บทที่ 753.2 ไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจแต่งตำรา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานที่อันที่จริงไม่ค่อยอยากดื่มเหล้าเท่าไรแล้วพลันเปลี่ยนใจ ไม่เพียงแต่รินเหล้าเต็มจอก ยังขยับก้นมายกจอกเหล้าหันหาเจียงซ่างเจินอีกด้วย

เจียงซ่างเจินประหลาดใจเล็กน้อย ได้แต่เก็บขาลุกขึ้นนั่งดีๆ เขาเองก็ยื่นจอกเหล้าออกไป คิดไม่ถึงว่าจอกเหล้าในมือเด็กหนุ่มชุดขาวจะลดระดับต่ำกว่าเล็กน้อย ไม่รอให้เจียงซ่างเจินขยับจอกเหล้าลงต่ำตาม จอกเหล้าก็กระทบกันเบาๆ เสียแล้ว ชุยตงซานเปลี่ยนจากมือเดียวมาใช้สองมือถือจอกเหล้า เอ่ยประโยคหนึ่งว่าขอดื่มคารวะให้ก่อนหนึ่งจอก จากนั้นก็แหงนหน้ากระดกดื่มจนหมด เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับเบาๆ เขาเองก็ใช้สองมือถือจอกเหล้า ดื่มเหล้าในจอกจนหมดเช่นกัน เป็นเกียรติ นี่เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ไม่ด้อยกว่าการที่เทียนซือใหญ่คนปัจจุบันของภูเขามังกรพยัคฆ์หวนกลับมายังยอดเขาเสินจ้วนอีกรอบเลย

ชุยตงซาน หรือควรจะเรียกว่าชุยฉานครึ่งตัว เคยมีครั้งใดที่อยู่บน ‘โต๊ะเหล้า’ แล้วจงใจวางตัวนอบน้อมต่อคนนอกแบบนี้บ้างเล่า?

เจียงซ่างเจินรู้ชัดเจนดีว่าไม่ใช่เพราะเขาเจียงซ่างเจินทุ่มเทเต็มกำลังเพื่อกอบกู้สถานการณ์ให้กับใบถงทวีปอะไร ถึงได้ช่วงชิงสุราคารวะจากชุยตงซานมาเช่นนี้ได้ บอกตามตรง จะให้เปรียบเทียบเรื่องคุณความชอบ? พูดกันแค่ตัวบุคคล ใต้หล้าไพศาลใครเล่าจะทัดเทียมซิ่วหู่ได้? เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว หรือแม้กระทั่งเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ ยิ่งแม้กระทั่งกับป๋ายเหย่ ล้วนไม่มีใครสามารถทัดเทียมชุยฉานแห่งต้าหลีได้

ดังนั้นจึงเป็นเพราะตนใช้สถานะของผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่วคบหากับเฉินผิงอัน ถึงได้ทำให้ชุยตงซานที่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าขุนเขาหนุ่มยอมดื่มสุราจอกนี้กับโจวเฝย

ชุยตงซานโยนจอกกระเบื้องใบนั้นทิ้งลงน้ำในแม่น้ำอย่างไม่ใส่ใจ หันหน้าไปมองดวงจันทร์ในน้ำ เด็กหนุ่มชุดขาวก็กลับไปฟุบตัวบนราวระเบียงอีกครั้ง ยกกาเหล้าขึ้น รินเหล้าลงน้ำ พึมพำยิ้มเอ่ย “ไม่กลัวน้ำลึกมังกรเฒ่า เรียกเทพธิดามาดื่มสุราหมัก เทพธิดารังเกียจที่ข้าอายุน้อยเกินไป ข้ารังเกียจที่เทพธิดาตัวสูง รินสุราซานว่านหูลงบนเกล็ดหิมะ ขอเงินอาจารย์ซื้อภูเขา อาจารย์ตำหนิที่ข้าไม่เป็นโล้เป็นพาย ข้าบ่นที่อาจารย์ทำงานยุ่งเกินไป…”

เจียงซ่างเจินเองก็โยนกาเหล้าและจอกสุราทิ้งไปตามอย่างอีกฝ่าย ปัดมือเอ่ยชื่นชม “เป็นบทกลอนที่ดี วันหน้าข้าจะให้คนแกะสลักไว้บนหน้าผาของหาดหินหวงเฮ้อ มันสมควรที่จะมีชื่อเสียงขจรจายไกลนับพันปี”

ชุยตงซานหันหน้ากลับมามอง

เจียงซ่างเจินถามหยั่งเชิง “คำพูดประจบนี้เยอะเกินไปหน่อยหรือ?”

