“พวกแกเอาเขาไปไว้ที่ไหน?”

วินาทีที่พวกเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้านายก็หันปากกระบอกปืนไปที่ทิศทางของเสียงนั้นโดยไม่รู้ตัว

แต่ทว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาเห็นแค่บางสิ่งที่มีขนาดเท่ากับกระป๋องลอยผ่านประตูและกลิ้งเข้ามาในห้อง

วินาทีที่เขาเห็นสิ่งนั้นลูกตาของเขาก็หดเล็กลงในฉับพลัน เขาเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นในใจ แต่มันสายเกินไปที่จะแสดงออกมา

เปลวไฟระเบิดทำให้ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่ในบ้านได้รับบาดเจ็บในทันที ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้านายเหนี่ยวไกปืนในมืออย่างรวดเร็วและสาดกระสุนใส่ประตู

เขาเห็นร่างที่อาบไปด้วยเลือด

อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะมีเวลาได้ตื่นเต้น วินาทีที่เขาเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ใจของเขาก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม

ใบหน้าเปื้อนเลือดนั้นไม่ใช่ใบหน้าของผู้บุกรุกแต่เป็นเพื่อนร่วมงานของเขาที่เขาจัดให้คอยเฝ้าประตูไว้

เขาไม่มีเวลาให้ตั้งตัว แม็กกาซีนปืนของเขาว่างเปล่า เขาดึงแบตเตอรี่ออกมาจากข้างลำกล้องปืน และใช้ศพที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเหมือนโล่มนุษย์และเข้าปะทะ

หลังจากยิงไปไม่กี่นัด พวกผู้ก่อเหตุที่ยืนอยู่ข้างเขาร้องครวญครางก่อนจะล้มลงกับพื้น

แข็งแกร่งมาก!

ไม่ ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งหรอก…

เจ้านี่มันเป็นมนุษย์จริงหรือเปล่า?

มีคลื่นของความหวาดกลัวขึ้นมาในใจของเขาขณะที่เขาดึงลูกระเบิดออกมาอย่างสิ้นหวัง เขาขว้างมันไปข้างหน้า และรีบหลบไปด้านข้าง

คลื่นความร้อนของระเบิดพัดผ่านหลังของเขา ตามมาด้วยเสียงร้องครวญครางของเพื่อนร่วมทีมของเขาที่ดังออกมาจากช่องสื่อสาร ก่อนที่เขาจะได้เห็นโศกนาฏกรรมในสนามรบ เขาก็รีบไปที่ประตูโลหะด้านข้าง วิ่งตรงไปที่นั่นด้วยพลังอันเต็มเปี่ยมของชุดเกราะของเขา

มีสิ่งเดียวที่เขาอยากจะทำและนั่นก็คือการหนีไปจากที่นี่…

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดความหวังของเขาก็ดับลง

มีมือหนึ่งคว้าเขาไว้จากข้างหลัง และมีแรงมหาศาลกระชากเท้าเขาลงกับพื้น

แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนว่าคอของเขาถูกรถบรรทุกลากไป ร่างของเขาซึ่งมีชุดเกราะหนัก 300 กิโลกรัมด้วย ถูกเหวี่ยงเข้ากับกำแพง

“เวรเอ๊ย…”

ด้วยพละกำลังที่เขาใช้จนหมดเกลี้ยง เขาชักปืนออกมาจากเอว แต่ก่อนที่เขาจะได้เล็งปากกระบอกปืนไปที่ใคร กริชเล่มหนึ่งที่พุ่งเข้ามาก็ผ่าลำกล้องปืนออกเสียก่อน

เขาปล่อยด้ามปืนพร้อมกับร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะได้ตั้งตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็มีมือหนึ่งคว้าคอของเขาไว้

เลือดที่หยดออกมาจากหน้าผากบดบังการมองเห็นของเขา เขามองไปที่ชายคนนั้นด้วยความหวาดกลัว เขาใช้พละกำลังทั้งหมดแล้วบีบเค้นคำพูดออกมาจากลำคอ

“แกเป็นใคร…?”

“ไม่ใช่กงการอะไรของแก” หวังเผิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นหลังจากปิดการทำงานของชุดเกราะและมองมาที่กลุ่มผู้ก่อเหตุที่ยังหายใจอยู่ “ตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้”

“แกอยากจะรู้อะไร…? ฉันก็แค่เก็บเงินและทำธุรกิจ ตราบใดที่แกยินดีจะปล่อยฉันไป ฉันจะบอกแกทุกอย่าง”

“นักวิชาการลู่อยู่ไหน?”

“ฉันไม่รู้… อ๊าก อ๊าก อ๊าก!” กริชถูกแทงเข้าไปที่ไหล่ของเขา และเขาก็กดตัวอยู่กับกำแพงขณะที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถจะหนีไปได้

“ฉันจะถามแกอีกครั้งว่านักวิชาการลู่อยู่ที่ไหน?”

“ฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่รู้จริงๆ—” เมื่อชายตรงหน้าเขาดึงกริชอีกเล่มหนึ่งออกมา เขาก็รีบตะโกนว่า “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! ฉันรู้ว่าเขาอยู่ไหน!”

มือของหวังเผิงเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย เขามองมาที่ชายคนนั้นอย่างเฉยเมยแล้วทาบกริชไปที่ไหล่ซ้ายของเขา

“ความอดทนของฉันมีจำกัด อย่าพยายามมาเล่นตุกติกกับฉันจะดีกว่า”

ชายคนนั้นชำเลืองมองกริชที่ทาบอยู่กับไหล่ซ้ายของเขาขณะที่กลืนน้ำลายอย่างประหม่าและพูดอย่างรวดเร็วว่า “นายกเทศมนตรีเสี่ยวจ้างเรามา”

“ฉันถามว่านักวิชาการลู่อยู่ไหน”

“เดี๋ยวก่อน! เขาถูกส่งไปที่ศาลากลาง ฉันไม่รู้ตำแหน่งแน่นอน แต่ฉันแน่ใจว่าเขาถูกสั่งไปที่นั่น!”

“ศาลากลาง?”

หวังเผิงขมวดคิ้วและมองมาที่เขาอย่างหวาดระแวง

“นี่แกเล่นสนุกอยู่เหรอไง?”

“ฉันเปล่า! ฉันสาบานได้!”

บอริสทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเป็นแค่ทหารรับจ้างคนหนึ่ง เงินก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่มันก็ไม่คุ้มค่ากับการที่จะสูญเสียชีวิตตัวเองไป

เขาเพียงแต่เสียใจอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ เขารับภารกิจบ้าๆ นี่และเอาตัวเองเข้ามาพัวพันกับการสู้รบระหว่างอาณานิคมกับสหการพาน-เอเชียน ถ้าทำแค่ขโมยยานสินค้าหรือรับงานเป็นนักฆ่า เขาก็คงจะไม่ต้องมาเจอกับเจ้าคนโหดร้ายนี่

หวังเผิงบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่ชายคนนี้พูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอก หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็มองไปที่ชายผู้นั้นและถามต่อไปว่า “แกต้องการจะทำอะไรกับนักวิชาการลู่?”

“วาร์ปไดรฟ์!”

หวังเผิงเหลือบมองบอริสอย่างเคลือบแคลงใจ มือขวาของเขาดันไปข้างหน้าเล็กน้อยขณะที่เขาพูดว่า

“เสี่ยวหงบอกแกเรื่องนี้เหรอ?”

“นี่ไม่ใช่ความลับอะไรเลย เกือบทุกคนในกองทัพกลุ่มพันธมิตรก็รู้!”

“กองทัพกลุ่มพันธมิตร?” หวังเผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเขาก็ถามด้วยความงุนงงว่า “มันคืออะไร?”

บอริสมองมาที่หวังเผิงด้วยความประหลาดใจแล้วพึมพำว่า “แกไม่รู้เหรอ? ฉันคิดว่าพวกแกรู้เรื่องนี้แล้วเสียอีก…”

หวังเผิงพูดอย่างหงุดหงิด “อธิบายมา”

“ใจเย็นก่อน ฉันจะอธิบาย” บอริสรีบพูดขณะที่เขารู้สึกว่ามีแรงกดลงบนไหล่ของเขา “เมื่อนานมาแล้ว เมืองอาณานิคมต่างๆ บนดาวอังคารบรรลุข้อตกลงในการค้นหาการสร้างกลุ่มพันธมิตรประจำภูมิภาคดาวอังคารที่จะทำการตัดสินใจด้วยตัวเอง… เหมือนอย่างสหการพาน-เอเชียน ซึ่งนี่ก็รวมถึงเมืองเทียนกง นิวลอนดอน และนิวเวอร์จิเนีย… ผู้นำระดับสุดยอดของกลุ่มพันธมิตรทั้งหมดเป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือในเมืองท้องถิ่นต่างๆ”

“เข้าประเด็นเลยดีกว่า”

“เพื่อที่จะเป็นอิสระ เราต้องการอาวุธ!” บอริสหยุดพูดเหลวไหลและพูดต่อไปอย่างประหม่า “กองทัพชุดแรกของพาน-เอเชียแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่กองทัพในระบบสุริยะทั้งหมดรวมกันยังไม่พอที่จะเป็นคู่ปรับของพวกเขาได้ แต่ถ้าเรามีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีที่เร็วกว่าแสง ยานของเราก็จะสามารถปรากฏในที่ที่เราอยากจะให้มันปรากฏได้”

ความระแวงสงสัยบนใบหน้าของหวังเผิงเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

มันยากที่จะจินตนาการว่าทหารรับจ้างคนหนึ่งจะรู้เรื่องมากขนาดนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงอย่างเขาไม่รู้อะไรเลย

“แกบอกว่าแกเป็นแค่ทหารรับจ้างใช่ไหม?”

บอริสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ฉันเป็นทหารรับจ้างจริงๆ ในกองทัพกลุ่มพันธมิตรมีคนอย่างฉันมากมายที่ทำเรื่องต่างๆ เพื่อเงิน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมือนพวกเขาและสนใจว่าใครเป็นคนคุมที่นี่…”

เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าเงียบไป บอริสก็กลืนน้ำลายและพูดต่อด้วยเสียงที่เรียบเฉยว่า “ฉันบอกแกทุกอย่างที่ฉันรู้แล้ว… แกจะปล่อยฉันไปได้หรือยัง?”

หวังเผิงชำเลืองมองเขาและขว้างกริชในมือออกไป

อย่างไรก็ตามก่อนที่บอริสจะได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาก็เห็นหวังเผิงชักปืนพกออกมาจากเข็มขัดใส่ปืน

ขนทั้งตัวของเขาลุกชันขณะที่เขาดิ้นรนเหมือนปลาบนชายฝั่ง แผดเสียงร้องด้วยความกลัว

“เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่แบบที่เราตกลงกันนี่…”

“เราตกลงอะไรกัน?”

เสียงเยือกเย็นของหวังเผิงตามมาด้วยเสียงปืน

ระหว่างที่มองชายคนนั้นล้มลงจมกองเลือด หวังเผิงก็สอดปืนพกเก็บเข้าไปในเข็มขัดปืน

เขาจะไม่มีทางปล่อยชายคนนี้ออกไป

ถ้าเขามีเวลา เขาอาจจะรักษาชีวิตของชายคนนี้ไว้และส่งตัวเขาไปให้ทางการ

ถ้าเขามีเวลา เขาอาจจะยังสามารถรักษาชีวิตของชายคนนี้ไว้และส่งเขาไปให้กฎหมายตัดสิน

“ศาลากลาง… การคาดเดาของฉันถูกต้องจริงๆ เรายังก้าวช้าไปก้าวหนึ่ง”

แม้เขาจะรู้ว่าลู่โจวอยู่ที่ไหน แต่สีหน้าของหวังเผิงก็ไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย

ศาลากลาง…

ศูนย์อำนาจกลางของเมืองเทียนกงทั้งหมดตั้งอยู่ภายใต้ศูนย์กลางของโดมประจำเมือง

ไม่ได้มีแค่กลุ่มติดอาวุธและผู้คุ้มกันแต่ยังมีโดรนนับไม่ถ้วนที่ตรวจตราอยู่โดยรอบ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแอบเข้าไป

เป็นไปไม่ได้ที่จะโจมตีสถานที่นี้แบบปะทะกันโดยตรงเช่นกัน

แม้ว่าจะไม่มีสิทธิในการป้องกันทางอากาศบนดาวอังคาร แต่กองกำลังป้องกันภาคพื้นดินยังมีประสิทธิภาพทีเดียว เพื่อที่จะป้องกันการคุกคามจากโจรสลัดอวกาศและเมืองอาณานิคมอื่นๆ กลุ่มติดอาวุธที่นี่จึงติดตั้งอาวุธหนัก อย่างเช่น รถถังแม่เหล็กไฟฟ้า

แม้แต่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองบนดาวอังคารทั้งหมดรวมกันก็คงจะไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้

“ดูเหมือนฉันจะต้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น…”

หวังเผิงมองดูศูนย์บัญชาการที่ยุ่งเหยิงเละเทะ แล้วเขาก็เดินไปที่โต๊ะทำงานและยื่นนิ้วชี้ออกไปคลิกบนนั้นสองครั้ง

ไม่นานหน้าต่างวิดีโอโฮโลแกรมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

นิ้วมือของเขาคลิกอย่างรวดเร็วและใส่รหัสผ่านบนแป้นคีย์บอร์ด เขารีบติดต่อไปยังสถานีฐานการสื่อสารที่อยู่บนโฟบอสและส่งข้อความสั้นๆ ไปยังหน่วยข่าวกรองที่รับดาวเทียมที่ตั้งอยู่บนโลก เพื่อรายงานตำแหน่งและสถานการณ์ของลู่โจวให้ผู้บังคับบัญชาของเขาได้ทราบ

เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายความสำคัญของวาร์ปไดรฟ์เพิ่มเติมอย่างละเอียด นอกจากนี้เมื่อพิจารณาบทบาทสำคัญที่ลู่โจวแสดงอยู่ในโปรเจกต์ลิฟต์อวกาศ เขาก็เชื่อว่าร้อยเอกซิงคงจะตัดสินใจได้ถูกต้อง

โดยไม่ต้องรอนาน หวังเผิงก็ได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว

คำตอบนั้นสั้นๆ

[เรากำลังเดินทางแล้ว]

…………………..