่ายไว้เขาถึงได้หยุดนิ่ง เด็กหนุ่มชุดขาวใช้สองมือเท้าเอว หอบหายใจหนักหน่วง แหงนหน้าขึ้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นตาม บอกเป็นนัยแก่เจียงซ่างเจินว่าไม่ต้องเอ่ยอะไรรบกวนการหลับพักผ่อนของอาจารย์เขา รอยยิ้มของเด็กหนุ่มชุดขาวเจิดจ้า เพียงแต่น้ำตากลับไหลอาบเต็มใบหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ให้ข้าเป็นคนแบกอาจารย์กลับบ้านเอง”

——