ชุยตงซานย้อนถาม “พี่น้องโจวเฝยเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ เข้าใจผิดคิดว่าพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเป็นภูเขาลั่วพั่วไปเสียแล้ว

อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็พูดขึ้นมาว่า “พวกคนอย่างหันเจี้ยงซู่ ไต้หยวนนั้น กลับไปถึงภูเขาบ้านตนเอง คาดว่าก็คงถือเป็นยอดฝีมือที่ได้รับความเลื่อมใสอย่างเต็มที่เลยกระมัง”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว หันเจี้ยงซู่ย่อมต้องมีบุรุษมากมายที่ชื่นชอบนางจากใจจริง บางทีเพียงแค่การมองอย่างไม่ตั้งใจของนางก็สามารถทำให้เด็กหนุ่มบางคนพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่บนเตียง นอนไม่หลับตลอดคืนได้แล้ว ส่วนไต้หยวนเองก็ต้องเป็นบรรพจารย์เซียนดินที่ร้ายกาจไร้ศัตรูทัดเทียมในสายตาของผู้ฝึกตนมากมาย”

ชุยตงซานถามอีกว่า “คนที่ผูกกระบี่เมามายอยู่ใต้ต้นไม้คือลู่ฝ่าง เขาไปยังใต้หล้ามืดสลัวแล้วจริงๆ หรือ?”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เจ้าหมอนี่ติดกับดักของความรัก ให้ตายอย่างไรก็คลายปมในใจไม่ได้”

ชุยตงซานเอ่ย “สหายของเจ้าคนนี้ไม่ค่อยเหมือนกับเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะและหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าในอดีตสักเท่าไร อันที่จริงเขาสามารถเลียนแบบอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูของใต้หล้ามืดสลัวดูได้”

เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างจนใจ “เคยพูดเรื่องนี้กับเขาแล้ว ผลคือเขาคิดอยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน แต่ดันตอบกลับมาว่าไหนเลยจะตัดใจได้ลง ทำเอาข้าโมโหแทบตาย”

ชุยตงซานรู้เรื่องวงในดีจึงรู้สึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย กำลังจะเปิดปากพูด เจียงซ่างเจินกลับรีบยกสองมือกุมเป็นหมัด พูดขอร้องว่า “อย่าพูดถึงเรื่องในอดีตเลย ทำลายบรรยากาศนัก ง่ายที่จะทำให้คนหงุดหงิด”

ชุยตงซานกล่าว “สำนักว่านเหยาของหันอวี้ซู่ หากไม่เป็นเพราะมาเจอกับอาจารย์ของข้า แล้วปล่อยให้เขาลุกผงาดไปตามสถานการณ์ได้จริง ก็ถึงขั้นมีโอกาสกลายเป็นสำนักกุยหยกแห่งที่สอง จากนั้นก็สามารถรอคอยโอกาสเหมาะๆ อดทนรอให้สำนักกุยหยกทำความผิด ยกตัวอย่างเช่นทำความผิดคล้ายคลึงกับสำนักใบถง ต่อให้สำนักใบถงที่ง่อนแง่นจะล้มมิล้มแหล่สามารถฟื้นคืนพลังชีวิตกลับมาได้จริง อย่างน้อยที่สุดสำนักว่านเหยาก็สามารถรักษาอันดับที่สามช่วงชิงอันดับที่สองได้กระมัง”

