“นี่คือหอสังเกตการณ์ซี134 ทุกอย่างในพื้นที่สังเกตการณ์ปกติ”

“กรุณาตรวจติดตามต่อไปและรายงานสถานการณ์ทุกสิบนาที”

“รับทราบ…”

หลังจากปิดช่องการสื่อสาร ออสมอนด์สบถขณะที่เขาพิงหลังกับเก้าอี้ทำงาน “พวกคนที่สำนักงานใหญ่นี่เสียสติไปแล้วเหรอ? รายงานทุกสิบนาที? รายงานอะไรกัน? มีจุดประสงค์อะไรที่ต้องทำแบบนี้?”

เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานอารมณ์เสีย โรฮาร์ดซึ่งนั่งอยู่ข้างกันจึงปลอบใจเขา

“บางทีอาจจะมีเหตุฉุกเฉิน… มาผลัดกันเถอะ ผมจะรายงานในอีกสิบนาที”

ที่นี่เป็นสถานีขุดเจาะซึ่งตั้งอยู่ที่เขตแดนชั้นในของแถบดาวเคราะห์น้อย

นอกจากการผลิตแร่เหล็กแล้ว ยังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำที่นี่ ภารกิจนั้นก็คือการตรวจติดตามการเคลื่อนไหวของสถานีอวกาศเลอเกรนจ์และกองทัพชุดแรกของพาน-เอเชียและให้การสนับสนุนด้านข่าวกรองแก่ “ผู้ชอบธรรม” เหล่านั้นซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะตระหนักยิ่งถึงความสำคัญภารกิจและเกียรติยศสำหรับงานของพวกเขา แต่ความตระหนักถึงความสำคัญของภารกิจและเกียรติยศนี้ก็มีขีดจำกัด

การใช้ชีวิตของพวกเขาเพียงลำพังไปโดยเปล่าประโยชน์ในที่ห่างไกลนี้ แม้แต่คนที่มีจิตวิญญาณในการปฏิวัติก็คงจะรู้สึกไร้ค่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นจิตวิญญาณการปฏิวัติของพวกเขายังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น

ในขณะที่ออสมอนด์กำลังคิดอยู่ว่าจะเขียนรายงานอย่างไรในอีก 20 นาที ทันใดนั้นจุดสีเขียวบนหน้าจอเรดาร์ของหอสังเกตการณ์ก็ขยับไปขยับมา

เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ เขาก็เปิดใช้งานกล้องโทรทรรศน์ของสถานีอวกาศหมายเลข 1 และเล็งตำแหน่งของมันไปที่สถานีอวกาศเลอเกรนจ์ทันที

เขาเห็นประตูท่าเทียบยาน 17 เปิดอยู่และยานอวกาศสีเงินวาวก็โผล่ออกมาจากตรงนั้นอย่างช้าๆ

ตาของเขาเบิกกว้าง เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที เอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้างๆ และชี้ไปที่หน้าจอโฮโลแกรมบนคอนโซล

“ดูนี่ มีการเคลื่อนไหวตรงนั้น ฉินหลิ่งออกจากท่าเทียบยานไปแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น โรฮาร์ดก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่คอนโซล

“บันทึกเส้นทางการบินไว้!”

“บันทึกแล้ว! เวรเอ๊ย ไม่มีประโยชน์”

ออสมอนด์กระแทกหมัดเข้ากับที่วางแขนเก้าอี้

ถ้าไม่มีเข็มขัดนิรภัย หมัดของเขาก็คงจะทำให้เขาลอยขึ้นมาจากเก้าอี้และกระแทกเข้ากับเพดาน

โรฮาร์ดซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่มองไปยังยานอวกาศที่หายไปจากเรดาร์

“เทคโนโลยีความเร็วแบบวาร์ปงั้นเหรอ? ช่างสะดวกสบายจริงๆ”

ในตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา เขามีสีหน้าที่อิจฉา

มันคงจะดีถ้าพวกเขามีเทคโนโลยีแบบนี้บ้าง

ถ้าพวกเขาสามารถจะเข้าใจเทคโนโลยีที่เร็วกว่าแสงได้อย่างถ่องแท้ พวกเขาก็คงจะสามารถสร้างกองทัพที่ควบคุมระบบสุริยะด้วยความสามารถเชิงอุตสาหกรรมอันทรงพลังของพวกเขาได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือน พวกเขาอาจจะเป็นชนวนสำคัญใน “การสร้างประเทศที่เป็นของชาวดาวอังคาร” ให้เกิดขึ้นได้โดยสมบูรณ์

“มันสะดวก… เห็นชัดๆ เลยว่ามันใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการเดินทางจากระบบระหว่างโลกกับดวงจันทร์มายังดาวอังคาร”

“คุณคิดว่าพวกเขาส่งไปเพื่ออะไร?”

“พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร” ออสมอนด์พูดพร้อมกับส่ายหัว “ผมเดาว่ามันเป็นการทดสอบอุปกรณ์ ดูเหมือนพวกเขากำลังทำการทดสอบเมื่อไม่นานนี้”

คำตอบนี้ไม่ได้ทำให้โรฮาร์ดรู้สึกโล่งใจเลย

สัญชาตญาณบอกเขาว่าเรื่องมันคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

อย่างไรก็ตามสัญชาตญาณก็เป็นแค่สัญชาตญาณ แม้เขาจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่าอะไรที่มันผิดปกติ?

หลังจากที่พูดว่า ‘น่าจะ’ เขาก็ยื่นมือไปกดปุ่มเรียกการสื่อสาร เขาเชื่อมต่อกับศูนย์บัญชาการเพื่อที่จะรายงานความผิดปกติ

ในขณะนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

จู่ๆ ประตูท่าเทียบยานของสถานีอวกาศเลอเกรนจ์หลายประตูก็เปิดขึ้นพร้อมกัน ภายใต้แสงที่ส่องประกายของเครื่องพลาสมา ยานอวกาศใหญ่โตหลายลำก็แล่นออกไปอย่างช้าๆ

ทั้งโรฮาร์ดและออสมอนด์เบิกตากว้าง

พวกเขาจำยานอวกาศทุกลำบนหน้าจอได้

แต่ครั้งสุดท้ายที่พวกมันทั้งหมดถูกส่งออกไปนั้นก็เนื่องด้วยเหตุกบฏหุ่นยนต์เมื่อปีก่อน…

“นี่คือศูนย์บัญชาการ เราได้รับคำร้องขอสื่อสารแล้ว… เกิดอะไรขึ้น?”

ทั้งสองคนเงียบอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าอีกฟากฝั่งของช่องการสื่อสารนั้นกระวนกระวายเล็กน้อย

เมื่อได้สติกลับมาหลังจากช็อกไป โรฮาร์ดก็พูดตะกุกตะกักด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“หัวฉ่านกับไท่ชาน… มีกองบินทางอากาศของกองทัพชุดแรกออกไป! มียานอวกาศทั้งหมด 20 ลำ… พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปดาวอังคาร!”

เมื่อได้ยินรายงานนี้ก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ในช่องการสื่อสาร

เกิดความสับสนวุ่นวายต่างๆ นานาขึ้นในทันที เสียงของเจ้าหน้าที่ประสานงานที่นั่งอยู่ตรงนั้นฟังดูตื่นตกใจ

“กองบินทางอากาศเหรอ? คุณแน่ใจใช่ไหมว่าคุณเห็นมัน? เดี๋ยวก่อนนะ… การซ้อมรบจะเริ่มเดือนหน้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมมันถึงเริ่มก่อนล่ะ?”

ในที่สุดออสมอนด์ก็อดที่จะระเบิดอารมณ์ออกมาไม่ได้

“ใครจะไปรู้วะไอ้เวร!”

กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของสหการพาน-เอเชียนออกจากท่าเทียบยานไปและมีเป้าหมายคือดาวอังคาร

แม้แต่คนโง่ยังรู้สึกได้เลยว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิด…

แถบชานเมืองของเมืองเทียนกง

กองบัญชาการของสำนักงานความมั่นคงซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่อยู่อาศัย ถูกกระหน่ำโจมตีอย่างรุนแรง

โดยที่ไม่มีการเตือนแม้แต่น้อย กองกำลังไม่รู้แหล่งที่มาโจมตีพวกเขาอย่างฉับพลัน

นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเกือบทั้งหมดกระจายตัวออกไปเพื่อไปค้นหาที่อยู่ของลู่โจว กองกำลังดังกล่าวได้เข้ามาเผชิญหน้าโดยไม่มีการต่อต้านในตอนที่พวกเขาโจมตี และพวกเขาก็โค่นลงได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ

เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองซึ่งประจำการอยู่ที่นี่ถูกฆ่าในเหตุกระหน่ำยิง

เมื่อมองดูศพที่อยู่บนพื้น ผู้ก่อเหตุซึ่งยืนอยู่ในบริเวณนั้นก็ใช้ปากกระบอกปืนเขี่ยศพและถามว่า “เจ้านาย เราไม่ต้องเก็บให้ใครสักคนเหลือรอดไว้เลยเหรอ?”

“ไม่จำเป็นหรอก เพราะการที่เรามายืนอยู่ตรงนี้มันก็หมายความว่าเราได้ส่งสารแล้ว”

ระหว่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าไวท์บอร์ดข้างกำแพง ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้านายก็ถอดหน้ากากชุดเกราะออกและจ้องไปที่ภาพและสรุปข่าวต่างๆ ซึ่งแปะอยู่บนไวท์บอร์ด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างแรง

นั่นแหละ อย่างที่นายกเทศมนตรีคาดเอาไว้ เหตุเที่ยวบินเอ็น-177 ได้ทำให้สำนักงานความมั่นคงตื่นตระหนก ตลอดทั้งปีเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่สำนักงานความมั่นคงส่งออกไปในอาณานิคมได้ทำการสืบหาความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์การจี้เครื่องบิน

“น่าเสียดายที่เป้าหมายไม่อยู่ที่นี่…”

เมื่อถอนสายตาจากไวท์บอร์ดแล้ว ชายที่ถูกเรียกว่า เจ้านาย เหลือบมองไปรอบๆ ศูนย์บัญชาการที่ถูกทำลายแห่งนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า “เขาน่าจะถูกส่งไปที่อื่น”

เป้าหมายของปฏิบัติการของพวกเขาก็คือ ลู่โจว

จากเบาะแสต่างๆ ที่รวบรวมจากห้องในโรงแรม พวกเขาสรุปได้ว่าเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสำนักงานความมั่นคงพาน-เอเชียนได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงส่งใครบางคนไปย้ายลู่โจวออกไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดก็คือเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเหล่านั้นไม่ได้ส่งลู่โจวไปยังศูนย์บัญชาการในเมืองเทียนกงและพวกเขาไม่ได้เจอการต่อต้านที่ส่งผลใดๆ ในตอนที่พวกเขามาบุกรุกที่นี่ด้วยซ้ำ

ทุกอย่างดูเหมือนจะบ่งบอกว่าข้อมูลของพวกเขาอาจจะมีปัญหา

และปัญหาก็ไม่ได้เล็กเลย…

“แต่พวกเขาย้ายเขาไปที่ไหน?” ผู้ก่อเหตุซึ่งยืนถือปืนไรเฟิลอยู่ข้างเขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เมืองเทียนกงทั้งหมดอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของเรา นอกจากที่นี่… ผมก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีที่ไหนปลอดภัยไปกว่านี้”

ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้านายกำลังจะพูด แต่ในขณะนั้นก็มีเสียงที่ไม่คุ้นชินลอยมาไม่ไกลนัก

“ใช่ ผมก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”

“พวกแกเอานักวิชาการลู่ไปไว้ที่ไหน?”

…………………..