เจียงซ่างเจินสองจิตสองใจ

ตอนนั้นที่ได้กลับมาพบเจอกับเฉินผิงอันที่ภูเขาไท่ผิงอีกครั้ง การที่เจียงซ่างเจินรู้สึกลำบากใจ คำพูดคำจาในทุกเรื่องล้วนออมคำ ราวกับไม่ยินดีจะพูดถึงสถานการณ์อันลุ่มลึกมากมายของใบถงทวีปมากนัก นั่นก็เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปลึกล้ำมาก ดีมาก ถึงขั้นที่ว่าเรื่องส่วนใหญ่ล้วนมีเหตุผลถูกต้องชอบธรรมอย่างถึงที่สุด กองกำลังของทวีปอื่นคิดจะเดินทางลงใต้แทรกซึมเข้ามาในใบถงทวีป ก็เป็นผู้ฝึกตนของสองทวีปนี้ที่ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมากที่สุด

ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นอิ่นกวานมานานหลายปี แจกันสมบัติทวีปก็ยิ่งเป็นบ้านเกิดของเฉินผิงอัน

ท่ามกลางสงครามครั้งนั้น การเชื่อมโยงขุนเขาสายน้ำของสองทวีปให้เป็นทวีปเดียวกัน มากพอจะสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับหูตาและจิตใจของคนทั้งสองทวีป หากภาคภูมิใจที่จะบอกว่าตัวเองมีคุณความชอบต่อการเดินทางลงใต้ไปยังใบถงทวีปในทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าประหลาดใจมากใช่ไหมว่าเหตุใดชุยตงซานถึงต้องแอบปกป้องสำนักใบถงอย่างลับๆ ไม่ให้ถูกกองกำลังทั้งในและนอกของทวีปแบ่งสรรปันส่วนกันจนสิ้นด้วยท่าทางราวกับเสือโหยพุ่งเขมือบลูกแกะ?”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับแล้วก็ส่ายหน้า “หากเพื่อประคับประคองกองกำลังที่เป็นดั่งท่าเรือใจกลางของทางทิศใต้ให้กับแจกันสมบัติทวีป นำมาใช้งัดข้อกับสำนักในท้องถิ่นซึ่งรวมถึงสำนักกุยหยกเป็นหนึ่งในนั้น ข้าคงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ที่ข้าแปลกใจจริงๆ ก็คือดูจากการวางแผนของเจ้า…ของใต้เท้าราชครู เห็นได้ชัดว่าหวังให้สำนักใบถงมีโอกาสกลับคืนสู่ยอดเขาภายในเวลาพันปี กลายมาเป็นสำนักที่โชคชะตาเป็นรองแค่สำนักกุยหยกเท่านั้นอีกครั้ง”

ใบถงทวีปแห่งหนึ่ง สภาพการณ์น่าสังเวชจนแทบมิอาจทนมองดูได้

สวินยวนขอบเขตบินทะยานแห่งสำนักกุยหยก ศาลบรรพจารย์สำนักกุยหยก นายท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภซ่งเซิงถัง หลิวหัวเม่าผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบ…

เจ้าสำนักใบถง ฟู่หลิงชิงเซียนกระบี่ใหญ่ เทียนจวินผู้เฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิง ซ่งเหมาเทียนจวินเจ้าภูเขา จีไห่เจ้าสำนักฝูจี…

ล้วนกลายเป็นคนในอดีตไปหมดแล้ว เวลานานผันผ่านไปนานเข้าก็จะกลายเป็นปฏิทินเหลืองในแต่ละหน้า

ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่พลังพิฆาตโดดเด่นมากที่สุด ขอบเขตสูงที่สุดกลุ่มนี้ล้วนทยอยกันรบตายไปหมดแล้ว อีกทั้งผู้ติดตามที่กระโจนเข้าหาความตายร่วมกับพวกเขาอย่างกล้าหาญก็มีอีกมากมาย

ส่วนเซียนดินของใบถงทวีปที่อยู่ใกล้กับยอดเขามากที่สุดกลับพากันหนีหายไปเกินครึ่ง ไปหลบเสวยสุขอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า ทุกวันนี้ยังมีผู้ฝึกตนของทวีปอื่นแทรกซึมเข้ามาในใบถงทวีปอย่างกำเริบเสิบสาน ประเด็นสำคัญก็คือใบถงทวีปไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ตอบโต้ แล้วก็ไม่มีเหตุผลพอให้แสดงออกอย่างแข็งกระด้างเลยแม้แต่น้อย ใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาลชื่อเสียงฉาวโฉ่ กลายเป็นตัวตลกของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล เหมือนกับผู้เฒ่าแก่หง่อมกระดูกสันหลังหักคนหนึ่งที่ไม่อาจยืดเอวตรงพูดจากับคนนอกได้อีกแล้ว อย่างฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปนั้น ต่อให้ขุนเขาสายน้ำและแผ่นดินจะจมดิ่งเช่นเดียวกัน ทว่านับแต่บนภูเขาถึงล่างภูเขาต่างก็เคยผ่านศึกสงครามยากเย็นผ่านสงครามแห่งความตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดขุนเขาสายน้ำถึงได้ล่มสลาย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ อีกทั้งยังมีใบถงทวีปมาเป็นตัวช่วยขับดันให้โดดเด่น ดังนั้นต่อให้จะเป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังมีความรู้สึกที่ไม่เลวต่อสองทวีป

ทวีปที่น่าสงสาร น่ารังเกียจ น่าขำและน่าเศร้า มีเพียงใบถงทวีปแห่งเดียวเท่านั้น

ชุยตงซานสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย “นี่มีอะไรให้คิดไม่ตกกันเล่า คนรุ่นเยาว์ของใบถงทวีปคู่ควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้อย่างไรล่ะ ก็เหมือนอย่างที่เหวยอิ๋งคู่ควรจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักกุยหยก แล้วเจ้าก็ยินดีที่จะยกตำแหน่งให้กับคนหนุ่ม นี่ก็คือหลักการเหตุผลเดียวกัน หรือเจ้ารู้สึกว่าในสายตาของเจ้าตะพาบเฒ่ามีแค่แจกันสมบัติทวีปแห่งเดียว? บอกตามตรง ไม่พูดถึงอุตรกุรุทวีปที่เป็นพันธมิตร ต่อให้เป็นราชวงศ์ต้าหลีเอง ชุยฉานก็ยังดูแคลนที่จะลำเอียงเข้าข้าง เพราะเมื่อเทียบกับเจ้าแล้วเขา…ขี้เกียจยิ่งกว่า อืม คำพูดนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ชุยฉานไม่มีทางยอมให้พวกคนอย่างหันอวี้ซู่ที่ไม่เพียงแต่แอบใช้ชีวิตอย่างยาวนานจนอายุมากเป็นพันปี แล้วยังคิดจะจับปลาในน้ำขุ่นอาศัยโอกาสนี้ฉกฉวยตำแหน่งสูงมาได้แน่นอน นี่มันชวนให้คนสะอิดสะเอียนเกินไปแล้ว สำนักใบถงอนาถกว่าสำนักกุยหยก อนาถกว่ามากนัก ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากที่สุด อีกทั้งยังเจ็บปวดใจมากกว่าอื่นใด ในเมื่อต้องเผชิญความยากลำบากที่ใหญ่ที่สุด ความจำก็จะดีที่สุด รู้ดีกว่าพวกเจ้าว่าอะไรคือความยากลำบากและทุกข์ทรมานที่แท้จริง สรุปแล้วก็คือคนหนุ่มของพวกเขาและของสำนักกุยหยกพวกเจ้าต่างก็ถือว่าเป็นความหวังที่แท้จริงของใบถงทวีป”

ชุยตงซานหันหน้ากลับไป ทะเลเมฆบดบังดวงจันทร์ เขาจึงใช้เวทคาถาของเซียนเหรินยื่นสองนิ้วไปขยับทะเลเมฆออกเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “นี่เรียกว่าเมฆหมอกเคลื่อนหายมองเห็นแสงจันทร์”

เจียงซ่างเจินพูดประโยคเดียวได้ถึงสองความหมาย “ฝีมือนี้ของพี่ชุยช่างมีมาดแห่งเซียนจริงๆ”

ชุยตงซานไม่เห็นเป็นสำคัญ เพียงถามอย่างใคร่รู้ “ตอนนั้นอาจารย์ของข้าได้ยินว่าที่พึ่งของราชวงศ์สกุลอวี๋คือตระกูลโหวของนครมังกรเฒ่า มีสีหน้าอย่างไร?”

เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง คงเพราะได้ยินเรื่องตลกที่ไม่น่าขำเท่าไรกระมัง”

ชุยตงซานยิ้มจนตาหยี นั่งขัดสมาธิ โยกหัวไหล่ “ดีจริงๆ ดีจริงๆ จะได้กลับบ้านแล้ว”

เจียงซ่างเจินเอ่ย “พาข้าไปด้วย”

ชุยตงซานตบอกพูดรับรอง “ก่อนที่พี่โจวจะกลับคืนสู่ขอบเขตบินทะยานอีกครั้ง ต่อให้ข้าจะต้องลงไปชักดิ้นชักงอ คุกเข่าโขกหัวต่อหน้าอาจารย์ ก็จะต้องรับประกันให้ได้ว่าตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งถูกปล่อยว่างไว้ตลอดเวลา รอคอยอยู่เงียบๆ ให้พี่โจวไปนั่งลง”

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “แม้ว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่เคยรู้สึกหมดสภาพเช่นนี้มาก่อน แต่จะดีจะชั่วขอบเขตบินทะยานนั่นก็ไม่ได้เลื่อนขั้นกันผ่อนคลายขนาดนั้น ยาก”

ชุยตงซานหรี่ตาลง ยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งโบกเป็นวงเบาๆ “แบบนี้หรือ? ยากมากหรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนเหรินคนอื่น ต่อให้เป็นข้าก็ยังรู้สึกว่ายาก ยากมากๆ ยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่ใบถงทวีปที่ไม่มีขอบเขตบินทะยาน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งตัวจริงของภูเขาลั่วพั่วในอนาคต ข้ากลับรู้สึกว่ายังดี รอต่อไปเถอะ จะรีบร้อนคงไม่ได้ แต่หากจะรอก็สามารถรอได้ ส่วนจะร้อยปีหรือว่าหลายร้อยปี ข้าก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว”

เจียงซ่างเจินหัวเราะร่ากุมหมัดเอ่ย “ขอให้สมพรปากเจ้า”

เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองชายแขนเสื้อของชุยตงซาน “แม่นางน้อยที่ชื่อว่าซุนชุนหวังผู้นั้นยังงัดข้ออยู่กับเจ้าด้านในหรือ?”

ชุยตงซานพยักหน้า “ต้นกล้าที่ดี เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็เป็นคนมีคุณธรรมน้ำใจ ทำอะไรใจกว้างเช่นนี้แหละ!”

ชายแขนเสื้อข้างที่ชุยตงซานยกขึ้นมาตอนนี้ ถูกเขาเรียกว่าเป็น ‘สถานที่ซ้อมคนโง่’ ตอนนี้มีแม่นางน้อยคนหนึ่งฝึกกระบี่อยู่ด้านใน

ก่อนหน้านี้รับปิ่นหยกขาวอันนั้นมาจากมือเจียงซ่างเจิน ชุยตงซานได้เห็นตัวอ่อนเซียนกระบี่นิสัยแตกต่างกันกลุ่มนั้นแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย มักจะไปพร่ำพูดเรื่องหลักการเหตุผลกับพวกเขาเป็นประจำ พูดทำนองว่าพวกเจ้าต่างก็อายุไม่น้อยแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ ต้องรู้ความ

เวลาพูดจาต้องระมัดระวัง เวลาทำอะไรต้องรอบคอบ รู้จักวางตัวอย่างสุขุม

เงินเล็กๆ น้อยๆ ล้วนมาจากการมัธยัสถ์อดออม รู้หรือไม่?

สรุปก็คือถึงเวลาควรตีก็ตี ควรด่าก็ด่า ควรชมก็ชม ไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย

ป๋ายเสวียน เหอกู เฮ้อเซียงถิง อวี๋เสียหุย อวี้ชิงจาง ซุนชุนหวัง

ผู้ฝึกกระบี่น้อยหกคนนี้ล้วนถูกชุยตงซานเก็บเข้ามาไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ วิชาอภินิหารของห้าขอบเขตบนบทนี้มีความต่างค่อนข้างมาก ก็เหมือนเฉินผิงอันที่ได้แต่เก็บสิ่งของ ไม่มีความลี้ลับอย่างอื่น แต่จักรวาลชายแขนเสื้อของชุยตงซานกลับสามารถควบคุมคนที่เข้าไปฝึกตนในชายแขนเสื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก จิตสำนึกหรือความคิดจิตใจของพวกเขาล้วนถูกชุยตงซานควบคุมได้อย่างง่ายดาย เพื่อจะได้สอนให้พวกเขารู้ซึ้งถึงคำกล่าวที่ว่าหนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี ท่ามกลางภาพลวงตาที่กว้างใหญ่ไพศาล ต้องอยู่เพียงลำพังนานร้อยปี รสชาติเป็นเช่นไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้ แน่นอนว่าจักรวาลชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเป็นความสุดโต่งทางหนึ่ง ของชุยตงซานก็เป็นความสุดโต่งอีกทางหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินะทยาน เกรงว่านอกจากเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวแล้วก็คงไม่มีใครมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ได้เช่นชายแขนเสื้อของชุยตงซานนี้

อวี๋เสียหุย เหอกู เฮ้อเซียงถิงพากันทยอยออกมาแล้ว พวกเขาเกือบจะเสียสติ ถูกชุยตงซานโยนออกมาจากชายแขนเสื้อในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี หลังจากนั้นมายามที่แต่ละคนมองชุยตงซานอีกครั้งก็ไม่ต่างจากมองเห็นเทพแห่งโรคระบาด

จากนั้นก็เป็นอวี๋ชิงจางที่อดทนต่อไปไม่ไหวหลังจากผ่านไป ‘หลายปีบนภูเขา’ ต่อมาก็เป็นป๋ายเสวียนที่แก่แดด ดวงตางอกอยู่บนหน้าผาก เพียงแต่ว่าเจ้าลูกกระต่ายผู้นี้ไม่ใช่ว่าจิตแห่งมรรคาทนทรมานไม่ไหว แต่เป็นเพราะนิสัยแต่กำเนิดของเขาที่ทำให้อดทนไม่ไหว เพราะรู้สึกว่าน่าเบื่อเกินไปแล้ว จึงขอร้องให้ชุยตงซานปล่อยเขาออกไป หากไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้เขาได้ไปกินข้าวข้างนอกสักมื้อ คุยเล่นกับคนอื่นสักวัน แล้วค่อยโยนเขากลับเข้ามาใหม่ ชุยตงซานจงใจทำเป็นไม่สนใจ ผลคือเจ้าเด็กตัวดีนั่นเรียกกระบี่บินออกมาแล้ววิ่งตะบึงไปตลอดทาง กระบี่บินก็ตามติดเขาแทงไปทางตะวันออกทีทางตะวันตกที กระทั่งปราณวิญญาณถูกเผาผลาญหมดสิ้นถึงได้ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก ด่ากราดชุยตงซานว่าไม่ใช่คน วันหน้าอย่าให้นายท่านน้อยอย่างข้าได้เจอกับใต้เท้าอิ่นกวานก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นจะต้องให้ลูกศิษย์ผายลมสุนัขอย่างเจ้าได้รับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองเป็นแน่…ดังนั้นชุยตงซานจึงปล่อยป๋ายเสวียนออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างเข้าจิตเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีก่อน แล้วพลันจับกลับเข้าไปอีกครั้ง เจ้าเด็กนั่นก็เป็นคนรู้จักสังเกตสถานการณ์ ยืดได้หดได้ แรกเริ่มยังพูดประจบชุยตงซาน พอค้นพบว่าดูเหมือนจะไม่ได้ผลก็เลยหันไปพูดจาดีๆ เกี่ยวกับใต้เท้าอิ่นกวาน ร่ายยาวเป็นกระบุงโกย กระบุงแล้วกระบุงเล่าติดต่อกัน ชุยตงซานฟังอย่างเพลิดเพลิน ถึงได้ปล่อยเจ้าตะพาบน้อยออกมาจากในชายแขนเสื้อ ลูบหัวของป๋ายเสวียน ยิ้มตาหยีเตือนเจ้าเด็กที่ไม่กล้าเอาสองมือไพล่หลังว่าวันหน้าต้องเป็นเด็กดีนะ ป๋ายเสวียนตะโกนตอบคำหนึ่งเสียงดังว่าแน่นอนอยู่แล้วด้วยสีหน้าจริงใจยิ่ง

ผลคือชุยตงซานแสร้งทำหน้าตกตะลึง บอกว่าพูดเสียงดังขนาดนี้ ตกใจแทบตาย ดูท่าจงชี่ (พลังปราณในส่วนของม้ามและกระเพาะอาหาร) จะเปี่ยมล้นสินะ ยังสามารถฝึกกระบี่ต่อได้อีก ดังนั้นจึงโยนป๋ายเสวียนกลับไปอีกครั้ง อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่าเจ้าเด็กนี่กลัวผีผู้หญิงที่ใบหน้าซีดขาว น้ำตาไหลเป็นสายเลือดที่สุด จึงถูกชุยตงซานพาให้ไปเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ในเรือนผีวังเวงหลายสิบแห่งที่ ‘ภาพมายานั้นเกิดจากใจ ดินแดนนั้นสร้างขึ้นด้วยจิต ท่ามกลางฟ้าดินที่มีสารพัดสัตว์สารพันพืชพรรณบุปผา บุกเบิกโลกใบใหม่ สร้างภาพมายาดินแดนมหัศจรรย์ขึ้นมา’

ถึงท้ายที่สุดเมื่อป๋ายเสวียนได้กลับมาพบแสงตะวันอีกครั้ง เด็กชายก็ใช้สองมือกระชากชายแขนเสื้อของนายท่านใหญ่ชุยที่สมองมีปัญหาเอาไว้แน่น แล้วเริ่มแผดเสียงร้องไห้อย่างรวดร้าวปานจะขาดใจ

สุดท้ายถึงเป็นแม่นางน้อยที่รูปโฉมไม่สะดุดตาอย่างซุนชุนหวัง นางถึงขั้นตั้งใจฝึกกระบี่อยู่ในขุนเขาสายน้ำชายแขนเสื้อจริงๆ อีกทั้งยังมีกฎระเบียบอย่างยิ่ง คล้ายหลับคล้ายไม่หลับ หล่อเลี้ยงบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่น จากนั้นทุกวันจะต้องลุกขึ้นมาเดินเล่นตามเวลาที่กำหนด พูดพึมพำกับตัวเอง ใช้นิ้ววาดยันต์ผี สุดท้ายก็กลับลงไปนั่งตำแหน่งเดิมตามเวลาที่กำหนด หล่อเลี้ยงกระบี่บินอีกครั้ง ราวกับตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเสียเวลาอย่างนี้ต่อไป เสียเวลาไปจนตราบฟ้าสิ้นดินสลาย สรุปก็คือนางจะไม่ยอมเปิดปากขอร้องชุยตงซานเด็ดขาด

นอกจากนี้เฉิงเฉาลู่ น่าหลันอวี้เตี๋ย เหยาเสี่ยวเหยียน คนหนึ่งคือพ่อครัวน้อยที่ยามพูดถึงอาจารย์เฉาจะมีสีหน้าสดใสร่าเริง อีกคนหนึ่งคือนักบัญชีน้อย ส่วนอีกคนก็คือคนเลอะเลือนตัวน้อย ชุยตงซานเห็นพวกเขาแล้วถูกชะตาอย่างมาก จึงไม่ได้จัดการกับพวกเขาสามคน